ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 62 ดอกทับทิม
เดิมทีคุณหนูกู้พูดคำนี้จบก็เตรียมจะสะบัดแขนเสื้อจากแล้ว แต่เมื่อเฉียนมั่วเอ๋อร์บีบบังคับตนเช่นนี้ นางจึงหางทางลงไม่ได้ พลันหันหน้ามาหานางอย่างเกรี้ยวโกรธ กล่าวว่า “เจ้านี่ประหลาดคนจริง!”
นางร้องออกมาเช่นนี้ แล้วก็กำลังจะเดินจากไป เฉียนมั่วเอ๋อร์โกรธถึงขีดสุด จึงกลับไม่ยอมปล่อยนางไปเช่นนี้ พลันยิ้มหยันแล้วไล่ตามไป กางสองแขนออกขวางอยู่ข้างหน้านาง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ข้ากล้าสาบาน เจ้ากล้าหรือไม่? เจ้าไม่กล้า แล้วยังมาบอกว่าข้าประหลาดคนรึ? เรื่องต่างๆ ล้วนเป็นเจ้าเริ่มก่อน ยามนี้เจ้ากลับมาด่าทอข้า เจ้ามีเหตุผลหรือไม่กัน?”
“พูดกับคนเช่นเจ้าใช้เหตุผลแล้วมีประโยชน์หรือ?” เดิมทีคุณหนูกู้ไม่อยากสนใจนางแล้ว ทว่าเพราะถูกขวางไว้ไม่อาจหลีกหนีไปได้ ทั้งยังรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา จึงกล่าวอย่างโมโหว่า “เว่ยฉางอิ๋งก็ไปแล้ว เจ้ายังจะมารังควานข้าอีกทำสิ่งใด? ยังเกี่ยงว่าเรื่องน่าขัดที่เจ้าทำในวันนี้ไม่มากพอหรือ?”
เมื่อถูกนางเตือนสติ เฉียนมั่วเอ๋อร์พลันสะดุ้งแล้วมองไปรอบๆ ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งและซูอวี๋ลี่ไม่รู้ว่าเดินออกไปยามใดจนห่างออกไปสิบกว่าจั้ง และถูกต้นไม้ดอกไม้บดบังจนมองไม่เห็นแล้ว ยามนี้มองไปยังมีคนรุมล้อมอยู่ข้างกายพวกนางจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็คล้ายจะเป็นคนไม่กี่คนที่เข้ามารุมเหยียบย่ำตนไปด้วยและพยายามหาทางลงไปด้วยเมื่อครู่นี้
นางคิดถึงว่าตนเองเพียงพูดผสมโรงตามน้ำไปไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้ ทั้งถูกตีทั้งขายหน้า จนยามนี้ยังมาทะเลาะกับสหายอีก ส่วนเว่ยฉางอิ๋งกลับทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นและกลับเข้าในตำหนักไปก่อนแล้ว… ความเศร้าเสียใจจึงอดจะประทุออกมาได้ พลันร้องไห้โฮบอกว่า “กู้เม่ยเม่ย ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ! เมื่อครู่นี้เป็นเจ้าเริ่มต้นชัดๆ แต่กลับไม่ช่วยข้าพูดสักคำ ยามนี้เรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้แล้ว ข้าจะมีหน้าเข้างานเลี้ยงในตำหนักอีกได้อย่างไร? เข้าจะกลับบ้าน!”
แล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว แม้หลิวรั่วอวี้จะไม่สนิทสนมกับข้า แต่ข้าก็เคยได้ยินมาว่าคุณหนูหลิวสิบผู้นี้เป็นคนนิสัยดี กลายเป็นเจ้าเสียอีกที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักน้อย!”
คุณหนูกู้ที่มีนามว่าเม่ยเม่ยได้ยินคำก็ขมวดคิ้ว รีบดึงนางมาข้างทางเพื่อหลบสายตาผู้คน โอดครวญเสียงต่ำว่า “เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ข้านินทาเบาๆ ไปสองประโยค เจ้าเข้ามาผสมโรงด้วยก็แล้วไป แต่ไยต้องพูดเสียไม่น่าฟังเพียงนั้น? ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาต่อหน้าธารกำนัล ก็มิใช่จะทำให้ข้าวางตัวลำบากรึ?”
