ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 54 ฮองเฮาและสนมเอก
เสิ่นเซวียนดำรงตำแหน่งสูงส่งถึงราชครู ทั้งยังเป็นหนึ่งในเสาหลักของต้าเว่ย สามีมีเกียรติภรรยาย่อมสูงศักดิ์ ฮูหยินซูจึงได้รับเกียรติเท่าขุนนางขั้นหนึ่ง ซึ่งก็คือเป็นคนกลุ่มแรกที่ถูกเชิญไปเข้าเฝ้าฯ ในตำหนักเว่ยยาง
ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ปล่อยเว่ยลิ่งจือแล้ว และหันไปอำลาจือเปิ่นถังด้วยใบหน้าแช่มชื่น จากนั้นก็มาจัดแจงเสื้อผ้ากระโปรงให้ดี เดินตามฮูหยินซูพร้อมกับพี่สะใภ้และน้องสาวสามีเข้าวังไปภายในพร้อมกัน
นางก้าวข้ามธรณีประตูท้องพระโรงอย่างระมัดระวัง ด้วยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น รู้สึกจากทางหางตาว่าภายในท้องพระโรงมีสีทองสุกสว่างยิ่ง… เมื่อมาถึงตำแหน่งที่ต้องถวายบังคม นางจึงถวายบังคมพร้อมกับฮูหยินซูไปตามพิธี เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อฮองเฮาและผู้สูงศักดิ์ท่านอื่นๆ
ฟังจากคำกล่าวทักทายของฮูหยินซู ยามนี้ในท้องพระโรงมีฮองเฮา สนมเอก สนมชั้นเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยว สนมชั้นเสี่ยวอี๋แซ่จง และองค์หญิงหลินชวน องค์หญิงชิงซินสองพระองค์ เว่ยฉางอิ๋งถวายบังคมไปพลาง คิดไปพลางว่า ‘ว่ากันว่าฮองเฮากู้ผู้นี้ร้ายกาจนัก สมดังคำร่ำลือจริงๆ ยามนี้ดูไปแล้ว ในงานประสูติขององค์หญิงหลินชวนนี้ นางจงซึ่งเป็นเพียงสนมชั้นเสี่ยวอี๋ก็ยังออกมาด้วย ทว่าในท้องพระโรงก็มีคนเพียงเท่านี้ ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์หลายสิบปี แม้ก่อนนี้จะมีคนเช่นนางฮั่วและคนอื่นๆ ที่ถ้าไม่ถูกถอดยศก็ล้มหายตายจากไปแล้ว แต่ภายในวังหรือจะมีสนมแค่สองสามตำแหน่งนี้? ทว่าผู้ที่สามารถมาร่วมงานในท้องพระโรงตำหนักฉางเล่อแห่งนี้ นอกจากฮองเฮาและสนมเสี่ยวอี๋แซ่จงที่มีฮองเฮาคอยหนุนหลังแล้ว ก็กลับมีเพียงพระสนมเอกเติ้งและสนมชั้นเจี๋ยอวี้แซ่เมี่ยวซึ่งเป็นคนของพระสนมเอกเติ้งเท่านั้น’
และคิดไปอีกว่า ‘ไม่ใช่บอกว่าในวังมีองค์หญิงที่ยังไม่ได้อภิเษกอยู่สามพระองค์หรอกหรือ? ไยจึงไม่เห็นองค์หญิงอันจี๋? คงไม่ได้เป็นเพราะว่านางไม่เป็นที่โปรดปราน
จนถึงขั้นว่าในงานพิธีเช่นในวันนี้ ไม่เพียงแค่สนมคนอื่นๆ ที่ไม่มีหน้ามีตานักไม่มีโอกาสร่วมงานเท่านั้น แม้แต่เหล่าองค์หญิงเองก็…’
ยังไม่ทันคิดจบ ก็ได้ยินน้ำเสียงแจ่มชัดและหนักแน่นดังมาจากข้างบนบอกให้ลุกขึ้นได้ และมีสตรีหน้าตายิ้มแย้มกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ฮูหยินซูไม่ต้องมากพิธี” แล้วบอกให้ทุกคนนั่งลง
ฮูหยินซูรีบถวายบังคม “ขอบพระทัยพระเมตตาขององค์ฮองเฮา” จึงเข้าไปนั่งในที่นั่งรองโดยมีนางหลิวประคองเข้าไป นางตวมนู่ เว่ยฉางอิ๋งและคนอื่นๆ เข้าไปยืนอยู่ข้างหลังนาง
ถึงเวลานี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงแอบโล่งอก พลางอดจะสังเกตทั้งซ้ายขวาไม่ได้ และได้ยินฮองเฮาที่อยู่ข้างบนเอ่ยถามอีกว่า “ข้าเห็นว่าหญิงที่สวมเสื้อส้างหรูสีเขียวใบบัวที่อยู่ข้างหลังฮูหยินผู้นั้นช่างไม่คุ้นตานัก หรือว่าจะเป็นแม่นางเว่ยภรรยาของราชองค์รักษ์ซินเสิ่น?”
