ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 59 หมิ่นอีนั่ว
เมื่อมองเห็นว่าเป็นหลิวรั่วเหยีย… เรื่องที่คุณหนูตระกูลหลิวซึ่งปีนี้เพิ่งจะปักปิ่นเอ่ยวาจายิ้มแย้มอ่อนโยนแต่บีบคั้นจงลี่น้องสาวของสนมชั้นเสี่ยวอี๋แซ่จงจนตาย จนยามนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้คนสูงศักดิ์รู้กันดี นางฮั่วพี่น้องจึงอดจะระวังตัวขึ้นมาไม่ได้ แล้วแสร้งทำทีทักทายอย่างเกรงใจว่า “น้องหลิว เจ้ามาหาพวกเรามีเรื่องใดหรือ?”
หลิวรั่วเหยียยิ้มพลางมองไปทางที่เว่ยฉางอิ๋งและซูอวี๋ลี่อยู่ กล่าวว่า “เดิมทีไม่กล้าเข้ามารบกวนพี่สะใภ้ฮั่วและพี่ชิงหลิงหรอกเจ้าค่ะ แต่เมื่อครู่นี้ได้ฟังน้องอวี๋อินแห่งบ้านซูเอ่ย คล้ายว่าก่อนหน้านี้พี่สะใภ้ฮั่วมีเรื่องเข้าใจผิดกับพี่เว่ยหรือเจ้าคะ? ข้าจึงรวบรวมความกล้าเข้ามาไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองท่าน อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ไยต้องขัดความสำราญของฝ่าบาทด้วยเรื่องเพียงน้อยนิดเล่าเจ้าคะ?”
นางฮั่วขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ แม้จะบอกว่าอันดับของตระกูลหลิวแห่งตงฮูเหนือกว่าตระกูลฮั่ว แต่ตัวนางฮั่วเองเป็นสะใภ้ของตระกูลเว่ย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังอายุมากกว่าหลิวรั่วเหยียและยังเป็นแม่คนแล้ว… เว่ยฉางอิ๋งเองก็เป็นภรรยา ความบาดหมางระหว่างพวกนางทั้งสองนั้น หลิวรั่วเหยียซึ่งเป็นเด็กสาวน้อยๆ ที่ยังไม่แต่งงานถือสิทธิ์ใดมาพูดไกล่เกลี่ย?
อีกประการนางฮั่วก็รู้สึกรำคาญเว่ยลิ่งจือผู้เป็นน้องสามีมาจากขั้วหัวใจ เดิมทีก็ไม่ได้จะไปทวงถามแทนนางด้วยใจจริง ยามนี้พลันเกิดความคิดขึ้นมาในใจ แล้วกล่าวปฏิเสธไปว่า “ลำบากน้องหลิวแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ล้วนไม่มีผู้ใดกล่าวได้ชัดเจน ข้าไม่กล้าทำการใดๆ โดยพลการ กำลังคิดจะกลับเข้าไปในท้องพระโรง เพื่อบอกกล่าวกับท่านอาสะใภ้!”
