ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 7 ทุกคนในบ้านเสิ่น
ผู้ที่ต้องเข้าไปคารวะเป็นบ้านแรกก็ย่อมต้องเป็นบ้านใหญ่
เมื่อคืนในห้องหอ เว่ยฉางอิ๋งได้พบกับนางหลิวแล้ว วันนี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดสวีฉวินสีม่วงแดงทั้งตัว เกล้าผมทรงผานหวนจี้[1] ปักปิ่นทอง แต่งกายอย่างสง่าภูมิฐานยิ่ง ชายบนที่นั่งหลักข้างๆ นางก็คงจะเป็นพี่ชายแท้ๆ คนโตของเสิ่นจั้งเฟิง ซึ่งมีนามว่าเสิ่นจั้งลี่ เขาเป็นชายที่อายุราวสามสิบปีที่ใต้คางมีเคราบางๆ เค้าหน้าของเขาคล้ายคลึงกับเสิ่นเซวียนและเสิ่นจั้งเฟิงเป็นอย่างมาก เพียงแต่ดวงตาไม่ได้คมคายเท่าใด กลับดูมีความดุร้ายบางอย่างซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งท่าทางยังไม่เป็นมิตร ยามน้องชายและน้องสะใภ้มาคารวะ เขาก็เพียงยกมือขึ้นรับเล็กน้อย มุมปากโค้งขึ้นหนหนึ่ง ดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
เคราะห์ดีที่นางหลิวยิ้มแย้มและกล่าวทักทายปราศรัยแทนเขาสองสามประโยค จึงกู้สถานการณ์ขึ้นมาได้
เมื่อเห็นเป็นดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งอดจะคาดเดาไปไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะเสิ่นจั้งลี่ไม่พอใจยิ่งเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงถูกกำหนดให้เป็นประมุขคนต่อไปของตระกูล? ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลอยู่ อย่างไรเสียเสิ่นจั้งลี่ก็เป็นบุตรชายคนโตในบ้านใหญ่… แต่ว่า แม้ในยามนี้จะมีเสิ่นเซวียนและฮูหยินซูอยู่ด้วย เขาก็ยังมีท่าทีเช่นนี้ ไม่เหมือนคนที่มีความคิดรอบคอบที่สามารถดูแลตระกูลได้เลย…
นางตวนมู่ในบ้านสอง นางก็เคยได้พบพร้อมกับนางหลิวเมื่อคืนแล้ว สามีของนาง เสิ่นเหลี่ยนสือซึ่งเป็นบุตรของอนุมีหน้าตาหล่อเหลาและดูสุขุม กลิ่นอายของคนฝ่ายบุ๊นแผ่นซ่านออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน ดูแล้วไม่เหมือนลูกหลานตระกูลเสิ่น ท่าทีของเสิ่นเหลี่ยนสือกลับดูอ่อนโยน เขาพูดจาหยอกล้อเสิ่นจั้งเฟิงพอเป็นพิธีสองสามประโยคและยังพูดกับเว่ยฉางอิ๋งด้วยสองประโยค ดูให้ความใกล้ชิดแต่ก็มิได้มากจนเกินงาม
กลับเป็นนางตวนมู่เสียอีกที่มีสีหน้าราบเรียบนัก… เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่ายามกลับไปจะสอบถามพวกบ่าวดูสักหน่อยว่าพี่สะใภ้รองผู้นี้มีความแค้นเคืองใดกันตนกันแน่?