วันนี้ก็เป็นเว่ยฉางอิ๋งนั่นเองที่สวมเสื้อส้างหรูปักลายเมฆทรงหรูอี้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนบนผ้าพื้นสีเขียวใบบัว เมื่อได้ยินคำก็พลันสะดุ้ง ฮูหยินซูตอบแทนนางไปว่า “ทูลฮองเฮา เป็นแม่นางเว่ยสะใภ้สามของหม่อมฉันเองเพคะ” แล้วให้เว่ยฉางอิ๋งออกไปถวายบังคมองค์ฮองเฮาอีกครั้ง
ฮองเฮากู้ยิ้มรับการถวายบังคม สั่งให้นางลุกขึ้นแล้วว่า “เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยซิ”
เว่ยฉางอิ๋งสูดหายลึกหนหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างเปิดเผย พอดีขึ้นมาสบตากับฮองเฮากู้หนหนึ่ง… ฮองเฮาที่มีชาติกำเนิดในตระกูลกู้แห่งหงโจว ซึ่งเป็นเพียงตระกูลที่อยู่ในระดับกลางในบรรดาตระกูลเลื่องชื่อทั้งหลายในใต้หล้าผู้นี้ หากนับไปแล้วก็ควรจะมีอายุได้สักสี่สิบแล้ว แต่เพราะบำรุงและดูแลเป็นอย่างดี เมื่อมองดูใบหน้าแล้วก็ยังคงเนียนขาวยิ่งนัก คล้ายลมพัดหรือมือไปโดนก็จะปริแตกเอาได้ ยิ่งเมื่อต้องกับแสงโคมในท้องพระโรงที่สาดส่องลงมา ดูเผินๆ แล้ว คล้ายผิวของหญิงสาวอายุสิบแปด
ฮองเฮากู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานมานานปีผู้นี้ สามารถโค่นล้มอดีตฮองเฮาเฉียนผู้ซึ่งอาศัยรูปโฉมที่งดงามทำให้ฮ่องเต้อภิเษกสมรสใหม่เป็นครั้งที่สองลงได้อย่างเด็ดขาด และแม้แต่พระสนมเอกเติ้งซึ่งเป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของฮ่องเต้ก็ยังมิใช่คู่ปรับของฮองเฮากู้ รูปโฉมของนางย่อมต้องไม่ธรรมดา
ฮองเฮามีใบหน้าเรียวยาว คิ้วขนห่านตาหงส์ ดวงตาสดใสดังน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ฟันขาวริมฝีปากแดงสด ผมดำขลับ ท่าทีสง่างามดังรูปสลัก รัศมีความงามของนางแทบจะสามารถส่องสว่างไปทั่วท้องพระโรงแห่งนี้ คงเพราะวันนี้นางต้องการแสดงออกว่าตนให้ความสำคัญต่อองค์หญิงหลินชวน นางจึงสวมชุดตี๋อีตัวยาวปักลายดอกไม้ทองเล็กๆ ทั่วตัวซึ่งเป็นชุดทางการมาเป็นการพิเศษ บนศีรษะปักปิ่นดอกไม้สีทองสิบสองอันเรืองรองจับตา อุบะไข่มุกห้อยระย้าลงมาอยู่ระหว่างมวยผมและข้างใบหู แสงระยิบระยับของอัญมณีต่างๆ ยิ่งขับความน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ของฮองเฮาให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งผู้ใดก็ไม่อาจล่วงละเมิดได้
