ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 60 ถกเถียงไปมา
หมิ่นอีนั่วหัวเราะพลางชูมือขึ้น เว่ยฉางเจวียนกวาดมือไปคว้าได้เพียงความว่างเปล่า พลันยกชายกระโปรงขึ้นมาแล้ววิ่งวนอยู่รอบตัวนางหลายรอบ ทั้งกระโดดทั้งเอะอะเสียงดัง เพียงแต่หมิ่นอีนั่วมีรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนเว่ยฉางเจวียนกลับยังไม่โต ย่อมเอื้อมมือขึ้นไปไม่ถึง หลังจากเห็นดังนั้นแล้วจึงขอร้องนางให้ละเว้นตนว่า “พี่สาวที่แสนดี ในเมื่อเดิมทีท่านก็เตรียมจะมอบให้ข้า ก็ให้ข้าเถิด!”
“ให้เจ้าทำสิ่งใด?” หมิ่นอีนั่วเอามือไพล่หลัง กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มพลางว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าข้าชอบมีลูกไม้กับฝ่าบาท…”
“ข้าพูดจาส่งเดช! ท่านพี่ไยต้องถือสาข้าเล่า!” เว่ยฉางเจวียนทั่งโวยวายทั้งหัวเราะ บรรดาสตรีตระกูลใหญ่ทั้งหลายล้วนพากันหัวเราะ “น้องฉางเจวียนเจ้านี่ก็จริงๆ เชียว เพื่อภาพภาพนี้ เจ้าก็ออกปากมาเองว่าตนพูดจาส่งเดชแล้ว”
เว่ยฉางเจวียนยิ้มตาหยีพลางว่า “พุทโธ่เอ๊ย เดิมทีแค่คิดจะกระเซ้าพี่หมิ่นสักหน่อยเท่านั้น ปรากฏว่าวันนี้กลับถูกพี่หมิ่นรุกฆาตเอาเสียแล้ว แล้วข้ายังจะไม่ยอมแพ้ได้หรือ? ดีชั่วอย่างไรต้องเอาภาพมาให้ถึงมือเสียก่อนจึงจะดี”
“พี่หมิ่น ท่านก็ยกโทษให้นางเถิด ดูไปแล้วน่าสงสารเหลือ”
เมื่อได้ยินว่าสตรีตระกูลใหญ่ทุกคนล้วนพากันหัวเราะและต่างช่วยกันรอมชอมให้นาง
“ไม่ให้เจ้าหรอก” เพียงแต่หมิ่นอีนั่วยังยืนกรานไม่ยอมให้ กล่าวว่า “ยังมิทันเอาไปติดใส่กระดาษ เจ้าจะเอาไปทำสิ่งใด? อีกประการวันเกิดเจ้ามาถึงแล้วรึ? ก็ยังไม่มาถึง แล้วจักมอบให้เจ้าได้อย่างไร? เมื่อให้เจ้าแล้ว พอถึงวัน หรือจะให้ข้าเดินมือเปล่าเข้าบ้านเจ้า?”
“แล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ได้อย่างไรกัน?” เว่ยฉางเจวียนพูดออดอ้อนว่า “หรือว่าข้าจะไล่พี่หมิ่นออกจากบ้านเล่า? ข้าจะขอร้องให้พี่หมิ่นเข้าไปสอนเรื่องต่างๆ ให้ข้าที่จวนก็ยังมิได้เลยด้วยซ้ำ!” พลางไปดึงคนข้างๆ “พี่ฮั่ว ท่านก็ช่วยพูดขอร้องให้ข้าหน่อยสิ!”
พี่ฮั่วที่นางกำลังดึงตัวอยู่นี้ก็คือฮั่วชิงหลิง เดิมทีเพียงยิ้มจางๆ คอยดูอยู่ข้างๆ แต่จู่ๆ ก็ถูกเว่ยฉางเจวียนดึงตัวเอาไว้ นางจึงสะดุ้งขึ้นมาน้อยๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่าพี่หมิ่นพูดมีเหตุผล…. ก็ยังไม่ถึงวัน ไม่แน่ว่าพี่หมิ่นยังต้องแก้ไขตกแต่งอีก ไยเจ้าจึงไม่รอสักหน่อยเล่า?”