เมื่อได้พบพี่ชายและพี่สะใภ้บ้านสองแล้ว ฮูหยินซูก็ให้พวกเขานั่งลงที่ที่นั่งว่างที่อยู่ถัดจากของบ้านสอง แล้วกล่าวว่า “จั้งซิ่วไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง จั้งจี ถึงตาเจ้าเข้ามาคาราวะแล้ว”
พลันเห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าหรูหราที่มีเค้าหน้าเหมือนฮูหยินซูยิ่งนักและนั่งอยู่ในที่นั่งถัดไปลุกขึ้นยืน แล้วเข้ามาคารวะ
เขาเป็นบุตรชายแท้ๆ คนเล็ก ตามลำดับแล้วคือคุณชายห้า เสิ่นจั้งจี ข่าวที่เล่าลือกันมาบอกว่าในบรรดาบุตรธิดาทั้งหมด ฮูหยินซูรักใคร่เอ็นดูบุตรชายคนเล็กซึ่งปีนี้เพิ่งจะเกล้าผมผู้นี้เป็นที่สุด ถึงขั้นมากว่าเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวซึ่งเป็นบุตรคนสุดท้องอีกด้วย
เสิ่นจั้งจีมีหน้าตาเหมือนฮูหยินซูเป็นที่สุด ในความหล่อเหลามีความอ่อนโยนสุภาพ แต่ดวงตาทั้งคู่สุกสว่าง ยามเดินดูน่าเกรงขามและคล่องแคล่ว เห็นชัดว่าเป็นคนมีพลังอยู่ในตัวสูงยิ่ง หลังจากเขาแล้วก็เป็นบุตรคนรองของอนุ คุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุน อายุสิบสี่ปี เสิ่นเหลี่ยนคุนมีหน้าตาคล้ายกับบุตรบ้านใหญ่มากกว่า เค้าหน้าเหมือนกับเสิ่นเซวียนเป็นพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็แทบไม่น้อยหน้าเสิ่นจั้งจี เพียงแต่ท่าทางดูมีความร้ายกาจซ่อนอยู่
จากนั้นก็เป็นเสิ่นจั้งหนิงแล้ว วันนี้น้องสามีตัวน้อยเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรง สวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นสีส้มแดง คาดกระโปรงจีบจากผ้าสิบสองชิ้นที่หน้าอก อาภรณ์ของนางงดงามนัก หากแต่ตัวคนกลับแต่งหน้ามากเกินสมควร สีแก้มเข้มนัก…เข้มเสียจนเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกลัดกลุ้มว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้ไม่มีคนข้างกายที่รู้จักวิธีแต่งหน้าบ้างเลยหรือไร? แป้งที่ทาหน้าก็ดูคล้ายจะทามาสักสามสี่ชั้น นอกจากจะไม่น่าดูแล้ว กลับยังเป็นการทำให้ความงามในวัยสาวรุ่นที่มีอยู่แต่เดิมดูเลอะเทอะไปหมด
เมื่อเห็นนางในสภาพเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งใดคือ ‘ตัดทอนแป้งน่ารังเกียจและสีสกปรกทาหน้าทิ้งไป’….
จนเมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็นหางตาที่ฮูหยินซูมองบุตรสาวด้วยท่าทีเกร็งๆ และอาศัยยามที่ไม่มีใครสังเกตส่งสายตาคมกริบไปหานาง แต่เสิ่นจั้งหนิงกลับมีอาการได้อกได้ใจยิ่ง ระหว่างที่มองกันไปมา กลับมีสีหน้าแห่งชัยชนะอยู่เต็มใบหน้า ดั่งเกรงว่ามารดาจะมองไม่เห็นความลิงโลดของตน ฮูหยินซูกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นและคล้ายกำลังกัดฟันอยู่ด้วย เห็นชัดว่านางกำลังพยายามข่มใจเพราะยามนี้มีสะใภ้ใหม่มาทำความรู้จักกับครอบครัว จึงมิได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
…เว่ยฉางอิ๋งพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว หากเสิ่นจั้งหนิงมิได้จงใจยั่วให้มารดาเกิดโทสะ เช่นนั้นนางก็จะต้องกำลังโกรธมารดาอยู่!
ดูไปแล้วน้องสาวตัวน้อยของสามี ท่าจะเป็นตัวก่อกวนไม่เบาทีเดียว!
