ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 69 เก๋อซุ่น
แม้จะมีฮูหยินซูและนางหลิวนำหน้า และเว่ยฉางอิ๋งก็เพียงอยู่ช่วยงานเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทว่าเมื่อต้องมาจัดการจริงๆ จึงเพิ่งรู้ถึงว่างานแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่นี้ต้องมีความพิถีพิถันและเป็นทางการจริงจังเพียงใด เว่ยฉางอิ๋งออกมาแต่เช้าและกลับจนค่ำมืดตามแม่สามีและพี่สะใภ้ใหญ่สิบกว่าวัน จึงสามารถจัดการทุกเรื่องจนเกือบเสร็จเรียบร้อย
เมื่องานต่างๆ ผ่อนคลายลงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งนึกได้ว่าแต่แรกจนตอนนี้ก็ไม่เห็นคุณหนูสามเสิ่นเหลี่ยนเหมยปรากฏตัวออกมาเลย จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ วันนี้มีเพียงนางและนางหลิวอยู่ด้วยกัน นางจึงสอบถามไปคำหนึ่ง นางหลิวเอ่ยเสียงเบาๆ ไปว่า “เจ้าไม่รู้ มารดาของน้องหญิงสามเพิ่งจะเสียไปเมื่อปีที่แล้ว”
ที่แท้เพราะยังไว้ทุกข์อยู่ มิน่าเล่าครั้งก่อนที่เว่ยฉางอิ๋งมายกน้ำชา จนมาถึงเรื่องงานแต่งของเสิ่นจั้งฮุยในวันนี้ก็ล้วนไม่ได้เห็นนางเลย
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าหมายถึงว่า นับแต่เข้ามาที่จวนหลายวันนี้ ก็ยังไม่เห็นน้องหญิงสามเลย”
นางหลิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นคนในครอบครัวเดียวกันอย่างไรก็ต้องได้พบกันสักวัน”
…วันก่อนตระกูลหลิวได้รับพระราชโองการสมรสพระราชทาน สิ้นปีนี้หลิวรั่วอวี้ก็จะแต่งเข้าตำหนักตะวันออกแล้ว สองวันมานี้นางหลิวที่เห็นลูกผู้น้องคนนี้เป็นดังบุตรสาวจึงอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินซูนางก็ล้วนไม่มีท่าทีล้อเล่นแต่อย่างใด ดังนั้นแล้ว เมื่อนางตอบกลับมาอย่างเย็นชาเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้ไปใส่ใจ และหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ แล้วให้ฉินเกอฝนหมึก และจดบัญชีรายชื่อในมือต่อไปให้เสร็จ
ทว่าเพิ่งจะเขียนไปได้สองตัว จูหลานที่อยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน คำนับแล้วรายงานว่า “มีบ่าวชรามาส่งเทียบที่ประตูเรือนเราเจ้าค่ะ บอกว่านายท่านอาหญิงใหญ่ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงไม่นาน เพิ่งจะจัดบ้านเรือนเสร็จ จึงส่งคนมาบอกล่าวกับฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งร้องโอ๊ะออกมาคำหนึ่ง แล้วหันไปบอกกับนางหลิวว่า “เป็นท่านอาหญิงใหญ่บ้านข้าเอง จะว่าไปนางเคยอุ้มข้าตั้งแต่สมัยยังอยู่ในผ้าอ้อมอยู่เลย หลายปีมานี้ได้ยินว่านางคอยติดตามท่านอาเขยใหญ่ซึ่งไปรับตำแหน่งที่เมืองอื่น ครั้งข้าไปเยี่ยมลูกผู้พี่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ยินว่าท่านอาเขยใหญ่คล้ายจะถูกย้ายกลับเข้ามาใกล้เมืองหลวง เพียงแต่ตอนนั้นยังสอบถามไม่ได้ความว่าพวกเขาอยู่กันที่ใด และคิดว่าพวกเขาเพิ่งจะกลับมาคงมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย เมื่อเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะต้องมาบอกเข้า หรือว่าจะส่งคนมาหาแล้ว?”