…เพราะตนเองเป็นเพียงภรรยาของสามัญชน เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่กล้ามองนางนานนัก เมื่อถูกดวงตาสุกใสเย้ายวนดังน้ำในฤดูใบไม้ผลิของฮองเฮากู้มองมา นางจึงหลบตาในทันใด กล้ามองแต่เพียงมือเรียวงามของฮองเฮาที่วางไว้ตรงหัวเข่า ปลายเล็บยอมด้วยสีจากดอกเฟิงเซียนสีสดจัดจ้าน นิ้วงามดังแท่งหยกที่แต่แต้มด้วยสีฉูดฉาดดังเลือด ยามวางอยู่บนชุดตี๋อีสีแดงเข้มยิ่งทำให้เด่นชัดยิ่ง
ฮองเฮากู้ไม่ได้มีท่าทีกังวลใดๆ มากนัก เมื่อจับตามองดูนางอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงหัวเราะและเอ่ยกับผู้คนรอบๆ ว่า “ได้ยินมาว่าตระกูลเว่ยเลื่องชื่อเรื่องคนงาม สมดังคำร่ำลือจริงๆ เด็กคนมีหน้าตางดงามจับตาและไม่มีกลิ่นอายธรรมดาสามัญเลย เป็นดังดอกไม้หนึ่งดอกที่โดดเด่นอยู่บนกิ่งไม้เช่นนั้น สมเป็นบุตรสาวสายเลือดโดยตรงของตระกูลเว่ยจริงๆ คนตระกูลเว่ยที่ข้าเคยพบมาก็มีแต่เพียงฮูหยินเว่ยอตีดภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของท่านเสนาบดีตรวจการเท่านั้นที่เทียบเทียมได้”
เว่ยฉางอิ๋งเผลอยิ้มออกมา เมื่อครู่นี้ตัวเองเพิ่งจะใช้คำว่า ‘สมดังคำร่ำลือ’ ลอบเอ่ยชมฮองเฮาในใจอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าฮองเฮาก็จะใช้คำเดียวกันตอบกลับตนเองมาในทันทีเช่นนี้
นางกำลังจะเอ่ยคำถ่อมตัวตอบกลับไป ก็กลับได้ยินคนทางด้านซ้ายของฮองเฮาหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “ก็มิใช่หรือเพคะ? งามโดดเด่นดังดอกไม้ดอกหนึ่งเช่นนั้น หม่อมฉันมองไปยังรู้สึกว่าตนเองเป็นสาวขึ้นมาอีกหน่อยเชียว”
เว่ยฉางอิ๋งแอบมองไปครั้งหนึ่ง กลับเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สวมชุดฝ่ายในสีม่วงผู้หนึ่ง เกล้าผมทรงหลิงอวิ๋นจี้[1] ท่ามกลางอัญมณีที่ประดับอยู่ล้อมรอบกลับเป็นใบหน้ารูปเมล็ดแดงที่ไม่มีสีเลือดฝาดใดๆ แม้จะอยู่ห่างออกไป แต่กลับยังสามารถมองออกว่าใบหน้านี้แม้จะได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี แต่เห็นชัดว่ามีอายุมากกว่าฮองเฮากู้… เพียงแต่ที่หว่างคิ้วและดวงตามีความสง่างามอย่างหนึ่งที่นิ่งสงบทั้งยังเด็ดเดี่ยวดุจสายน้ำ คล้ายก้อนหยกที่ประคองเอาไว้ชื่นชมในมือมาแสนนาน พร้อมแสงสว่างที่เปล่งประกายออกมาอย่างอ่อนโยนละมุนละไม
นางรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้มีหน้าตาค่อนข้างคล้ายเติ้งจงฉี คาดว่าผู้นี้ก็คงจะเป็นพระสนมเอกเติ้ง?