คนสุดท้ายในรุ่นนี้ที่ขึ้นมาแนะนำตัวก็คือคุณชายแปดเสิ่นเหลี่ยนเหิง บุตรชายคนสุดท้องของอนุ เพิ่งอายุได้สิบเอ็ดปี ซึ่งมีหน้าตาไม่เหมือนเสิ่นเซวียนเลยแม้แต่น้อย เขามีใบหน้ากลม ดวงตาโต ริมฝีปากมีสีแดงสด หากมิได้มองให้ถี่ถ้วนยังหลงนึกว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง
เมื่อเสิ่นเหลี่ยนเหิงเข้าพบพี่ชายและพี่สะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวของรุ่นหลานมาคารวะบ้าง
เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นบุตรชายลำดับที่สามเพิ่งจะแต่งภรรยา ดังนั้นย่อมเป็นบ้านใหญ่และบ้านรองเท่านั้นที่จะมีหลานชายและหลานสาว เมื่อเข้ามาคารวะตามลำดับ ก็เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่เสิ่นซูจิ่งและบุตรชายรองเสิ่นซูหมิง ยังมีบุตรของบ้านสองอีกสามคน…ซึ่งล้วนเป็นหลานสาวทั้งหมด บุตรสาวคนโตบ้านใหญ่คือเสิ่นซูโหรว คนรองซึ่งเป็นบุตรสาวของอนุ เสิ่นซู[2]เยวี่ย และคนเล็กบุตรสาวบ้านใหญ่ เสิ่นซูเหยียน
ในบรรดารุ่นหลานทั้งหมด เสิ่นซูจิ่งเป็นคนโตที่สุด อายุได้สิบขวบแล้ว มีกริยาเรียบร้อยสงบเสงี่ยม มีสง่าราศีดังกุลสตรีตระกูลใหญ่ เสิ่นซูหมิงซึ่งเป็นเด็กชายเพียงคนเดียวอายุน้อยกว่าพี่สาวสองปี และเริ่มเรียนหนังสือมาสองปีแล้ว ทั้งกริยาวาจาล้วนเรียบร้อยมีแบบแผน มีสง่าราศีดังคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือบุตรสาวทั้งสามคนของบ้านสอง แม้จะบอกว่ามีบุตรสาวของอนุรวมอยู่ด้วย แต่เด็กหญิงทั้งสามคนกลับมีหน้าตาแทบจะเหมือนกัน แต่ละคนล้วนมีหน้าตาคล้ายไปทางเสิ่นเหลี่ยนสือผู้บิดา หากมิได้มีอายุต่างกัน ก็จะทำให้คนหลงนึกว่าเป็นแฝดสามเอาได้ง่ายๆ
เมื่อคืนในห้องหอ เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเสิ่นจั้งหนิงเอ่ยถึงเสิ่นซูเหยียนมาก่อน ยามนี้จึงขาดเสียมิได้ที่จะสนใจนางมากเป็นพิเศษ หลานสาวตัวน้อยผู้นี้หากนับกันตามอายุแล้วเพิ่งจะอายุเต็มสี่ขวบ หน้าตาน่ารักยิ่งนัก ผิวดังหิมะผมดำขลับ ปากแดงฟันขาว ดวงตาทั้งคู่ทั้งกลมทั้งโตทั้งแวววาวดังองุ่นดำก็ไม่ปาน พูดจาด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะเข้าไปอุ้มนาง
เว่ยฉางอิ๋งสังเกตดูนาง นางเองก็ดูเหมือนมีคำพูดอยากจะพูดกับเว่ยฉางอิ๋งด้วยเช่นกัน เพียงแต่นางตวนมู่ที่นั่งอยู่ในที่นั่งหลักกระแอมไอออกมาหลายหน เสิ่นซูเยียนจึงได้แต่ต้องถอยกลับเข้าไปพร้อมพวกพี่สาวด้วยท่าทีตัดใจไม่ได้
เมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหม่รู้จักกับทุกคนครบแล้ว ฮูหยินซูก็ได้กล่าวกับทุกคนไปอีกสองสามประโยค เสิ่นเซวียนดูเวลาแล้วจึงกล่าวว่า “วันนี้พอดีเป็นวันหยุด คาดว่าท่านอาเจ้าทางนั้นก็คงกำลังรออยู่ เมื่อพบทางนี้เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ไปกันยามนี้เลยเถิด”
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า แล้วเสิ่นเซวียนก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไป ทุกคนจึงได้พากันกล่าวคำอำลา
เมื่อออกประตูไป เสิ่นซูเหยียนพลันร้องเรียกอาสะใภ้สาม
น้ำเสียงอ่อนนุ่มของนางฟังแล้วสบายยิ่งนัก เว่ยฉางอิ๋งจึงหยุดเดินและหันมายิ้มถามว่ามีเรื่องอันใด แต่แล้วนางตวนมู่ก็มีท่าทีหุนหัน พลางเข้ามาอุ้มนางขึ้นทันใด แล้วตำหนิว่า “อย่าเสียมารยาทไปรบกวนเวลา ท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สามกำลังจะไปพบท่านปู่รอง!” เมื่อตะเบงเสียงปรามบุตรสาวแล้ว นางตวนมู่ก็หันมาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “น้องสะใภ้สามอย่าสนใจนางเลย เด็กเล็กๆ เช่นนี้ก็ชอบสร้างเรื่องไปทั่ว เจ้ารีบไปพบท่านอารองกับน้องสามเถิด!”