“ด้วยเหตุผลนี้นี่ล่ะ” หมิ่นอีนั่วชูภาพขึ้น ยิ้มพลางว่า “ยังมีอีกหลายแห่งบนภาพที่ข้าต้องเติมสีอีกสักหน่อย เมื่อครู่นี้เห็นฝ่าบาทเขียนอักษร ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ลงไป ข้าก็เกิดความคิดขึ้นมาอีก หากเจ้าขืนขอเอาไปก่อน คนที่เสียผลประโยชน์ก็จะเป็นเจ้าเอง เดิมทีข้าก็มิใช่ศิลปินมีชื่ออันใด ยามนี้ก็เพียงพยายามวาดออกมาให้ดีเท่านั้น หากเจ้าไม่ยอมให้โอกาสข้าปรับเปลี่ยนแต่งเติมสี ดูซิว่าเจ้ายังกล้าเอาไปแขวนหรือไม่”
เว่ยฉางเจวียนกล่าวว่า “โธ่ ข้าจะมีสิ่งใดไม่กล้าเล่า? พี่หมิ่นท่านก็มิใช่ว่าไม่เคยไปที่ห้องหนังสือที่บ้านข้า ทั้งที่อักษรที่ข้าเขียนเละเทะเพียงนั้น ข้าก็ยังกล้าเอามาแขวน ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงภาพของท่านพี่เลย”
เพราะฮั่วชิงหลิงเองก็บอกให้นางรอสักพัก นางจึงใช้โอกาสนี้หาทางลงโดยกล่าวว่า “เพียงแต่ท่านพี่จะแต้มสีให้งดงามขึ้น ก็นับว่ายอมลำบากเพื่อข้า ข้าย่อมไม่กล้ายั้งท่าน” แล้วกำหมัดกวัดแกว่งไปมา ยิ้มแย้มพลางว่า “แต่ต้องให้ข้าจริงๆ นะ ห้ามพี่หมิ่นกลับคำแล้วนำไปให้ผู้อื่นเชียว!”
“เจ้าคนแล้งน้ำใจ ข้าเคยหลอกผู้ใดหรือไร?” หมิ่นอีนั่วเอาม้วนภาพเคาะที่หัวนางเบาๆ พลางกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ยามนี้องค์หญิงหลินชวนก็ดึงแขนเสื้อลงมาและดื่มน้ำชาหมดถ้วยแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกนางเอะอะและเงียบลงแล้ว นางจึงมองไปยังถังทองแดงหยดน้ำหนหนึ่ง แล้วว่า “พวกเราก็ออกมาระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าเสด็จแม่จะทรงผลัดฉลองพระองค์และกลับไปในงานแล้ว พวกเราก็กลับเข้าไปในตำหนักกันเถิด”
เมื่อองค์หญิงตรัสดังนี้แล้ว ทุกคนย่อมพากันน้อมรับ
ในเมื่อต้องกลับตำหนักไปพร้อมกัน กลุ่มคนเคยที่ก่อนนี้ห้อมล้อมอยู่ข้างกายองค์หญิงหลินชวนจึงหันกลับมา เว่ยฉางหว่านและเว่ยฉางเจวียนเองจึงมองเห็นเว่ยฉางอิ๋ง แม้จะมีเรื่องขัดเคืองกัน แต่อย่างไรก็ยังเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องกันแท้ๆ เมื่อได้พบกันก็ต้องทักทายกันสักคำสองคำ จึงเอ่ยปากทักทายพลางเดินตามไปพร้อมกับกลุ่มคน
ในกลุ่มคนมีสตรีตระกูลใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่สนใจองค์หญิง โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนจำนวนหนึ่งเข้ามาในหอเชียนชิวเพิ่มอีก เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งที่ยังเป็นสาวและมีรูปโฉมงดงาม แต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าของหญิงที่แต่งงานแล้ว ทว่ากลับดูไม่คุ้นตานัก จึงมีคนรู้สึกสงสัยและเอ่ยถามคนข้างกายทั้งซ้ายขวา “นั่นเป็นผู้ใด? ดูเสื้อผ้าไม่ธรรมดา ทั้งมีคุณหนูใหญ่ตระกูลซูและพี่น้องตระกูลเว่ยคอยอยู่ข้างกาย เป็นสตรีตระกูลใด? คงเป็นหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์กระมัง?”