และในเวลานั้นเอง คำตอบของฮองเฮากู้ก็พิสูจน์การคาดเดาของนาง ฮองเฮายิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “นานๆ ครั้งจะเห็นน้องเติ้งเอ่ยชมคนเช่นนี้” แล้วหันมาเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “เช่นนั้นสักพักเจ้าก็อยู่สนทนากับพระสนมเอกเถิด จะได้ทำให้พระสนมเอกครึกครื้นขึ้นมาบ้าง”
ตอนที่ฮองเฮาเอ่ยถึงคำว่า ‘ครึกครื้นขึ้นนมาบ้าง’ สายตาของสนมเอกเติ้งพลันมีความมืดทมึนฉายขึ้นมา… นางเป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของฮ่องเต้ ทันทีที่เข้าวังมาก็ได้เป็นพระสนมเอก จนถึงยามนี้ก็เคยให้กำเนิดพระโอรสหนึ่งพระองค์ซึ่งก็คือองค์ชายหก แต่เมื่อองค์ชายหกไม่อยู่แล้ว… ทั้งยังมิได้รับเลี้ยงดูองค์ชายหรือองค์หญิงองค์อื่น นับแต่นั้นมาจึงอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ให้นาง…ให้นางได้ครึกครื้นขึ้นมาบ้างเช่นนั้นรึ?
คำกล่าวนี้ของฮองเฮาคล้ายเป็นการเอ่ยเสริมตามคำนาง เพราะนางเอ่ยชมเว่ยฉางอิ๋งไปประโยคหนึ่ง ฮองเฮาก็รีบบอกให้เว่ยฉางอิ๋งไปอยู่เป็นเพื่อนนางในทันใด … ความจริงแล้วกลับเป็นการอาศัยโอกาสนี้ถากถางเรื่องที่นางไร้พระโอรสพระธิดา…
ด้วยความที่เป็นคู่ปรับกันมานาน ความมืดทะมึนในแววตาของสนมเอกเติ้งจึงฉายขึ้นมาและจางหายไป แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยองค์ฮองเฮายิ่งแล้ว ไม่ปิดบังท่านพี่ หม่อนฉันอับโชค ไม่อาจยื้อชีวิตองค์ชายเอาไว้ได้ หลายปีมานี้ก็รู้สึกว่าอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว ปกติแล้วยามอยากจะพูดจา ก็ทำได้แต่พูดกับนกแก้วบนคอนเท่านั้น!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้บทสนทนาของเพราะสนมเอกเติ้งก็เปลี่ยนไป บอกว่า “เพียงแต่ฮูหยินน้อยสามแห่งตระกูลเสิ่นเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว จึงไม่อาจอยู่ในวังเป็นเพื่อนหม่อมฉันได้ทุกวี่วัน หากองค์ฮองเฮาตัดใจได้ มิสู้ให้หลินชวนมาอยู่ที่ตำหนักของหม่อมฉัน และอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันสักพักเป็นอย่างไรเพคะ? อย่างไรเสียองค์ฮองเฮาก็มีองค์รัชทาบาทและองค์หญิงชิงซินอยู่แล้วยังไม่ว่า ทั้งหลานชายหลานสาวก็มีอยู่จำนวนมากแล้ว คาดว่าคงไม่ทรงไม่อนุญาตหม่อมฉันกระมังเพคะ?”
ฮองเฮากู้สำลัก พลันหันไปมองหญิงสาวในชุดสีส้มแดงซึ่งนั่งอยู่ทางขวามือหนหนึ่ง… หญิงสาวผู้นี้คงจะเป็นองค์หญิงหลินชวนแล้ว นางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของฮองเฮากู้ ดังนั้นจึงไม่ได้มีหน้าตาเหมือนฮองเฮา รูปโฉมด้อยกว่าฮองเฮานัก คิ้วเข้มตาโตดูมีชีวิตชีวา ผิวพรรณก็ขาวเนียนละเอียด แต่หากเอ่ยถึงเรื่องความงามก็เพียงเรียบๆ เท่านั้น
ยามนี้นางสวมเสื้อส้างหรูคอป้ายสีส้มแดงปักลายนกเยวี่ยจั๋ว[2]คาบดอกไม้ คาดกระโปรงเยวี่ยฮวา[3] บนศีรษะเกล้าผมทรงฉุยเถียวเฟินส้าวจี้[4] ปักปิ่นอุบะรูปนกหลวน[5] และปิ่นดอกมู่ตาน แม้จะแต่งเนื้อแต่งตัวมาอย่างตั้งใจ แต่ก็พอจะพูดได้ว่าน่ารักสมวัยแรกแย้ม ยากจะบอกได้ว่าเป็นหญิงงาม และเป็นดังที่เสิ่นจั้งเฟิงเคยบอกกล่าวไว้เป็นการส่วนตัวว่าองค์หญิงหลินชวนมีนิสัยค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ยามนี้มองไปแล้วดวงตาขององค์หญิงมีความหยิ่งยโสอยู่มากทีเดียว
เมื่อเห็นว่าสนมเอกเติ้งเอ่ยถึงตน องค์หญิงหลับตาลงครั้งหนึ่งแล้วกล่าวด้วยเสียงแจ่มชัดว่า “หม่อมแม่เติ้งรักใคร่หม่อมฉัน อยากให้หม่อมฉันไปอยู่เป็นเพื่อน นับว่าเป็นโชคของหม่อมฉัน แล้วหม่อนฉันจะกล้าไม่ทำตามได้หรือเพคะ?” เมื่อนางเอ่ยดังนี้แล้ว ก็คล้ายว่าเพิ่งจะนึกถึงฮองเฮากู้ขึ้นมาได้ จึงพลันหันไปมองฮองเฮากู้ แล้วเอ่ยถามอย่างออดอ้อนว่า “เสด็จแม่?”