“เจ้าว่าข้าพูดไม่น่าฟังรึ? แล้วที่เจ้าพูดนั้นน่าฟังสินะ?” เฉียนมั่วเอ๋อร์ร้องไห้พลางว่า “ก่อนนี้มิใช่เจ้าดูแคลนเว่ยฉางอิ๋งยิ่งนัก? ยามนี้กลับมาโทษว่าข้าต่อว่านางไม่น่าฟัง พวกเจ้าหวาดกลัวนางเพียงนี้เชียวรึ? ว่ากันจริงๆ นางก็เป็นเพียงภรรยาของสามัญชนผู้หนึ่งเท่านั้น แต่เจ้ากลับเป็นถึงหลานสาวขององค์ฮองเฮา แต่กลับหวั่นเกรงนางจนถึงขั้นนี้! ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ เดิมทีข้าหลงนึกว่าเจ้าไม่เหมือนผู้อื่น จึงได้เจาะจงเรียกเจ้าออกมา หลงนึกไปนักหนาว่ามีเพียงเจ้าที่ไม่กลัวนาง และกล้าออกมาต่อคำกับนาง แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะขี้ขลาดเพียงนี้!”
สีหน้าของกู้เม่ยเม่ยไม่น่าดูยิ่งนัก พลางออกแรงทึ้งผ้าเช็ดหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดสิ่งใด… ขะ… ข้า จะกลัวนางได้อย่างไร? เพียงแต่คนเช่นนั้น เจ้าว่าหญิงที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นพวกเราไยต้องไปเผชิญหน้ากับนาง? เจ้าดูนางสิ เป็นกุลสตรีตระกูลใหญ่ ถูกคนต่อว่าคำสองคำ ไม่มาโต้แย้งด้วยวาจาดีๆ ก็แล้วไป แต่กลับลงมือตีคน! ทั้งยังเจาะจงตีที่ปาก… ช่าง… ช่างไร้กฎไร้เกณฑ์จริงๆ!”
เฉียนมั่วเอ๋อร์ปาดน้ำตาด้วยความปวดใจ กล่าวว่า “ยามนี้ เจ้ามาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้าแล้วรึ? เมื่อครู่มิใช่เรียกข้าว่าคุณหนูเฉียนหก ยังกลัวว่าจะตัดความสัมพันธ์กับข้าไม่ได้อีกรึ?”
“คนตั้งมากมายเจ้าไม่ชี้ ดันต้องมาชี้ข้า แล้วข้าจะไม่นึกว่าเจ้าจงใจเอาเรื่องข้าหรอกรึ?” กู้เม่ยเม่ยขบริมปาก คิดในใจว่าหากยังไม่ไปที่ท้องพระโรง ครานี้ต้องล่วงเกินองค์หญิงหลินชวนจริงๆ แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยืนทะเลาะกับเฉียนมั่วเอ๋อร์อยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่เข้าที… ไม่ว่าจะอย่างไร ต้องปลอบเฉียนมั่วเอ๋อร์ให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนวลนุ่มว่า “เดิมทีพวกเราก็เป็นสหายรู้ใจ ต้องมาทะเลาะกันเพราะเว่ยฉางอิ๋ง เจ้าว่า มิใช่ผู้อื่นจะมองเป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ? เจ้าอย่าเอะอะอีกได้หรือไม่? พวกเราค่อยพูดค่อยจากัน”
เฉียนมั่วเอ๋อร์เอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ผู้ใดเป็นสหายสนิทกับเจ้า? วันนี้นับว่าข้ามองเจ้าชัดแล้ว! อีกประการนับแต่นี้ไปข้าและเว่ยฉางอิ๋งก็มีความแค้นต่อกันแล้ว เจ้าขี้ขลาดเพียงนี้ คบกับเจ้าต่อไป ไม่ถูกเจ้าทำให้โกรธจนตายก็แปลกแล้ว! คนที่ข้าจะคบในวันหน้า ข้าจะคบคนที่กล้าสักหน่อย ไหนเลยจะเป็นเช่นเจ้า ลับหลังนินทาเสียออกรสออกชาติ แต่พอให้มายันกันต่อหน้าก็ไม่กล้ายอมรับแต่อย่างใด!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วพาสาวใช้เร่งเดินจากไป ทิ้งกู้เม่ยเม่ยไว้เบื้องหลัง
“เจ้า!” สีหน้าของกู้เม่ยเม่ยเปลี่ยนไปหลายหน คิดจะเรียกนางเอาไว้ ทว่าก็กลัวจะทำให้คนสนใจ จึงทำได้เพียงกระทืบเท่าแรงๆ หนแล้วหนเล่า ด่าทอเบาๆ ว่า “ของไร้ประโยชน์! ยังจะมาว่าข้าอีก! ตนเองรับมือไม่ไหวก็ยังจะกระโจนออกมา ทั้งไม่มีปัญญาเอาชนะ นี่มันขายหน้าชัดๆ ยังคิดจะมาลากข้าลงน้ำไปด้วย… สวะจริงๆ!”