หลิวรั่วเหยียกล่าวพลางว่า “พี่สะใภ้ฮั่วท่านโปรดอย่าเข้าใจผิด เดิมทีข้ามีอายุน้อย หรือจะมีสิทธิ์ใดไปช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้พี่สะใภ้และพี่เว่ย?” เสียงนางพลันต่ำลง บอกว่า “เมื่อครู่นี้พี่สะใภ้ฮั่วและพี่เว่ยสนทนากันอยู่ข้างนอกหอเชียนชิวนั้น คล้ายมีนางในเดินผ่านไปและได้ยินมาเล็กน้อย เรื่องนี้เป็นองค์ฮองเฮาส่งคนมาสั่งความกับข้าว่าวันนี้เป็นวันประสูติของฝ่าบาท มีเรื่องบาดหมางอันใดออกไปนอกวังแล้วค่อยพูดกันเจ้าค่ะ”
สีหน้าของนางฮั่วเปลี่ยนไปทันใด จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงจะดี คุณหนูสิบสี่ฮั่วชิงหลิงจึงอธิบายแทนนาง “พี่แปดก็ฟังความมาจากน้องสามี ด้วยต้องการจะทำหน้าที่ของพี่สะใภ้ จึงไปเชิญฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นออกไปข้างนอกเพื่อสอบถามสักสองสามคำ มิได้มีเจตนาจะก่อเรื่องขึ้นที่นี้และรบกวนความสำราญของฝ่าบาทแน่นอน”
หลิวรั่วเหยียเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปาก กรอกดวงตาไปมาแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเชนนั้น พี่สะใภ้ฮั่วเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเสมอมา รู้จักกาลเทศะยิ่งนัก ส่วนพี่เว่ยแม้ข้าจะเพิ่งเคยพบหนหนึ่ง ทว่าก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่เลวเลย ข้าว่าทั้งสองท่านจะจงใจทำลายความสำราญของฝ่าบาทได้อย่างไรกัน? จักต้องเป็นนางกำนัลผู้นั้นเข้าใจผิดแล้ว”
นิ่งไปสักพัก จึงว่า “ก็เพราะว่าพี่ลิ่งจือร้องไห้อยู่นอกตำหนักเว่ยยาง ทำให้นางกำนัลสังเกตเห็น หาไม่แล้วองค์ฮองเฮาก็จะไม่ทรงคิดมากเช่นนี้”
นางฮั่วพลันด่าทอเว่ยลิ่งจือในใจยกใหญ่ว่าชอบก่อเรื่องเดือดร้อน ถอนหายใจหนหนึ่งพลางกล่าวอย่างวางตัวลำบากว่า “จะว่าไปก็ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ความจริงแล้วเป็นเรื่องเช่นนี้ ระหว่างทางฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นเล่าเรื่องให้ลิ่งจือฟัง บอกว่าคุณหนูใหญ่ซ่งผู้สูงศักดิ์บุตรท่านเสนาบดีตรวจการเลี้ยงแมวสิงโตไว้ตัวหนึ่ง และมันไปกินนกแก้วแสนรักที่นางเลี้ยงเอาไว้… ลิ่งจือเป็นคนใจอ่อนเกินไป เมื่อได้ฟังจึงรู้สึกเสียใจกับนกแก้วตัวนั้นจนร้องไห้ออกมา…” ตอนนี้ก็ทำได้เพียงต้องว่าตามคำของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว
“ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้นี่เอง” หลิวรั่วเหยียยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวว่า “เช่นนั้นก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ”
แล้วหันหน้ามามองเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งเองก็กำลังมองมาทางนี้พอดี หลิวรั่วเหยียจึงเสนอความคิดว่า “เช่นนั้น มิสู้พี่สะใภ้ฮั่วและพี่ชิงหลิงเข้าไปพูดคุยกับพี่เว่ยพร้อมๆ กัน เมื่อเป็นดังนี้องค์ฮองเฮาก็จักทรงทราบว่าพวกท่านมิได้ไม่ปรองดองกันแต่อย่างใดแล้ว”
นางฮั่วเองก็ไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮา จึงรีบกล่าวไปว่า “ต้องขอบคุณน้องหลิวจริงๆ ที่มาบอกกล่าว หาไม่แล้ว…”
“พี่สะใภ้กล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ?” หลิวรัวเหยียยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า “จะว่าไปก็เป็นข้าที่ละลาบละล้วงเอง เดิมทีคนที่องค์ฮองเฮาส่งมานั้น มาบอกความแก่พี่สิบของข้า ทว่าพี่สิบของข้ารู้สึกอ่อนเพลีย ข้าจึงมาแทนนาง และเพราะรู้ว่าพี่สะใภ้เป็นมิตร ข้าจริงกล้ามาบอก เดิมทีข้าก็ไม่มีสิทธิ์มาเป็นคนไกล่เกลี่ย พี่สะใภ้ไม่ถือสาข้า ข้าก็วางใจแล้ว!”