แม้นางหลิวจะไม่ได้สนใจนัก แต่เพื่อรักษามารยาท นางก็ยังแสดงละครตบตาไปอย่างแนบเนียน พลันแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย พลางกล่าวว่า “โอ้! เช่นนั้นเจ้าก็ควรต้องไปหาด้วยตนเองสักหน ไม่ได้พบกันหลายปีเพียงนี้เชียวนะ ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าผู้นี้ก็คงจะคิดถึงเจ้ายิ่ง”
“ข้าจะลองไปพบคนส่งเทียบเชิญดูก่อน เพื่อสอบถามดูสักหน่อยว่าระยะนี่นางเป็นเช่นใดบ้าง” เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นและอำลานาง “เรื่องนี้ต้องขอให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยทำแทนข้าที่ ยามนี้ท่านแม่ยังเทียบบัญชีอยู่ข้างหน้า ข้าเองก็ไม่กล้าไปรบกวน…”
นางหลิวพยักหน้าพลางว่า “ท่านอาแท้ๆ ของเจ้าส่งคนมา แล้วจะไม่ไปดูได้อย่างไร? ทางนี้ข้าจัดการเองก็พอแล้ว เมื่อท่านแม่กลับมาข้าจะช่วยบอกแทนเจ้าเอง เจ้าไปอย่างวางใจเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งขอบคุณนาง แล้วพอฉินเกอ จูหลานและคนอื่นๆ กลับไปที่จวนราชครู ระหว่างทางก็ถามจูหลานว่าคนอยู่ที่ใด จูหลานบอกว่า “ฮูหยินน้อยรองสอบถามที่มาที่ไปของเขาอย่างชัดเจนแล้ว จึงให้คนพามายังเรือนจินถงแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาว่านส่งเสิ่นจวี้ไปอยู่ดื่มน้ำชากับเขาที่ห้องทางด้านหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
แล้วบอกอีกว่า “ท่านอาเฮ่อรู้จักเขาเจ้าค่ะ คล้ายจะแซ่เก๋อ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงหันไปทางนางหวง “หรือจะเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของท่านอาหญิงใหญ่?”
นางหวงครุ่นคิดรอบหนึ่ง กล่าวว่า “สมัยที่นายท่านอาหญิงใหญ่ออกเรือน พ่อบ้านที่ติดตามไปด้วยคล้ายจะแซ่เก๋อเจ้าค่ะ”
เมื่อไปถึงเรือนจินถง เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับรับแขก แล้วจัดแต่งปิ่นดอกไม้บนมวยผม มองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีที่ใดบกพร่องแล้ว จึงสั่งคนไปเรียกบ่าวชราแซ่เก๋อจากข้างหน้าเข้ามา
สักพักหนึ่งคนก็มาถึง ปรากฏว่าเป็นนางเฮ่อเดินเข้ามาด้วย เขาอายุราวห้าสิบกว่าปี ผมสีขาวแล้ว ตัวเล็กเตี้ย ใบหน้ากลับดูซื่อสัตย์ซื่อตรง พลางคารวะเว่ยฉางอิ๋งอย่างนอบน้อม แล้วรายงานตัวว่าเขามีนามว่าเก๋อซุ่น… ซึ่งเป็นดังที่นางหวงว่าไว้ไม่ผิด ว่าคือบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเว่ยเซิ่งเซียน ยามนี้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของเว่ยเซิ่งเซียนแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งให้เขานั่งลงด้วยความเกรงใจ แล้วถามถึงเรื่องต่างๆ ของเว่ยเซิ่งเหนียนในระยะนี้