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งและซูอวี๋ลี่เดินไปถึงใกล้ๆ ตำหนักเสียตั้งนานแล้ว และพอจะได้ยินเสียงดนตรีดังออกมาจากท้องพระโรงเล็กน้อยแล้ว
ทั้งสองคนกล่าวทักทายกับบรรดาสตรีตระกูลใหญ่ข้างๆ กายคำหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างมาจัดแจงเสื้อผ้าตน มองดูกันและกันว่าไม่มีทีใดเสียมารยาทแล้ว จึงก้าวข้าเข้าไปในท้องพระโรง
หลังจากเข้าไป ก็เห็นองค์หญิงหลินชวนกลับไปนั่งที่เดิมแล้ว กำลังเอียงหน้าพูดคุยกับนางกำนัลที่อยู่ข้างล่างนางหนึ่ง เมื่อเหลือบมาเห็นพวกนาง จึงสะบัดมือให้นางกำนัลผู้นั้นกลับไปยืนเข้าที่
สถานการณ์เช่นนี้เป็นผู้ใดก็ล้วนต้องรู้ว่าเพราะองค์หญิงสงสัยว่าเหตุใดคนข้างหลังจึงไม่มาเสียที ทุกคนจึงพากันร้องดีใจอยู่ในใจ เมื่อเข้าไปถวายบังคมองค์หญิง แล้วกลับไปนั่งที่เดิม
เพราะที่นั่งเว่ยฉางอิ๋งนั่นอยู่ข้างหลังพระสนมเอก ยามกลับไปต้องผ่านบริเวณใกล้ๆ องค์หญิง พลันถูกองค์หญิงหลินชวนเรียกเอาไว้ว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาช้าเพียงนี้?”
“หม่อมฉันเข้าวังมาคราแรก ด้วยเอาแต่ห่วงชมดอกทับทิมตามทาง จึงเดินช้าสักหน่อยเพคะ” เว่ยฉางอิ๋งย่อตัวลงคำนับพลางเอ่ย “ลูกผู้พี่ของหม่อนฉันเดินเป็นเพื่อนมาพร้อมกัน มีสตรีหลายท่านไม่คุ้นหน้าคุ้นตาหม่อมฉันจึงเข้ามาสนทนากับหม่อมฉัน จึงพากันสนทนาระหว่างเดินมาเพคะ”
องค์หญิงหลินชวนได้ยินคำ สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ดอกทับทิมเดือนห้าส่องตาสว่าง ข้าชื่นชอบดอกทับทิมเป็นที่สุด ดังนั้นแล้วเสด็จแม่จึงให้คนจัดวางดอกทับทิมประดับไว้ทั้งในและนอกตำหนักเว่ยยางในวันนี้ คนใต้หล้าบอกเพียงว่าดอกไม้แดงใบไม้เขียวเป็นทิวทัศน์ที่เห็นได้ทั่วไป ทว่ายามดอกทับทิมบานประหนึ่งเปลวเพลิง ดอกที่บานสะพรั่งเต็มไปด้วยสีฉูดฉาดร้อนแรงสามัญชนทั่วไปจะเข้าใจได้อย่างไรกัน? แต่เจ้ากลับมีสายตาแหลมคม” แล้วจึงให้นางกลับไปนั่งที่ด้วยสีหน้าอ่อนโยนเปรมปรีดิ์