นางกล่าวออกมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ดังนี้แล้ว นางฮั่วจึงอดจะมองหาตัวหลิวรั่วอวี้ในหอเชียนชิวไม่ได้ แต่ก็กลับมองไม่เห็น แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าเพราะบุตรสาวทั้งสองคนของหลิวไห้ต่างมารดากันจึงไม่ใคร่รักใคร่ปรองดองกันนั้น ทำให้นางคาดเดาว่าคำกล่าวของหลิวรั่วเหยียนี้ไม่มากก็น้อยจะต้องมีเจตนายุยง ทว่าในใจก็ยังไม่ใคร่เป็นสุขนัก แอบคิดว่าหากหลิวรั่วเหยียมิได้เข้ามาเตือน วันนี้ก็คงจัดต้องล่วงเกินฮองเฮาเป็นแน่…
นางฮั่วกำลังคิดอยู่ดังนี้ ก็พลันมีสีหน้าแสดงออกมาเล็กน้อย กลับเป็นฮั่วชิงหลิงที่สุขุมเยือกเย็น นางโบกพัดสองสามครั้ง ยิ้มอ่อนๆ พลางว่า “เมื่อครู่นี้ข้าก็ยังมิทันได้ทักทายฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นเลย อีกประเดี๋ยวไปกันเถิด”
ทางนี้หลิวรั่วเหยียนำนางฮั่วพี่น้องเข้ามา ทางนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ถูกหลิวรั่วเหยียเกลี่ยกล่อมมาก่อน จึงเดินเข้ามาสองสามเก้า เมื่อมาพร้อมกันอีกครั้ง นางฮั่วและเว่ยฉางอิ๋งล้วนมีท่าทีเกรงอกเกรงใจกันอย่างมาก นางฮั่วเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “น้องเว่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าผิดใหญ่หลวงจริงๆ! ข้าก็เพียงดึงท่านไปบอกกล่าวเพียงไม่กี่ประโยคว่าลิ่งจือ เจ้าเด็กผู้นี้จิตใจอ่อนไหวถึงเพียงนี้ แค่เรื่องนกแก้วตัวหนึ่งถูกแมวสิงโตกินก็ฟังเสียจนร้องห่มร้องไห้… ท่านดูสิ เรื่องล้วนไปถึงองค์ฮองเฮาทางนั้นเสียแล้ว”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ทางลง นางหรือจะไม่ยอมลง จึงเอ่ยคำด้วยท่าทีรู้สึกผิดว่า “จะว่าไปแล้วล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดี มิได้ลองสอบถามถึงนิสัยใจคือของน้องลิ่งจือดูเสียก่อน ยังเล่าเหมือนเป็นเรื่องตลกให้นางฟังเสียอีก! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการทำลายความสนุกสนานของนางในการเข้าวังมาครานี้เสียแล้ว!”
“หาไม่ๆ น้องเว่ยเจ้าเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ก่อนนี้พวกเราก็มิได้พบกันมากนัก ว่ากันว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด…”
“พี่สะใภ้ยิ่งกล่าวเช่นนี้ข้าก็ยิ่งเสียใจแล้ว ก่อนนี้ก็ควรมาสอบถามพี่สะใภ้สักคำสองคำ คงต้องโทษที่ข้าเลอะเลือน พอถูกน้องลิ่งจือลากไปสนทนา ก็ห่วงแต่พูดคุยล้อเล่นกัน…”
ด้วยเหตุที่มีซูอวี๋ลี่ ฮั่วชิงหลิงและคนอื่นห้อมล้อมอยู่ ทั้งสองคนจึงทักทายกันอย่างเกรงอกเกรงใจอยู่พักหนึ่งและยอมลงให้กันอย่างไม่เป็นปกติเอาเสียเลย นางฮั่วยังเป็นฝ่ายเข้าไปจูงมือเว่ยฉางอิ๋งไปดูลายพระหัตถ์ขององค์หญิงหลินชวนตรงหน้าโต๊ะด้วย
หลิวรั่วเหยียยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวอยู่ข้างหลังว่า “ข้าก็บอกแล้วอย่างไร พี่สะใภ้ฮั่วและพี่เว่ยล้วนเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ว่าไปแล้วก็คือเขียนอักษรหนึ่งคราย่อมเขียนอักษรเว่ยสองตัวออกมาไม่ได้[1] พวกท่านดูสิ ผู้ใดว่าพี่สะใภ้ฮั่วและพี่เว่ยไม่ดีต่อกันเล่า? คนใต้หล้าล้วนรู้ว่าฉางซานกงและจิ่งเฉิงโหวผูกสมัครรักใคร่กันยิ่งนัก ปีก่อนเพราะจิ่งเฉิงโหวล้มป่วยจึงเกษียณตัวกลับบ้านเดิม ก็เพราะถูกฉางซานกงรั้งตัวให้อยู่รักษาตัวที่เฟิ่งโจว… ผู้เป็นท่านปู่ก็ยังดีต่อกัน แล้วคนรุ่นหลังจะมีเหตุผลใดให้ไม่ดีต่อกันเล่า?”