เว่ยฉางอิ๋งจึงขึ้นเกี้ยวไปด้วยความหงุดหงิด เมื่อห่างออกไปไกลสักหน่อย และข้างกายไม่มีคน จึงเอ่ยถามเสิ่นจั้งเฟิงว่า “เจ้าคงจักรู้ว่าซูเหยียนอยากจะพูดสิ่งใดกับข้า?”
เสิ่นจั้งเฟิงย่อมรู้ว่าน้องสาวของตนเสิ่นจั้งหนิงพูดสิ่งใดกับเสิ่นซูเหยียน แต่เขาก็ไม่อาจพูดตรงๆ ออกไปได้ว่าเสิ่นซูเหยียนคิดอยากจะได้ของในหีบสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋ง… ทั้งยามนี้ยังมีคนหามเกี้ยวและบ่าวที่ติดตามเกี้ยวอยู่ด้วย หากพูดออกไปแล้วเว่ยฉางอิ๋งไม่อยากให้ก็จะทำตัวลำบาก อีกประการหลานสาวเอ่ยปากขอสิ่งของในสินติดตัวของอาสะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่แล้ว ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งยอมให้ แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะทำให้ผู้คนเยาะเอาได้ว่าบ้านเสิ่นโลภโมโทสันถึงเพียงนี้ สะใภ้ใหม่เพิ่งจะเข้าบ้านมาก็กลับปล่อยปละให้เด็กเล็กๆ เอ่ยปากขอสินติดตัวของผู้อื่น
ซึ่งทั้งมวลก็เพราะเสิ่นจั้งหนิงยังเด็กไม่ประสา ด้วยคิดจะหลอกล่อให้หลานสาวมาล่มหัวจมท้ายขโมยกระบี่ด้วยกัน จึงกล่าวยืนยันในเรื่องไร้แก่นสาน จนทำให้เสิ่นซูเหยียนที่อายุยังน้อยหลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง เฝ้านับวันรอให้อาสะใภ้สามเข้าบ้านมาเร็วๆ แล้วนางจะได้ขอหนังสือล้ำค่าที่สืบทอดกันมาในตระกูลเหล่านั้นมา
เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดพักหนึ่งจึงบอกว่า “ปกติแล้วนางชอบอ่านหนังสือ ตระกูลเว่ยเลื่องชื่อด้านการอักษร เป็นที่รู้กันในเขตทะเล คาดว่าคงอยากจะขอคำชี้แนะจากเจ้า”
“เช่นนี้เอง…” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด ตระกูลเว่ยเลื่องชื่อด้านการอักษรก็จริง แต่จนใจที่ในหัวของนางไม่ได้มีความรู้ใดอยู่เลย อย่าว่าแต่ความรู้เลย ด้วยเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่ฝักใฝ่เรื่องเพิ่มวรยุทธ์ให้ตนเอง มิได้สนใจในเรื่องอักษรการกวี หากประเมินกันตามระดับของกุลสตรีตระกูลใหญ่นางก็เพียงอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น
หากหลานสาวตัวน้อยผู้นี้วิ่งมาสนทนาเรื่องบทนิพนธ์เลื่องชื่อกับนาง เช่นนั้นก็ลำบากแล้วจริงๆ
นางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดจะถามไปไม่ได้ว่า “ข้าได้ยินว่าตระกูลเสิ่นมีเทพธิดาน้อย…?”