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าฝ่าบาทพระองค์นี้ชื่นชอบดอกทับทิมหนักหนาจริงๆ ด้วย ตนเองบอกว่าเอาแต่ห่วงชมดอกไม้จึงกลับมาช้าเพียงคำหนึ่ง ก็ได้รับความรู้สึกดีๆ จากนางมาแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งกลับมาที่โต๊ะ พบว่าอาหารเลิศรสและสุราล้วนถูกเก็บไปหมดแล้ว แต่หลิวตี๋กลับยังคอยยืนอยู่ข้างๆ นางยิ้มพลางอธิบายว่า “เมื่อครู่นี้มีอาหารออกมาเปลี่ยนอีกหลายอย่าง เพราะฮูหยินน้อยไม่อยู่ ข้าน้อยจึงตัดสินใจเองว่าอย่าเพิ่งให้พวกนางยกออกมา เพื่อมิให้เย็นเสียหมด ข้าน้อยจะไปเรียกให้คนนำส่งมานะเจ้าคะ”
“ลำบากเจ้าแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวแสดงความเกรงใจกับนางไปคำหนึ่ง เมื่อหันเหสายตาไปจากตัวนาง ก็เห็นว่าพระสนมเอกเติ้งที่นั่งอยู่ตรงหน้าเปลี่ยนอริยาบทมานั่งเท้าคาง ข้างกายมีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง นางสวมเสื้อส้างหรูสีแดงท้อปักลายดอกไม้ใบไม้จัดเรียงเป็นรูปวงกลมมันดาล่า คาดกระโปรงหลัวฉวินจีบใหญ่สีเขียวดอกสนปักลายใบไผ่
ด้วยเหตุที่อยู่ข้างหน้าเว่ยฉางอิ๋ง แม้คนผู้นี้จะเอียงข้างให้ ทำให้เห็นเพียงแค่แก้มขาวๆ ลอดจากช่องว่างมาแถบหนึ่ง ทว่าดูแต่เพียงว่านางกล้าใส่สีแดงท้อคู่กับสีเขียวดอกสนที่ฉูดฉาดเพียงนี้ก็รู้ได้ว่าอายุของนางต้องไม่มากนัก มวยผมก้นหอยเดี่ยวสีดำขลับดังทาสีดำ บนม้วยผมปักปิ่นอัญมณีรูปดอกพุดตานคู่หนึ่ง ยามต้องแสงโคมในท้องพระโรงทำให้เกิดรัศมีสาดส่องวิบวับ… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าปิ่นคู่นี้ช่างคุ้นตาอย่างน่าประหลาดเหลือ ขบคิดอยู่เป็นนาน ที่สุดก็คิดขึ้นมาได้ “ปิ่นคู่นี้… มิใช่เป็นปิ่นที่ท่านพี่ไจ้สุ่ยใช้อยู่บ่อยครั้งยามอยู่เฟิ่งโจวหรอกหรือ?”
นางจำได้ชัดเจนนักว่าครานั้นตนยั่วโมโหฮูหยินซ่งผู้มารดา และถูกทำโทษให้คุกเข่าอยู่ในลานบ้าน นางจงใจไปคุกเข่าตรงที่ไม่มีร่มเงาของต้นไม้เพื่อบีบให้ฮูหยินซ่งสงสาร ปรากฏว่าครานั้นฮูหยินซ่งก็ใจแข็ง สองแม่ลูกปะทะอารมณ์กัน เว่ยฉางเฟิงช่วยปรามไม่ไหว จึงไปเชิญซ่งไจ้สุ่ยมาช่วยพูดให้
ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งรีบมาช่วยกู้สถานการณ์ให้เว่ยฉางอิ๋ง แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับลืมลูกผู้พี่ผู้นี้ไปเสียสนิท หลังจากซ่งไจ้สุ่ยเอาตัวรอดออกมาได้ก็ยังวิ่งไปจัดการนางในเรือนเสียซวง… ครานั้นปิ่นที่ปักอยู่บนศีรษะของนางก็มิใช่ปิ่นคู่นี้หรอกหรือ?