จิ่งเฉิงโหวเกษียณตัวกลับบ้านเดิม นับว่าตระกูลฝั่งจือเปิ่นถังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะเรื่องที่เว่ยหวนแห่งรุ่ยอวี่ถังได้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองไป… ไม่ว่านางฮั่วจะมีความแค้นเคืองต่อแม่สามีและน้องสามีเพียงใดก็ตาม แต่ครานี้มือที่ทึ้งผ้าเช็ดหน้าอยู่ก็อดจะยิ่งทึ้งแรงขึ้นอีกไม่ได้
เพราะความจริงแล้ว การไม่มีจิ่งเฉิงโหวอยู่ในวังและคอยประคับประคอง อนาคตของเว่ยลิ่งเต๋อสามีของนาง ก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่งลำบากยิ่งกว่าก่อนนี้มากมายนัก…
พอดีกับที่ซูอวี๋ลี่เดินมาในระนาบเดียวกับนาง จึงอมยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “น้องหลิวกล่าวถูกต้องยิ่งนัก”
เสิ่นจั้งหนิง ซูอวี๋เฟย ซูอวี๋ลี่สามคนที่แต่งหน้าแต่งตาประหลาด พลันครึกครื้นขึ้นมา แม้จะมีอายุไล่เลี่ยกับหลิวรั่วเหยีย แต่กลับห่างไกลกับหลิวรั่วเหยียนัก “ไม่ว่าเด็กหรือแก่ จักรู้ความเพียงใดย่อมอยู่ที่ตน” ด้วยเหตุที่ล้วนเป็นบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์เช่นกัน แต่กลับไม่ใคร่ได้เล่นหัวอยู่ด้วยกัน และเพราะยังไม่ประสา ทั้งคร้านจะทำตัวให้เป็นเช่นซูอวี๋ลี่ แม้ไม่สนิทสนมกับหลิวรั่วเหยีย แต่ก็ยังให้เกียรติด้วยการตอบคำนางไป และต่างคนก็ต่างเอาแต่หัวร่อต่อกระซิกกันอยู่เป็นนาน หาได้เข้าใจสิ่งใดไม่
กลายเป็นนางฮั่วและเว่ยฉางอิ๋งเสียอีกที่พอได้ยินคำกล่าวนี้แล้วก็ไม่อาจไม่หันหน้ากลับไปขอบอกขอบใจนาง… และแน่นอนว่าหลิวรั่วเหยียย่อมต้องตอบคำขอบใจอย่างถ่อมตนยิ่ง
ยามนี้แถวหน้าสุดหน้าโต๊ะขององค์หญิงหลินชวนก็เหลือเพียงแถบหนึ่งที่ไม่มีคนไปยืนด้วยกลัวว่าจะไปบังแสง อีกสามด้านนอกนั้นล้วนถูกห้อมล้อมอย่างแน่นขนัด
ยามนี้ ผู้ที่ตามมาถึงหอเชียนชิวแห่งนี้ ก็ล้วนเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ยังสาวหรือคุณหนูตระกูลใหญ่ ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงล้วนไม่กล้าผลักกล้าดันกันเท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อพวกนางฮั่วและเว่ยฉางอิ๋งเดินเข้ามา นอกจากเว่ยฉางอิ๋งที่มีรูปร่างสูงโปร่ง จึงสามารถมองข้ามหัวผู้คนไปมองเห็นด้านข้างขององค์หญิงหลินชวนและหญิงสาวที่สวมเสื้อส้างหรูสีแดงชมพูได้แล้ว คนนอกนั้นล้วนมองไม่เห็นสิ่งใด