นางก็พูดมาดังนี้แล้ว ฮองเฮากู้จะขัดได้หรือ? ฮองเฮาจึงได้แต่ยิ้มแล้วว่า “สนมเอกมีร่างกายไม่ใคร่ดีมาแต่ไร แม้จะชอบเจ้า เจ้าก็อยากได้รบกวนพระสนมเอกเกินไปเล่า ไปอยู่สักสองสามวันก็กลับมาเสียเถิด หากไปรบกวนพระสนมเอกมากเกินไปก็จักไม่ดี”
ฮองเฮาไม่คิดจะให้พระสนมเอกมีโอกาสพูดอีก จึงหันไปเอ่ยกับฮูหยินซูที่อยู่ในที่นั่งรองว่า “วันนี้ข้าอยากจะยืมตัวสะใภ้ของเจ้าผู้นี้ไปอยู่เป็นเพื่อนน้องเติ้งสักพัก เจ้าจะยินยอมหรือไม่?”
ฮูหยินซูยิ้มอย่างฝืนใจเหลือ ฮูหยินซูย่อมกระจ่างใจเรื่องการต่อสู้ระหว่างฮองเฮาและสนมเอกเป็นอย่างดี จึงไม่หวังว่าพอเข้าวังมาในวันนี้แล้วทั้งสองพระองค์ก็จะเอาเว่ยฉางอิ๋งไปเป็นเบี้ย สองพระองค์นี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ควรไปล่วงเกินทั้งสิ้น
ไม่ว่าฝ่ายใดตระกูลเสิ่นก็ไม่คิดจะเข้าไปเป็นพวก ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งถูกดึงเข้าไปอยู่ภายในความขัดแย้ง แล้วฮูหยินซูจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร?
แต่เมื่อฮองเฮาเอ่ยถามมาดังนี้ ฮูหยินซูจึงทำได้เพียงกล่าวไปอย่างนอบน้อมนุ่มนวลว่า “ทั้งสองพระองค์หมายตาสะใภ้ของหม่อมฉัน นับเป็นโชคดีของเด็กผู้นี้ ข้าน้อยจะไม่ยอมได้อย่างไรเพคะ?”