“ผู้ที่มีปิ่นของท่านพี่ไจ้สุ่ย ทั้งยังกำลังสนทนาอยู่กับพระสนมเอก… คงจะเป็นน้องสาวร่วมท้องของเติ้งจงฉี เติ้งวานวาน?” เว่ยฉางอิ๋งคิดไปว่า “แม้จะบอกว่าวันนี้มีหญิงสาวอยู่ในท้องพระโรงตั้งมากมาย พระสนมเอกเองก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าไปเป็นเพื่อนสนทนาเพียงผู้เดียว ทว่าคนที่บนศีรษะปักปิ่นซึ่งลูกผู้พี่ซ่งเคยใช้ผู้นี้ มีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่ไม่อาจผิดเพี้ยนไปได้”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสงสัยยิ่งว่าเติ้งวานวานผู้นี้เป็นคนเช่นไรจึงเข้าตาซ่งไจ้สุ่ยนัก… ลูกผู้พี่แท้ๆ ของนาง นางย่อมเข้าใจดี ซ่งไจ้สุ่ยดูคล้ายเป็นคนอ่อนโยนใจกว้าง ทั้งยังมีกริยาท่าทีเรียบร้อยงดงามเป็นกุลสตรี ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเห็นพ้องว่าเป็นแบบอย่างของกุลสตรีตระกูลใหญ่… ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ซ่งไจ้สุ่ยโปรดปรานจริงๆ นั้น หากใช้คำว่ามองไม่เห็นหัวใครก็ยังไม่เกินเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่เอาแต่นิ่งรออยู่เปล่าๆ ไม่มีทางไปเข้าตานาง ยิ่งมิต้องเอ่ยว่านางทั้งเอ่ยถึงและชื่นชมในจดหมายที่เขียนหาลูกผู้น้องเลย
แต่ยามนี้อาหญิงและหลานแท้ๆ กำลังสนทนากันและมิได้เรียกนางเข้าไปหา เว่ยฉางอิ๋งเองจึงไม่เหมาะจะขยับเข้าไป ทำได้เพียงลอบมองแผ่นหลังของเติ้งวานวานไปสองสามหนด้วยความเสียดาย และหันไปสนทนากลบเกลื่อนอาการกับหลิวตี๋
เป็นเช่นนี้ไปจนทานอาหารไปสองจาน จึงเห็นพระมารดาท่านอ๋องอิงซึ่งมีอายุมากที่สุดเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา แล้วกวักมือเรียกนางกำนัลให้เดินเข้ามาใกล้ ถามว่า “องค์ฮองเฮาเสด็จไปเปลี่ยนฉลองพระองค์นานแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เสด็จมาอีกเล่า?”
นางกำนัลผู้นั้นรีบตอบไปว่า “ข้าน้อยจะไปดูเจ้าค่ะ”
พระมารดาท่านอ๋องอิงนั่งอยู่กับราชนิกุลหญิงสองสามท่าน หลังจากเอ่ยไปดังนี้ พระมารดาท่านอ๋องท่านอื่นๆ ก็ไม่มีอารมณ์จะสนทนาสรรเพเหระต่อไป จึงพากันหยุดและรอฟัง
เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นและเท่ากับเป็นการเตือนสติด้วยว่า ก่อนนี้เมื่อองค์หญิงหลินชวนทรงอักษรในหอเชียนชิวเสร็จแล้ว ก็เสนอว่าให้กลับเข้าไปก่อน ก็ด้วยคาดว่าฮองเฮาน่าจะกลับมาแล้ว ทว่าจนยามนี้ฮองเฮาก็ยังไม่เสด็จมาถึง… ตามที่ได้ยินมาฮองเฮากู้ทรงจัดแต่งตำหนักเว่ยยางทั้งหมดเพื่องานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ตามหลักการแล้วก็จะไม่จงใจเพิกเฉยต่องานเลี้ยงวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ดังนั้นพอออกไปแล้วจะไม่กลับมาได้อย่างไร?