ถามไปถามมาก็ถามไปถึงคนที่รู้ จึงแอบๆ บอกกันว่า “จะเป็นผู้ใดได้เล่า? ก็ต้องเป็นฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นนั่นแล้ว”
“ภรรยาของเสิ่นย้าวเหยี่ย?” คนที่เอ่ยถามพลันมีท่าทีตื่นเต้น และมีหลายคนที่มีสีหน้าแปลกๆ ขึ้นมา
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนในขณะเดินออกไปข้างนอกและคนที่อยู่รอบกายก็กำลังคุยสรรพเพเหระกันอยู่ ทว่าเพราะนางฝึกวรยุทธ์มานานปี หูไวตาไว จึงสามารถฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ในใจพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาน้อยๆ พลางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
เดินออกไปข้างนอกทั้งเช่นนั้น เมื่อลงจากภูเขาเทียม จึงสังเกตว่าทั้งสี่ทิศรอบตัวล้วนมีสายตาจำนวนมากจับจ้องมายังตนด้วยความรู้สึกลึกๆ บางอย่างที่ยากอธิบายได้
แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจรับเอาไว้นานแล้ว แต่เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ เว่ยฉางอิ๋งก็ยังต้องขบริมฝีปาก
ซูอวี๋ลี่คอยอยู่ข้างๆ นางตลอด นางเป็นคนละเอียดอ่อน จึงสัมผัสได้ในทันใดและขมวดคิ้วขึ้นมา… ซูอวี๋ลี่เป็นคนอ่อนโยน คนเหล่านี้เพียงมองเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตาประหลาด นางเองจึงขัดเขินที่จะเข้าไปตำหนิ ว่าแล้วก็ดึงมือเว่ยฉางอิ๋งและบอกว่า “พวกเราเดินกลับไปตำหนักให้เร็วสักหน่อยดีหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากล่าง แต่กลับรู้สึกโกรธเคืองมาจากขั้วหัวใจ จึงส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าทิวทัศน์ตามทางนี้ไม่เลวเลย พวกเราค่อยๆ เดินเถิดเจ้าค่ะ”
…คนเหล่านี้มีเจตนาร้ายเช่นนี้ ทั้งยังจับจ้องนางอย่างมีนัยยะแฝง ก็มิใช่ว่าต้องการเห็นนางรีบหนีไปอย่างร้อนรนหรอกหรือ? ยิ่งถ้านางทนไม่ไหวและร้องไห้ออกมาต่อหน้าธารกำนัลได้เป็นดีที่สุด จักได้กลายเป็นหัวข้อให้พวกนางสนทนายามดื่มน้ำชาหลังเวลาอาหารพลางชมระบำ…ถือดีอย่างไร?
นางจึงจะไม่เดินให้ไวๆ และจะเดินให้ช้าๆ เข้าไว้!
ไม่เชื่อหรอกว่าคนเหล่านี้จะกลืนกินนางเข้าไปได้! วันนี้ ทั้งฮองเฮา พระสนมเอก พระมารดาท่านอ๋องและพระชายาท่านอ๋องทุกพระองค์ล้วนไม่กล่าวสิ่งใด คนเหล่านี้นึกว่าเมื่อมองนางด้วยสายตาเช่นนี้…แล้วจะทำสิ่งใดได้? ดีชั่ว ไม่ว่าวันนี้นางจะแสดงออกเช่นไร ในเมื่อคนเหล่านี้มีเจตนาร้าย อย่างไรก็ไม่มีวันพูดคำดีๆ เป็นแน่ แล้วไยต้องให้พวกนางสมหวัง!