ดังนี้แล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงถูกเรียกตัวให้ไปอยู่เป็นเพื่อนพระสนมเอกเติ้ง… ฮองเฮาเอ่ยคำตามมารยาทกับฮูหยินซูอีกสองประโยค จึงสั่งให้ผู้คนที่เฝ้าอยู่ที่ประตูนำคนกลุ่มต่อไปเข้ามา…
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งนึกว่าเมื่อมาอยู่ข้างๆ สนมเอกแล้ว สนมเอกก็จะมาสนทนากับตนบ้างสักน้อย ทว่ายามนางอยู่ต่อหน้า พระสนมเอกก็เพียงดึงมือนางมาแล้วพูดกับนางอย่างราบเรียบประโยคหนึ่งว่า “ดูใกล้ๆ ยิ่งงดงามยิ่งนัก เป็นเด็กดีจริงๆ” แล้วบอกให้นาง “อยู่เป็นเพื่อนข้าพบปะผู้คนเสร็จแล้ว สักพักพอว่างลง จึงค่อยมาสนทนากับข้าดีๆ อีกครา”
แต่จากนั้นก็เอาแต่ทักทายปราศรัยกับผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ และไม่สนใจนางอีกเลย
เริ่มแรกนั้นเว่ยฉางอิ๋งยังคงยืนสงบนิ่งสำรวม พลางคอยเตรียมตัวตอบคำถามของพระสนมเอกอยู่ตลอดเวลา แต่ภายหลังเห็นว่าพระสนมเอกจดจ่ออยู่กับต้อนรับคนในพิธี นางจึงผ่อนคลายลงมาก อาศัยชัยภูมิตรงที่นั่งของสนมเอกเติ้งซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของฮองเฮา คอยมองลงมาสำรวจผู้คนที่อยู่ภายในท้องพระโรงฉางเล่อแห่งนี้
ตำแหน่งที่นั่งของฮูหยินซูก็นับว่าอยู่ข้างหน้ามากแล้ว แต่ในบรรดาสตรีชั้นสูงด้วยกันแล้ว จริงๆ ก็ยังไม่นับว่าอยู่หน้าที่สุด สตรีชั้นสูงสองสามคนที่นั่งอยู่ใกล้กับบัลลังก์มากที่สุด ดูจากจากระดับอาภรณ์ในชุดตี๋อีแล้ว น่าจะเป็นคนในระดับพระชายา เพียงแต่ไม่รู้ว่าทั้งสองสามพระองค์นั้นคือพระชายาใดบ้าง… ในบรรดาผู้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหล่าพระชายามีหญิงสาวสองสามคนที่สวมเสื้อผ้าปักดิ้นทองสีสันสดใส คงจะเป็นคนในระดับพระธิดาองค์รัชทายาทหรือพระธิดาท่านอ๋อง
ถัดลงมาก็เป็นคนระดับฮูหยินขั้นหนึ่งเช่นพวกของฮูหยินซูแล้ว ภรรยาเอกของเสาหลักของแคว้นทั้งหกคนล้วนเป็นขั้นที่หนึ่ง… ทว่าเว่ยฮ่วนซึ่งเป็นอดีตเสนาบดีฝ่ายปกครองและซ่งซินผิงอดีตเสนาบดีตรวจการล้วนกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม ทั้งยังมิได้ประกาศผู้สืบสกุลที่จะสืบทอดตำแหน่งเสาหลักอย่างเป็นทางการ อดีตภรรยาแซ่เฉียนของตวนมู่สิ่งผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายบุ๋น[6] ก็เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นเมื่อรวมฮูหยินซูเข้าไปด้วย ผู้ที่นับเป็นขุนนางขั้นหนึ่งที่อยู่ในท้องพระโรงตอนนี้จึงมีเพียงสามท่าน แม่เฒ่าเติ้งภรรยาเอกของซูผิงจ่านซึ่งรับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายราชองครักษ์ เว่ยฉางอิ๋งเคยพบมาก่อนแล้ว ส่วนอีกท่านหนึ่งซึ่งก็คือฮูหยินผู้เฒ่าเผยภรรยาเอกของสมุหกลาโหมหลิวซือหย่วน ในขณะที่กำลังขานชื่อนางให้เข้าเฝ้าฯ อยู่นั้น เว่ยฉางอิ๋งตั้งอกตั้งใจดูเป็นการเฉพาะ… ฮูหยินผู้เฒ่าสูงวัยมากแล้ว บรรดาหลานสาวที่พาเข้ามาในตำหนักจึงล้วนแต่โตมากแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นว่าหลิวรั่วอวี้ที่ถูกรับตัวกลับบ้านไปและน้องสาวของนางหลิวรั่วเหยียต่างก็อยู่ภายในท้องพระโรงด้วย แต่ละคนต่างแต่งกายอย่างเป็นทางการ และเดินตามหลังสตรีชั้นสูงที่สวมชุดสีเขียวนางหนึ่ง
เพียงคิดก็รู้ว่าสตรีชั้นสูงในชุดสีเขียวผู้นี้จะต้องเป็นนางจางที่เคยยั่วยวนพี่เขยของตนเอง และเมื่อมาเป็นแม่เลี้ยงก็ใจดำอำมหิตต่อบุตรสาวของพี่สาวคนละแม่ของตนเองเป็นแน่แท้แล้ว