พวกเสิ่นจั้งหนิงทั้งสามคนยังไม่โต ต้องเขย่งเท้ามองอยู่เป็นนาน รู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป จึงบอกไปคำหนึ่งว่า “ในเมื่อมองไม่เห็นแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็กลับเข้าไปในตำหนักเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งคาดว่าแม้ทั้งสามคนจะซุกซน แต่ก็กลับมิใช่ไม่รู้จักขอบเขต ทั้งยังคุ้นเคยกับตำหนักเว่ยยางเป็นอย่างดี… อีกประการตนเองเพิ่งจะยอมมาดูองค์หญิงหลินชวนเขียนอักษรกับนางฮั่ว แล้วหลังจากนั้นก็จะมาจากไปพร้อมกับน้องสามีก็ดูไม่เหมาะ จึงสั่งความไปว่า “ช่วยบอกกับท่านแม่ให้ข้าสักคำ”
เสิ่นจั้งหนิงร้องเฮ่อออกมาคำหนึ่ง แล้ววิ่งออกไปกับลูกผู้พี่ทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
เว่ยฉางอิ๋งจึงหันสายตากลับมามองในกลุ่มคนต่อไป เห็นว่าบนโต๊ะตรงหน้าขององค์หญิงหลินชวนมีภาพวาดแบบดานชิงแผ่อยู่ภาพหนึ่ง ยาวราวสามฉื่อ สูงหนึ่งฉื่อ ลายเส้นพู่กันบนภาพนั้นละเอียดประณีตยิ่ง เป็นภาพทิวทัศน์ทุ่งหญ้าล้อมรอบสระน้ำและดอกบัวที่หันหน้าเข้าหากัน ที่มุมบนขวาของภาพ ยังมีภาพภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป แม้จะมองเห็นไม่หมดเพราะมีคนบังอยู่ แต่ก็สามารถมองเห็นว่าในภาพมีสีสันงดงามสดใสและดูเจริญหูเจริญตายิ่ง
องค์หญิงหลินชวนจับกำไลดันแขนเสื้อให้ม้วนขึ้นสูงๆ เผยให้เห็นลำแขนท่อนบนที่ผุดผ่องดังหิมะ มือจับพู่กันขนม่วง แล้วจุ่มน้ำหมึกจนชุ่มจากแท่นฝนหมึกที่หญิงสาวสวมเสื้อส้างหรูสีแดงชมพูผู้นั้นถืออยู่ นางพิจารณาสักพัก แล้วลากพู่กันดุจมังกรโฉบเขียนตัวอักษรสี่ตัวลงไปตรงพื้นที่ที่วางเปล่าว่า ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’
อักษรสี่ตัวนี้เขียนเสร็จภายในอึดใจเดียว อักษรเที่ยงตรง หนักแน่นอ่อนช้อย เต็มเปี่ยมด้วยพลัง
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะอยู่ไกลก็ยังรู้สึกว่า การที่ทุกคนล้วนกำลังเยินยอลายพระหัตถ์ขององค์หญิงในเวลานี้ ก็หาใช่เป็นการประจบประแจงเสียทั้งหมด เพราะลายพระหัตถ์พู่กันขององค์หญิงนั้นงดงามโดดเด่นจริงๆ
ขณะที่นางคิดเช่นนี้อยู่ในใจ คนที่อยู่โดยรอบล้วนพากันส่งเสียงโฮ่ร้องขึ้นมาเมื่อองค์หญิงหลินชวนเขียนขีดสุดท้ายของอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ!