นางค่อยๆ ลิ้มรสสุราลิ้นจี่เขียว ในใจก็พิจารณาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นได้บ้าง รอสักพักใหญ่ นางกำนัลที่ถูกพระมารดาท่านอ๋องอิงสอบถามเดินเลี้ยวกลับมาจากหลังฉากกั้นลม รีบไปตรงหน้าพระมารดาท่านอ๋องอิงและรายงานเสียงเบาๆ ไปสองสามประโยค พระมารดาท่านอ๋องอิงมีสีหน้ารับรู้และเข้าใจในทันที ทางหนึ่งพยักหน้าอีกทางหนึ่งก็หันไปอธิบายกับพระมารดาท่านอ๋อง พระชายาท่านอ๋ององค์อื่นๆ อีกสองสามท่าน เพราะเว่ยฉางอิ๋งอยู่ห่างออกมาระยะหนึ่ง ทั้งในท้องพระโรงก็มีเสียงดังอื้อดึง นางจึงฟังไม่ถนัด ทำได้เพียงคาดเดาเอาจากท่าทีที่แสดงว่าเข้าใจและมิได้มีอาการเป็นกังวลและตื่นตระหนกใดๆ ว่าคงมิได้มีเรื่องราวใหญ่โต แต่กลับไม่อาจรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงอดจะเสียดายเป็นหนักหนาไม่ได้
ดีที่แม้ว่าก่อนหน้านี้พระสนมเอกเติ้งคอยสนทนาอยู่แต่กลับหลานสาว แต่ความจริงแล้วก็คอยสังเกตทางนี้อยู่ตลอด นางจึงถามเสียงสูงขึ้นมาทันใดว่า “หลิวจือเจ้ามานี่ เสด็จพี่ฮองเฮาเหตุใดจึงยังไม่มา… แม้พระมารดาท่านอ๋องอิงจะใคร่ครวญได้รอบคอบจึงให้เจ้าไปถาม แต่ยามนี้ผู้ใดในท้องพระโรงจะไม่เป็นห่วงเสด็จพี่ฮองเฮา? เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ไปกระซิบตอบพระมารดาท่านอ๋องอิงแต่เพียงผู้เดียว และไม่บอกผู้อื่นสักคำ?”
และตำหนินางว่า “ตาไม่มีแววเอาเสียเลย ก็ด้วยเสด็จพี่ฮองเฮาพระทัยดี จึงทนยอมรับบ่าวโง่เง่าเช่นเจ้าได้!”
หลิวจือถูกสนมเอกร้องใส่ดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เห็นชัดว่านางกำนัลในท้องพระโรงฉางเล่อแห่งนี้นี้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับพระสนมเอกผู้นี้เสียอย่างยิ่ง จึงอธิบายไปด้วยท่าทีขลาดกลัวว่า “หม่อมฉันคิดว่าพระมารดาท่านอ๋องอิงทรงตรัสถามก่อน จึงไปบอกกับพระมารดาท่านอ๋องก่อน แล้วจึง…”
พระมารดาท่านอ๋องอิงได้ยินว่าเรื่องราวไม่ปกติแล้ว พลันนึกเสียใจอยู่ใจว่าตนยุ่งไม่เข้าเรื่อง และกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วย จึงรีบแย่งพูดว่า “จะว่าไปก็ต้องโทษที่คนแกเช่นข้าเรื่องมาก…”
“ไม่เกี่ยวกับพระมารดาท่านอ๋องเพคะ” สนมเอกเติ้งกลับมิได้เกรงใจพระมารดาท่านอ๋องอิง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “หลิวจือเจ้ายังกล้าอยู่ที่นั่นเท่าสิ่งใด? ยังไม่รีบเข้ามาบอกความให้ชัดแจ้งอีก!”
ด้วยสนมเอกสำแดงฤทธิ์เดชขึ้นมา ยามนี้ภายในท้องพระโรงล้วนค่อยๆ สงบเงียบลง และพากันหันมองมายังบัลลังก์ ต่างคนต่างเฝ้ารอและนึกคิดกันไปต่างๆ นานา
__________________________________________