“ก็คือซูเหยียนนั่นเอง” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “ซูเหยียนมีพรสวรรค์ด้านกวีที่น่าตื่นใจ ฮ่องเต้ยังทรงเคยให้นางไปเข้าเฝ้าฯ ในวังด้วยเหตุนี้ด้วย แต่พี่สะใภ้รองคิดว่าหากฉลาดเกินไปก็จะเป็นภัย จึงไม่ชื่นชอบให้นางแสดงความสามารถออกมา” เขาคาดว่าการเรียนของเว่ยฉางอิ๋งคงจะไม่ใคร่ดีนัก อย่างไรเสียคืนแต่งงานคืนแรกเขาก็รู้ถึงฝีมือของภรรยาแล้ว เห็นได้ว่านางจะต้องทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธ์เป็นอย่างมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความสามารถด้านการอักษรของนางก็คงจะบกพร่องอยู่บ้าง บางทีอาจจะมีพอๆ กับสตรีตระกูลใหญ่ทั่วไปเท่านั้น แต่จะต้องไม่ชื่นชอบไปสนทนากับเด็กรุ่นหลังที่ใครๆ พากันขนานนามว่า ‘เทพธิดาน้อย’ เป็นแน่ ด้วยส่อเค้าว่าหากไม่ระวังตัวแต่เพียงน้อยก็จะได้ชื่อว่าเทียบเด็กเล็กๆ อายุสี่ขวบไม่ได้…
กอปรกับนางตวนมู่เองก็แสดงออกชัดแจ้งแล้วว่า แม้จะมีบุตรสาวที่ได้รับสมญานามว่าเทพธิดาน้อยตั้งแต่อายุน้อยๆ เพียงนี้ แต่นางผู้เป็นมารดากลับไม่คาดหวังให้ผู้อื่นเอ่ยถึงและไม่ต้องการให้ผู้อื่นไปจูงใจบุตรสาวของนางในเรื่องนี้ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าตนควรหาทางหลบเลี่ยงเสิ่นซูเหยียนเสียดีกว่า…จึงจะได้ไม่ต้องเอ่ยถึงบทนิพนธ์เลื่องชื่อต่างๆ
ความจริงแล้วเสิ่นจั้งเฟิงเองก็เคยชี้แจงเหตุผลกับหลานสาวมาหลายครั้ง และบอกไปชัดเจนแล้วว่าสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งนั้นไม่ใช่ว่าพออยากจะได้ก็จะสามารถเอามาได้ ทว่าเสิ่นซูเหยียนกลับอายุน้อยเกินไป แม้จะมีพรสวรรค์ด้านกวีสูงส่ง แต่กลับไม่สามารถเข้าใจเรื่องใจเขาใจเราได้ ประสาอะไรกับที่ยังมีเสิ่นจั้งหนิงที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินคอยเสี้ยมสอนอยู่ข้างๆ โอกาสที่เสิ่นจั้งเฟิงได้พบปะกับหลานสาวตัวน้อยนี้ไม่มากเท่ากับน้องสาวจึงไม่อาจหลอกล่อนางได้ในเวลาอันสั้น
ยามนี้จึงคิดว่าเอาไว้กลับไปแล้วค่อยอธิบายกับภรรยาให้กระจ่างอีกครั้ง
เว่ยฉางอิ๋งกลับนึกถึงเรื่องที่นางตวนมู่มีท่าทีคล้ายจงใจหรือไม่จงใจยุยงให้นางมีเรื่องขัดใจกับเสิ่นจั้งหนิง… หรือด้วยสาเหตุนี้นางตวนมู่จึงได้ทำเช่นนี้?