แม้เสียงพูดที่ซูอวี๋ลี่แนะให้ทั้งสองคนเดินเร็วสักหน่อยจะเบา แต่เพราะทางเดินมิได้กว้างขวาง คนทั้งกลุ่มล้วนเดินเบียดตัวอยู่ด้วยกัน จึงยังมีคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินเข้า
ว่าแล้วก็มีคนกระซิบกระซาบเล่าความข้างหูกัน สายตาที่มีความนัยเหล่านั้นจึงกลายเป็นสายตาดูแคลนขึ้นมา…
เดิมทีเว่ยฉางหว่านยังเดินพูดคุยปกติอยู่กับเว่ยฉางอิ๋งอย่างเกรงอกเกรงใจ เว่ยฉางเจวียนเองก็ยังคอยยิ้มแย้มและสนทนาด้วยสองสามประโยค ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามกำลังรักใคร่ปรองดองกัน แต่สายตาที่ส่งมาและท่าทีแอบหัวเราะด้วยสาเหตุไม่ชัดแจงที่ดังมาจากกลุ่มคนก็ทำให้สีหน้าของเว่ยฉางหว่านค่อยๆ ซีดเผือดลง แล้วรีบยุติเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่กับเว่ยฉางอิ๋ง พลางหันหน้ากลับไปเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบังปากไว้ และไอเบาๆ ไปหลายหน
เว่ยฉางหว่านรีบเข้าไปประคองพี่สาวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “พี่ใหญ่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“คงเพราะแดดแรงเกินไป จึงรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย” เว่ยฉางหว่านค่อยๆ เอ่ยออกมาช้าๆ คล้ายเป็นการอธิบายต่อเว่ยฉางอิ๋ง “บนถนนนี้มีคนมากเกินไป เบียดกันเสียจนอึดอัดไปหมด”
เว่ยฉางเจวียนร้องอ่ะออกมาคำหนึ่ง แล้วหันไปกล่าวกับเว่ยฉางอิ๋งอย่างขออภัยอยู่ในทีว่า “พี่สาม พี่ใหญ่ไม่ค่อยสบาย ที่นี้มีคนมากเบียดเสียดกัน ข้าจะประคองพี่ใหญ่ไปข้างหลัง”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจว่าพวกนางไม่อยากอยู่กับตนและต้องทนรับสายตาและการเย้ยหยันจากกลุ่มคน ดีชั่วอย่างไรครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจว ลูกผู้น้องสี่ลูกผู้น้องห้าซึ่งนางแน่ใจว่าไม่เคยปฏิบัติไม่ดีด้วยทั้งยังคอยดูแลพวกนางมาอย่างดีก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว… และนั่นยังเป็นน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกันและเคยมีมิตรไมตรีอันดีต่อกันอีกด้วย!
ด้วยสาเหตุจากบ้านใหญ่ทำให้บ้านสองถูกแม่เฒ่าซ่งคอยกดเอาไว้ตลอดมา ความเป็นอริระหว่างทั้งสองบ้านจึงดูคล้ายว่ามองไม่ใคร่เห็น เพียงแค่ผู้ใหญ่ไม่กล้าแสดงออกมาเท่านั้น อีกประการเว่ยฉางหว่านและเว่ยฉางเจวียนก็ล้วนเป็นพี่น้องที่เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งได้พบหลังจากมาถึงเมืองหลวง มิได้มีความผูกพันอันใด ดังนั้นเรื่องที่นางผละจากไป เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้รู้สึกเหนือคาดทั้งไม่รู้สึกคับแค้นใจ จึงพยักหน้ารับอย่างไม่ได้รู้สึกอะไร กล่าวว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่สุขภาพไม่ใคร่ดี อย่างนั้นก็ควรจะรีบออกไปอยู่นอกกลุ่มคนเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่านางมิได้ยื้อจะให้ทั้งสองคนอยู่เป็นเพื่อน อีกทั้งซูอวี๋ลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็มองมาด้วยสายตาที่ซับซ้อนนัก เว่ยฉางหว่านพลันมีสีหน้าอึดอัดใจ ทว่าก็ปกปิดเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว พลางกระแอมไอและหยุดเดิน… เมื่อคนข้างหลังเดินผ่านพวกนางมา จึงค่อยๆ มองไม่เห็นพวกนางพี่น้องแล้ว
เมื่อเห็นเป็นดังนี้ เสียงนินทาในกลุ่มคนก็ยิ่งดังมากขึ้น บางคราก็มีเสียงหัวเราะเยาะหยันดังขึ้นมา อีกทั้งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีคนทอดถอนใจ พลางกล่าวว่า “เป็นพี่น้องกับคนเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ อยู่ดีๆ ก็พลอยถูกลากไปรับเคราะห์ด้วย… เพียงแต่พี่น้องตระกูลเว่ยอ้างเหตุผลว่าสุขภาพไม่ดี ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลซูจะอ้างเหตุผลใด?”
แล้วพลันได้ยินเสียงคนหัวเราะเยาะ “พี่น้องตระกูลเว่ยมีสองคน ยังสามารถให้คนหนึ่งส่งคนหนึ่งรับได้ คุณหนูใหญ่ตระกูลซูจึงน่าสงสารแล้ว ว่าอย่างไรจึงจะดีนะ? จึงจะไม่ล่วงเกินคนเป็นญาติพี่น้องกัน!”