เก๋อซุ่นกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ฮูหยินสบายดีทุกประการขอรับ คุณหนูทั้งสองท่านก็ดีเช่นกัน เพียงแต่ฮูหยินไม่ได้พบคนที่บ้านเดิมนานมากแล้ว ยามนี้เมื่อกลับมาอยู่ที่เมืองหลวง และรู้ว่าคุณหนูสามออกเรือนแล้ว ทั้งยังแต่งมาครบเดือนแล้ว จึงรู้สึกคิดถึงเป็นอย่างมาก หลายวันก่อนล้วนกำลังจัดสิ่งของในคฤหาสน์หลังใหม่ ด้วยเป็นห่วงว่าเมื่อคุณหนูสามไปแล้วจะไม่มีที่ทางไว้ต้อนรับ ยามนี้จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว จึงอยากจะเชิญคุณหนูสามไปสนทนาที่จวนสักหน่อยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจพลางว่า “เรื่องนี้สมควรอยู่แล้ว ความจริงแล้วตอนข้าไปเยี่ยมท่านพี่ตระกูลซ่งเมื่อสองวันก่อน ข้าก็ได้ยินนางบอกว่าท่านอาเขยใหญ่ได้ย้ายกลับมารับตำแหน่งใกล้เมืองหลวง และคิดจะไปเยี่ยมท่านอาหญิงใหญ่ เพียงแต่ลูกผู้พี่ซ่งเองก็ไม่รู้ว่าท่านอาหญิงใหญ่อยู่ที่ใด ข้าคิดว่าท่านอาหญิงใหญ่คงกำลังวุ่นวาย หาไม่แล้วก็จะต้องส่งคนมาบอกกล่าวข้า ปรากฏว่าวันนี้ท่านก็มาพอดี ทว่าสองวันนี้กลับไม่ใคร่เหมาะนัก น้องชายสี่ของข้าที่นี่ จะต้องไปรับเจ้าสาวที่บ้านเผยในวันที่แปดเดือนหก วันนี้ก็เป็นวันที่สองเดือนหกแล้ว เกรงว่าจะปลีกตัวไปไม่ได้”
เก๋อซุ่นรีบบอกไปว่า “ยามนี้คุณหนูสามออกเรือนแล้ว ย่อมต้องยึดถือเอาเรื่องของบ้านสามีเป็นสำคัญ ครั้งข้าน้อยมา ฮูหยินก็กำชับนักหนาว่าห้ามไปรบกวนเรื่องของบ้านเสิ่นโดยเด็ดขาด ฮูหยินหวังเพียงว่าเมื่อคุณหนูสามวางลงแล้วก็จะสามารถไปพบสักหนขอรับ”
“รอให้น้องสะใภ้สี่เข้าบ้านมาเสียก่อน เมื่อข้าว่างลงแล้วก็จะไปเยี่ยมท่านอาหญิงใหญ่และลูกผู้น้องทั้งสอง” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า เมื่อตกลงกันดังนั้นแล้ว จึงสอบถามว่าหลายปีมานี้สุขภาพของเว่ยเซิ่งเซียนดีอยู่หรือไม่ ลูกผู้น้องทั้งสองชื่นชอบสิ่งใดและอื่นๆ ทำนองนั้น
เก๋อซุ่นตอบไปทีละเรื่อง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รู้ว่านอกจากเรื่องที่เว่ยเซิ่งเซียนไม่มีบุตรชายจึงถูกคนในตระกูลฝั่งสามีบีบให้นางรับบุตรบุญธรรมแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนราบรื่นดี ซ่งคุยสามีของเว่ยเซิ่งเซียนเป็นคนพูดน้อยซื่อตรง แม้หลายปีก่อนจะรับอนุไว้สองคนด้วยเหตุผลเรื่องผู้สืบสกุล ทว่าก่อนจะกลับมาอยู่ใกล้เมืองหลวงก็มอบให้ผู้อื่นไปแล้ว และรักซ่งซีเยวี่ย ซ่งหรูเซวียน บุตรสาวทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