หญิงสาวในเสื้อส้างหรูสีแดงชมพูที่กำลังถือแท่นฝนหมึกอยู่พลันยิ้มกว้างและกล่าวว่า “ไม่พบไม่กี่วัน น้ำหนักพู่กันยามฝ่าบาททรงอักษรตัว ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ยิ่งมีพลังมากขึ้นแล้ว!” นางมิได้เอ่ยถึงอักษรอีกสามตัวนอกนั้น ดวงตาขององค์หญิงหลินชวนพลันสว่างวาบขึ้นมา หยุดพู่กัน แล้วกล่าวพลางแย้มยิ้มว่า “อย่างไรก็ยังเป็นอีนั่วที่คุ้นเคยกับเส้นพู่กันของข้าเป็นที่สุด เป็นจริงดังนั้น สองสามวันมานี้ ในบรรดาตัวอักษรที่ข้าฝึกฝนมีอักษรตัว ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ จริงๆ และเพราะนึกย้อนไปถึงภาพดอกมู่ตานนับร้อยที่กำลับบานสระพรั่งอยู่ในอุทยานปีนี้พลันทำให้เข้าใจแจ่มแจ้ง อักษรตัวนี้เป็นอักษรที่ข้าภาคภูมิใจเป็นที่สุดแล้ว พอดีกับที่วันนี้เจ้ามาขอตัวอักษร ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ด้วย หากไม่เห็นแก่ที่ในกลอนนี้มีอักษรตัว ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ อยู่ไม่น้อย กลอนที่ยาวเพียงนี้ข้ากลับไม่อยากจะเขียน!”
องค์หญิงหลินชวนเอ่ยว่านางมาขอตัวอักษร ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ทั้งยังเอ่ยนามของนางตรงๆ หญิงสาวผู้นี้ย่อมต้องเป็นหมิ่นอีนั่วแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากว่านางก็คือคุณหนูตระกูลหมิ่นที่เคยถูกเหนียนเซิงย้าวล่วงเกิน ซึ่งดูไปแล้วนางก็อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น รูปโฉมธรรมดานัก แม้ผิวพรรณจะขาวผ่อง แต่หน้าตากลับไม่โดดเด่น หากว่ากันเรื่องความงามก็เพียงพอสูสีกับองค์หญิงหลินชวนเท่านั้น ทว่าทั้งตัวนางกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวรรณศิลป์ มีความแคล่วคล่องปราดเปรื่องแผ่ซ่านออกมาจากกริยาและวาจาอย่างเป็นธรรมชาติ แม้กำลังประจบประแจงองค์หญิงอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่น้อยกว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นพระสหายรู้ใจขององค์หญิงซึ่งแสดงออกอย่างเปิดเผยชัดเจนนัก
เมื่อฟังคำขององค์หญิงในยามนี้ หมินอีนั่วอมยิ้มแล้วว่า “พระดำรัสนี้ของฝ่าบาทแท้จริงแล้วเป็นการล้อเล่นชัดๆ ฝ่าบาทต้องฝึกทรงอักษรเป็นประจำอยู่แล้ว ยังต้องกลัวว่าจะเขียนอักษรหลายตัวอีกหรือเพคะ?”
องค์หญิงหลินชวนเอาพู่กันจุ่มหมึกอีกครั้ง แล้วเขียนเนื้อหาของบทกลอนต่อไป ปากก็เอ่ยว่า “นั่นไม่เหมือนกัน วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ข้าน่ะ ไม่อยากเหนื่อย!”
“เช่นนั้นก็เป็นหม่อนฉันทำไม่ถูกแล้ว” หมิ่นอีนั่วยิ้มกว้าง แม้ปากจะว่าเช่นนั้น แต่มือกลับวางแท่นฝนหมึกเอาไว้บนโต๊ะ เลือกหยิบแท่งหมึกมา แล้วค่อยๆ เริ่มฝนหมึกอย่างใจเย็น
องค์หญิงเขียนเสร็จหนึ่งบรรทัด แล้วเงยหน้าขึ้นมาเสียงดังใส่นาง “พูดเสียงน่าฟัง! แต่เจ้ากลับกลัวแต่ว่าข้าจะวางภาพวาดนี้ของเจ้าเอาไว้เฉยๆ ไม่สนใจน่ะสิ! พูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งแท้ๆ กลับรีบมาฝนหมึกแทบไม่ทัน ก็ด้วยหวังให้ข้าเขียนต่อไป… ยังจะบอกว่าตนเองทำไม่ถูกอีก เจ้ารู้สึกว่าเป็นตนเองทำไม่ถูกที่ใดกัน?”