“ความจริงแล้วข้าว่าญาติพี่น้องเช่นนี้จะมีสิ่งใดที่ไม่อาจล่วงเกินเล่า? ข้าหาได้เข้าใจไม่ว่านางยังหน้าทนทำหน้าระรื่นเข้ามาในวังได้อย่างไร…”
คนที่เอ่ยคำนี้อยู่ข้างหลังเว่ยฉางอิ๋งไปไม่ถึงสามก้าว แม้จะกล่าวด้วยเสียงบางเบา แต่กลับชัดเจนทุกถ้อยคำ สีหน้าของซูอวี๋ลี่พลันหนักอึ้งขึ้นมา กำลังจะหันหน้ากลับไปต่อว่า แต่กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งออกแรงรั้งตัวเอาไว้ ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางเดินไปข้างหน้าด้วยจังหวะก้าวเท้าปกติ… เพียงแต่ผ้าปักดิ้นทองลายเมฆหรูอี้ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนบนผ้าพื้นสีเขียวใบบัวผืนกว้างพลันสะบัดไปถูกยอดกิ่งดอกทับทิมที่ถูกย้ายเข้ามาจัดวางไว้ข้างทางเพื่องานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนเบาๆ โดยไม่ตั้งใจและคล้ายว่าเพียงถูกแรงลมพัดโดนเท่านั้น
ทว่าเมื่อแขนเสื้อเพิ่งจะตกลง ก็ได้ยินเสียง ‘พึ่บ’ ที่แสนแจ่มชัดดังขึ้นหนหนึ่ง จากนั้นคนผู้หนึ่งในฝูงชนก็ร้องอ๊ะออกมาด้วยความตกใจ!
คนที่อยู่รอบทิศพลันหันมองตามเสียงไป จึงเห็นว่าหญิงสาวสวมเสื้อส้างหรูสีเหลืองขมิ้น คาดกระโปรงลายดอกเล็กๆ อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีผู้หนึ่งกำลังยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก บนแขนเสื้อเปื้อนน้ำดอกทับทับสีจัดจ้านเป็นแห่งๆ ทั้งตรงแก้มก็ยังมีที่กระเด็นไปถูกอีกหลายจุด นางกำลังกระหืดกระหอบพลางมองไปรอบๆ “ผู้ใด? เป็นผู้ใดทำ?!”
ซูอวี๋ลี่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นคนที่เพิ่งจะนินทาเว่ยฉางอิ๋งไปเมื่อครู่นี้ เดิมทีนึกว่าเว่ยฉางอิ๋งรั้งตนเองไว้เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่อง แต่กลับไม่คิดว่านางจะเป็นคนลงมือเสียเอง… นางเข้าใจขึ้นมาทันใดและอดจะโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้
ที่แท้หญิงสาวผู้นั้นพูดไปได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็ถูกดอกทับทิมลอยปลิวเข้ามาชน นางจึงเกิดความระแวงสงสัยขึ้นมา ยามนี้มองเห็นซูอวี๋ลี่โค้งมุมปากขึ้น มีหรือจะยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเว่ยฉางอิ๋ง? นางพลังชี้นิ้วไปหาเว่ยฉางอิ๋งและตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้นว่า “เป็นเจ้าใช่หรือไม่? ต้องเป็นเจ้าทำแน่! เจ้ากล้านักนะ…”
ซูอวี๋ลี่ขัดนางขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “คุณหนูเฉียนหก นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดตัวท่านถูกดอกไม้กระเด็นมาใส่ แล้วกลับมาโยนให้ลูกผู้น้องข้าเล่า?” วันนี้เป็นวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ก่อนนี้ฮองเฮาพบเห็นเรื่องของเว่ยลิ่งจือก็ยังทรงปรามทั้งสองฝ่ายว่าไม่ให้ขัดความสำราญขององค์หญิงหลินชวนเลย ยามนี้ซูอวี๋ลี่ย่อมไม่ต้องไม่ให้เว่ยฉางอิ๋งยอมรับเรื่องนี้เป็นแน่
ด้วยกังวลว่าหากเว่ยฉางอิ๋งมีโทสะขึ้นมาแล้วจะเอ่ยปากยอมรับว่านางเป็นคนเอาดอกทับทิมโยนใส่คน ซูอวี๋ลี่จึงรีบบอกปัดแทนนางไปครั้งแล้วครั้งเล่า
คุณหนูเฉียนหกผู้นั้นเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ถูกดอกไม้กระเด็นมาใส่อันใดกัน? ข้ากำลังพูดอยู่ดีๆ พลันมีดอกไม้ดอกหนึ่งลอยมากระแทกปากข้า หากมิใช่ลูกผู้น้องผู้นี้ของเจ้าทำ แล้วจักเป็นผู้ใดได้?!”
________________________