ลูกผู้น้องทั้งสองคน คนหนึ่งอายุสิบหก คนหนึ่งอายุสิบสี่ เรียบร้อยเพียบพร้อมเป็นกุลสตรี มีความสามารถเรื่องเย็บปักถักร้อยเป็นเลิศ… เก๋อซุ่นเป็นบ่าว ย่อมเลือกพูดจาแต่คำดีๆ เว่ยเซิ่งเซียนและบุตรสาวทั้งสองจะเป็นเช่นไรจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่ายังต้องไปคารวะนางด้วยตัวเองเสียก่อนจึงจะสามารถรู้ได้
ทว่างานแต่งงานเสิ่นจั้งฮุยก็ใกล้อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่อาจไปขอฮูหยินซูที่กำลังยุ่งวุ่นวายจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ว่านางจะไปเยี่ยมอาหญิงใหญ่ จึงนัดกับเก๋อซุ่นเอาไว้ว่าหลังจากเผยเหม่ยเหนียงแต่งเข้าบ้านมาแล้วจึงค่อยไปคารวะเว่ยเซิ่งเซียน
เก๋อซุ่นนำของกำนัลมาด้วย และเว่ยฉางอิ๋งก็มอบของกำนัลกลับไปอีกเท่าตัว แล้วให้นางหวงไปเลือกสร้อยที่เหมือนกันมาสองเส้นเพื่อมอบให้แก่ลูกผู้น้องทั้งสองคนเป็นการเฉพาะ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นจวี้ไปส่งเขากลับ เมื่อไปถึงประตูแล้วจึงค่อยกลับมา
วุ่นวายอยู่เช่นนี้ จนเวลาช่วงเช้าล่วงเลยไป
ห้องครัวเล็กยกอาหารออกมา เว่ยฉางอิ๋งรีบทานไปสองสามคำ กำลังจะรีบไปที่จวนเซียงหนิงปั๋วต่อ กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงในชุดราชองครักษ์ซิน มีดาบพิธีการห้อยอยู่ที่เอว ดูไปแล้วเพิ่งจะเลิกงานมา พลางอุ้มเสิ่นซูเหยียนเอาไว้ในอกแล้วเดินเข้ามา
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง เสิ่นจั้งเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มแล้วว่า “วันนี้ไม่ยุ่งแล้วหรือ?”
“เมื่อครู่นี้ท่านอาหญิงใหญ่ของข้าส่งคนมา จึงขอให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยทำงานแทนข้าสักหน่อย และกลับมาต้อนรับก่อน ยามนี้เพิ่งจะส่งคนกลับไป” เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นยืน ยามนี้เสิ่นซูเหยียนก็ดิ้นรนอยากจะลงจากอกของเสิ่นจั้งเฟิงมาที่พื้น เสิ่นจั้งเฟิงโน้มตัวลงมาวางนางลง นางเข้ามาคำนับเว่ยฉางอิ๋ง ดวงตามกลมโตสีดำขลับกำลังยิ้มเสียจนโค้งเป็นวงพระจันทร์เสี้ยวสองดวง น่ารักเป็นที่สุด พลางกล่าวคำทักทายอาสะใภ้สามด้วยเสียงหวานนัก
เว่ยฉางอิ๋งโน้มตัวลงไปลูบผมนาง พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เหยียนเอ๋อร์มาที่นี่ เพราะอยากกินผลไม้หรือ?” และเรียกให้คนเอาผลไม้เข้ามา
ฉินเกอยังไม่ทันขยับขา เสิ่นซูเหยียนกลับสายหน้า แล้วเอ่ยด้วยเสียงเด็กน้อยว่า “ข้าจะมาดูชุ่ยตีเอ๋อร์กับชุ่ยหลี่ว์เอ๋อร์เจ้าค่ะ”
“ชุ่ยตีเอ๋อร์กับชุ่ยหลี่ว์เอ๋อร์?” เว่ยฉางอิ๋งนึกไปมามาจึงจำได้ว่าเป็นชื่อของนกแก้วสองตัวที่ซ่งไจ้สุ่ยมอบให้นั่นเอง จึงกระเซ้านางว่า “เจ้ามาดูชุ่ยตีเอ๋อร์และชุ่ยหลี่ว์เอ๋อร์ ไม่ได้มาหาอาสะใภ้สามหรอกหรือ? ไม่ชอบอาสะใภ้สามแล้วเช่นนั้นหรือ?”