หมิ่นอีนั่วยิ่งยิ้มกว้างแล้วว่า “ก็หม่อมฉันทำไม่ถูกมาแต่แรกแล้วนี่เพคะ ยามนี้ฝ่าบาททรงอักษรหัวข้อไปแล้ว แล้วหม่อนฉันจะไม่ฝนหมึกเตรียมไว้ได้อย่างไร?”
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเจ้าก็ล้วนมีเหตุผล อายุเจ้ายิ่งมากก็ยิ่งมีลูกไม้มากขึ้นเรื่อยๆ!” องค์หญิงหลินชวนร้องเชอะออกมาคำหนึ่ง… แม้จะเป็นดังนี้ แต่การต่อปากต่อคำระหว่างหมิ่นอีนั่วและองค์หญิงหลินชวนก็ล้วนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน ประหนึ่งเป็นสหายสนิททั่วไปหรือพี่น้องร่วมท้องเช่นนั้น มองไม่ออกเลยว่ามีความห่างไกลกันระหว่างราชนิกูลและสามัญชน
พลันได้ยินว่าในฝูงชนมีคนพูดติดตลกว่า “พี่หมิ่นชอบมีลูกไม้กับฝ่าบาทเป็นที่สุดเพคะ”
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าเสียงนี้เป็นเว่ยฉางเจวียน แล้วเห็นว่าหมิ่นอีนั่วหันหน้าไปอมยิ้มและมองเว่ยฉางเจวียนอย่างไม่พอใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้ามาหักขาเก้าอี้ข้าเช่นนี้ เจ้าอย่าได้มาเสียใจภายหลังเชียว!”
วันนี้เว่ยฉางเจวียนสวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นสีลูกท้อ คาดกระโปรงไล่สีเขียวขาวยาวลงไปถึงข้อเท้าซึ่งพริ้วปลิ้วยามลมโชยเข้ามา ทำให้เห็นได้ชัดว่ารูปร่างนางช่างเล็กและบอบบางนัก นางเอียงหัวแล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสาว่า “ข้าต้องเสียใจภายหลังเรื่องใด?”
“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้แล้ว” หมิ่นอีนั่วโบกมือไปมา รอจนองค์หญิงเขียนเสร็จแล้วนางก็ขยับเข้าไปเป่ารอยหมึกให้แห้งอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เก็บไปอย่างประณีต… เว่ยฉางเจวียนไปรบเร้าสอบถามต่อ “พี่หมิ่นยังมิทันบอกเลย ว่าข้าต้องเสียใจเรื่องใด?”
แล้วเห็นหมิ่นอีนั่วเอาม้วนกระดาษมาตบที่ผ่ามือเบาๆ ถอนหายใจแล้ว่า “เดิมทีเดือนหน้ามีวันเกิดของคนผู้หนึ่ง ข้าคิดจะมอบของกำนัลที่พิเศษสักหน่อยให้คนผู้นั้น ปรากฏว่าคนผู้นั้นคล้ายไม่ใคร่อยากได้ของกำนัลนี้แล้ว…”
พลันเห็นเว่ยฉางเจวียนกระโดดโหยงขึ้นมาแล้วว่า “พุทโธ่! ให้ข้าเถิด!”
…ที่แท้เป็นการตระเตรียมของกำนัลให้เว่ยฉางเจวียนนี่เอง
_______________________________
[1] เขียนอักษรหนึ่งคราย่อมเขียนอักษรเว่ยสองตัวออกมาไม่ได้ หมายถึง ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนร่วมตระกูลเดียวกัน มีความผูกพันสมัครรักใคร่กัน