เนื่องจากเคยได้ยินคำร่ำลือว่านางจางผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมเหนือคน แม้มีผู้คนจำนวนมากพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างลับๆ ว่าครั้งนางยังมิทันออกเรือนก็เล่นหูเล่นตากับพี่เขยแล้ว ดังนั้นเมื่อพี่สาวคนละแม่เสียไป พี่เขยจึงกลายมาเป็นสามีของนาง… ทว่าเรื่องก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว นางจางสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งภรรยาเอกของหลิวไห้ได้อย่างมั่นคงมาโดยตลอด ไม่เพียงให้กำเนิดหลิวรั่ววั่วซึ่งเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวของหลิวไห้จนถึงตอนนี้ ทั้งยังเคยสนับสนุนบุตรชายตนและพยายามเขี่ยหลิวซีสวินทิ้งไป ด้วยหวังจะช่วงชิงตำแหน่งผู้สืบทอดประมุขของตระกูล
คนเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องสังเกตดูมากเป็นพิเศษ เมื่อลอบมองนางหนหนึ่งแล้ว จึงรู้ได้ทันใดว่าใบหน้าของหลิวรั่วเหยียนั้นถ่ายทอดมาจากมารดาของนางเป็นแน่แท้ แม่ลูกคู่นี้เหมือนกับออกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด… หากหลิวรั่วอวี้เองก็มีหน้าตาเหมือนมารดาของตน เช่นนั้นแล้วหน้าตาของนางจางพี่น้องก็คงจะมีความแตกต่างกัน ในเมื่อหลิวไห้เป็นคนจิตใจโลเล การที่เขาจะถูกน้องภรรยาที่มีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าภรรยาเก่าของตนยั่วยวนเอาก็ไม่เป็นเรื่องแปลก…
คิดถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงมองไปยังหลิวรั่วอวี้ด้วยความเห็นใจหนหนึ่ง… เมื่อมีคู่ปรับเช่นแม่ลูกคู่นี้ ชีวิตของคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้ก็ช่างอาภัพเสียจริงๆ… แต่นางกลับเห็นว่าหลิวรั่วอวี้เองก็สังเกตเห็นสายตาของตนเช่นกัน เมื่อมองมาแล้วเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งอยู่ใกล้ๆ พระสนมเอก นางก็มีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย แต่ภายหลังก็พยักหน้าน้อยๆ ให้เว่ยฉางอิ๋งอย่างสุขุมเยือกเย็นเป็นทีว่าทักทาย
จากนั้น นางก็หันหน้ากลับมา รวบรวมสติและตั้งใจยืนอยู่ข้างหลังนางจาง สีหน้าสุขุมเยือกเย็นท่าทีสำรวมสงบเสงี่ยม มีสง่าราศีไร้ที่ติ
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเหนือคาดเล็กน้อยว่าคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้… คล้ายไม่ใคร่เหมือนเดิมแล้ว?
นางอาศัยชัยภูมิตรงนี้คอยสังเกตผู้คนที่อยู่เบื้องล่างด้วยความสนอกสนใจ พลันมีสายตาหนึ่งจากด้านข้างมองมาทางนาง ทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องเผลอมองกลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว…
_________________________________
[1] ผมทรงหลิงอวิ๋นจี้ เป็นทรงผมที่เอาปอยผมที่รวบแล้วทำเป็นวงแหวนตั้งขึ้นอยู่บนศรีษะ
[2] นกเยวี่ยจั๋ว เป็นหงส์ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายนกฟีนิกซ์
[3] กระโปรงเยวี่ยฮวา เป็นกระโปรงที่ตรงกลางเป็นจีบหน้านาง รอบๆ เป็นจีบรอบ อาจเย็บขึ้นจากผ้าหลากสี หลายชิ้น หลายลวดสาย
[4] ผมทรงฉุยเถียวเฟินส้าวจี้ เป็นทรงผมที่แบ่งผมข้างบนม้วนเป็นวงสองวง ผมด้านล่างรวบไว้
[5] นกหลวน คือ นกฟินิกซ์
[6] ที่ปรึกษาฝ่ายบุ๋น ในภาษาจีนออกเสียงว่า ไท่ซือ (太师) เป็นหนึ่งในตำแหน่ง ซางกง