เสิ่นซูเหยียนรีบบอกไปว่า “ข้าชอบท่านอาสะใภ้สามเจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดจึงมาดูแต่นกแก้ว แต่กลับไม่มาหาอาสะใภ้สามเล่า?” ฉินเกอยกผลไม้เข้ามา เว่ยฉางอิ๋งหยิบมาป้อนนางชิ้นหนึ่งพลางยิ้มให้นาง
เสิ่นซูเหยียนกระพริบตาโตๆ ของนาง หัวเราะฮิๆ แล้วว่า “เพราะท่านอาสะใภ้สามกำลังยุ่ง ท่านแม่ไม่ให้ข้ามารบกวนท่านอาสะใภ้สาม วันนี้ได้พบกับท่านอาสามและยอมพาข้าเข้ามา ข้าจึงกล้ามาเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งฟังนางพูดน่าสงสารนัก อดจะสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่นางตวนมู่เป็นมารดาของเสิ่นซูเหยียน และไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์ว่านางอบรมบุตรสาวอย่างเข้มงวด จึงยิ้มแล้วว่า “อาสะใภ้สามทางนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะมารบกวนเลย วันหน้าหากเจ้าอยากมาก็เข้ามาได้เลย ให้จูหลานและจูสือพาเจ้าไปดูนกแก้ว ในสระน้ำทางนั้นก็มีปลาทอง… เพียงแต่หากไม่มีคนอยู่ด้วย ก็ห้ามมาดูคนเดียวโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เจ้าต้องบาดเจ็บ”
“ข้าอยากดูนกแก้ว” เสิ่นซูเหยียนทานผลไม้ที่เว่ยฉางอิ๋งหยิบให้จนหมด แล้วว่า “ข้าไม่ชอบปลาทอง”
“ตกลง เช่นนั้นก็เรียกจูสือเข้ามาแล้วไปดูนกแก้วกับเจ้า” เว่ยฉางอิ๋งลูบใบหน้าน้อยๆ ของนาง ยิ้มแย้มพลางให้คนไปเรียกจูสือให้พานางไปเล่นกับชุ่ยตีเอ๋อร์และชุ่ยหลี่ว์เอ๋อร์ แล้วกำชับจูสือว่าให้ระวังสักหน่อย อย่าให้นกแก้วข่วนให้เสิ่นซูเหยียนบาดเจ็บเป็นอันขาด
รอจนเสิ่นซูเหยียนไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามเสิ่นจั้งเฟิงว่า “วันนี้เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็ว?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “ข้าเห็นเจ้าห่วงแต่ประเหลาะซูเหยียน ยังนึกว่าจะลืมข้าเสียแล้ว”
บรรดาสาวใช้ล้วนพากันปิดปากแอบหัวเราะ เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ็ดไปว่า “คนก็โตเพียงนี้แล้ว ยังจะมาอิจฉาหลานสาวอีก เจ้ากล้าทำได้อย่างไร?” แล้วถามอีกว่า “วันนี้กลับมาเร็วอย่างนี้ มีเรื่องใดหรือไม่?”
“ไม่มีเรื่องใด” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “เพราะจั้งฮุยกำลังจะแต่งงานแล้ว กอปรกับสองสามวันนี้ในวังเองก็ไม่ยุ่ง ท่านหัวหน้าจึงให้พวกเรากลับมาช่วยงาน”
เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกว่า “เรื่องต่างๆ ในตอนนี้ล้วนเกือบเรียบร้อยแล้ว”
“อย่างไรก็สามารถไปดูได้สักหน” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะ แล้วบอกว่าจะไปที่จวนเซียงหนิงปั๋วกับนางด้วย
เว่ยฉางอิ๋งถามเขาว่าทานข้าวมาจากในวังแล้วหรือไม่ เขากำลังจะพยักหน้า แล้วคิดขึ้นมาได้อีกว่าเสิ่นซูเหยียนยังอยู่ จึงกล่าวว่า “พวกเราไปแล้ว ก็ให้พวกบ่าวอยู่เป็นเพื่อนเหยียนเอ๋อร์จะไม่เป็นไรหรือ?”
“คนตั้งกลุ่มใหญ่ แม้ว่าที่นี่เราจะมีสระน้ำ แต่ก็ไม่ได้ลึก ต่อให้เหยียนเอ๋อร์ลงไปก็ถึงคางนางเท่านั้น” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “บอกให้พวกนางระมัดระวังให้มากสักหน่อยเป็นพอ”
ทั้งสองคนออกไปข้างนอก จึงได้เห็นว่าเสิ่นซูเหยียนกำลังปีนอยู่บนเก้าอี้เอนหลัง ในมือถือดอกกุหลาบดอกหนึ่งที่เพิ่งหักมาใหม่พลางโบกไปมา ดึงดูดความสนใจนกแก้วทั้งสองตัวบนคอนที่แขวนไว้บนระเบียบทางเดินให้พวกมันจิก รอจนนกแก้วจะจิกถึง นางก็พลันเอาออก นกแก้วทั้งสองตัวนี้ล้วนพูดเป็น ยิ่งไปกว่านั้นปากยังคล่องมากๆ เสียด้วย นอกจากคำทักทายที่เคยพูดก่อนหน้านี้ ยามโกรธขึ้นมาก็ยังต่อว่าเป็นด้วย ยามนี้จึงได้ต่อว่านางว่า “คนเลว! คนเลวตัวน้อย!”
เสิ่นซูเหยียนไม่โกรธกลับชอบใจเสียอีก พลางเอ่ยกับจูสือที่คอยจับตัวนางอยู่ข้างๆ เพื่อไม่ให้นางหกล้มไปว่า “พี่จูสือท่านฟังสิ พวกมันด่าคนได้ด้วย!”
“ยังพูดเป็นอีกมากเจ้าค่ะ” จูสือเอ่ยอย่างได้ใจว่า “ยามพวกมันดีใจยังร้องเลียนแบบนกไป๋หลิง[1]ได้ด้วยเจ้าค่ะ…”
เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมสองหนจึงทำให้พวกนางหันมาสนใจได้ จูสือรีบอุ้มเสิ่นซูเหยียนลงมา “คุณชาย ฮูหยินน้อย!”
“พวกเราจะไปช่วยงานที่จวนเซียงหนิงปั๋ว พวกเจ้าจงดูแลเหยียนเอ๋อร์ให้ดี รู้หรือไม่?” เสิ่นจั้งเฟิงสั่งบ่าว แล้วลูบหัวเสิ่นซูเหยียน พลางกำชับนางว่า “อย่าวิ่งไปไหนเรื่อยเปื่อย ต้องเชื่อฟัง เมื่อเล่นจนเหนื่อยแล้วก็ให้พวกนางอุ้มเข้าไปพักในเรือน หากรู้สึกร้อนก็ให้พวกนางยกนกแก้วเข้าไปในห้อง แล้วเจ้าก็ไปกินน้ำแข็งในห้องด้วย แต่อย่าให้เย็นเกินไป ไม่อย่างนั้นจะหนาวเอาได้…”
กำชับละเอียดลอออยู่เป็นนานสองนาน แล้วก็เห็นว่าเสิ่นซูเหยียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เสิ่นจั้งเฟิงจึงจูงมือเว่ยฉางอิ๋งจากไป
เมื่อออกมาพ้นประตู เว่ยฉางอิ๋งจึงกระเซ้าเขาว่า “ข้าว่าเหยียนเอ๋อร์คงฟังจนใกล้หลับแล้ว ลำบากเจ้าคิดหาเรื่องตั้งมากมายมากำชับนางจริงๆ หากเป็นข้าเป็นคนกำชับเองคงจะพูดได้ไม่ครบถ้วนปานนี้”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะกำชับได้ครบถ้วนเสียยิ่งกว่าข้าอีก”
เว่ยฉางอิ๋งฟังไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงถามอย่างสงสัยว่า “เหตุใด?”
“เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ยามข้าอำลาท่านแม่ออกไปทำงาน แล้วท่านแม่เอ่ยกับข้า” สายตาของเสิ่นจั้งเฟิงกวาดไปที่ท้องน้อยของนางหนหนึ่งโดยไม่ส่งเสียงใดๆ แล้วขยับเข้ามาข้างหูเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าเองก็ฟังเสียจนเกือบหลับเช่นกัน ทว่าทุกคราท่านแม่ก็จะต้องมาเอ่ยรอบหนึ่งอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย หลายหนเข้าข้าก็จำได้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งเขินอายเป็นนักหนา จึงตีเขาไปหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ห้ามพูดส่งเดชแล้ว!”
______________________________
[1] นกไป๋หลิง ภาษาไทยเรียกว่า นกจาบฝน