หรือเพราะเสิ่นจั้งหนิงคอยเสี้ยมสอนเสิ่นซูเหยียน นางตวนมู่เห็นแก่หน้าฮูหยินซูซึ่งเป็นแม่สามี จึงไม่อาจทำสิ่งใดน้องสามีตัวน้อยได้ ทั้งยังไม่ต้องการให้เสิ่นจั้งหนิงสอนบุตรสาวของตนจนเสียคน ด้วยเกรงว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นน้องสะใภ้เข้าบ้านมาแล้วจะร่วมมือกับเสิ่นจั้งหนิงและพาให้เสิ่นซูเหยียนเสียคน ว่าแล้วจึงได้จัดการทำให้ทั้งสองแตกคอกันเสียตั้งแต่แรก?
เมื่อฟังได้ว่าเสิ่นจั้งหนิงสนิทสนทกับเสิ่นจั้งเฟิงเป็นอย่างยิ่ง นับแต่เมื่อวาน ตอนแรกเสิ่นจั้งหนิงก็ยังมีท่าทีรักพี่ชายจึงรักพี่สะใภ้ของตนด้วย แม้จะเย้าหยอกตนแต่ก็มิได้มีเจตนาร้ายอันใด หากมิใช่เพราะนางตวนมู่ยุยุง เว่ยฉางอิ๋งเชื่อว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้จะต้องมาเล่นกับตนบ่อยๆ เป็นแน่…หรือนางตวนมู่ต้องการจะขัดขวางเรื่องนี้?
แต่จะว่าไปก็ค่อนข้างเป็นการบังคับฝืนใจเกินไปสักหน่อย…
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น คนห้ามเกี้ยวก็กล่าวเตือนว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อยโปรดระวัง มีต้นตีนตุ๊กแกห้อยย้อยลงมาจากประตูนี้ขอรับ”
จวนของเสิ่นโจ้วใกล้กับจวนของราชครู อยู่ติดต่อกันเพียงเปิดประตูผ่านกำแพง ยามนี้มีต้นตีนตุ๊กแกขึ้นอยู่เต็มกำแพงนี้ และมีที่ห้อยย้อยลงมาจากประตูอยู่หลายเถาเมื่อมองขึ้นไปข้างบนพวกเถาที่แก้แล้วยังมีรอยตัดอยู่ด้วย ส่วนที่ห้อยย้อยลงมานี้เห็นชัดว่ามีคนในเรือนต้องมีธุระวุ่นวายจนไม่มีเวลาตัดแต่ง คงเพราะเว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมาจึงต้องเอาบ่าวไพร่ไปจัดเตรียมงานเลี้ยง จึงทำให้ต้นตีนตุ๊กแกอาศัยโอกาสนี้งอกยาวออกมามากมายเพียงนี้
เมื่อถึงแล้ว เสิ่นโจ้วนั้นนางเคยพบมาก่อนแล้ว จึงเป็นเพียงการเข้าคารวะไปตามลำดับ ฟังการอบรมสอนสั่งและรับของรับไหว้ เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินมานานแล้วว่าอดีตภรรยาแซ่เฉียนของเสิ่นโจ้วนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว และเขามิได้แต่งภรรยาใหม่อีกเลย ดังนั้นแล้วในยามนี้ที่นั่งทางด้านขวาของที่นั่งหลักจึงว่างเปล่า หลังจากเข้าคราวะแล้วเสิ่นโจ้วก็อธิบายว่า “ทั้งจั้งจูและเหลี่ยนเหมยล้วนไม่สะดวกมาพบในคราวนี้ ด้วยกลัวว่าจะกระทบกับสิริมงคลของพวกเจ้า…รอจนพวกเจ้าแต่งงานครบเดือนค่อยมาพบเถิด จั้งฮุย เหลี่ยนฮวา พวกเจ้ามาคารวะพี่ชายและพี่สะใภ้!”
คุณชายสี่เสิ่นจั้งฮุย อายุสิบเก้าปีเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ของเสิ่นโจ้ว ได้ยินมาว่าเขาหมั้นหมายไปเมื่อปีที่แล้ว รอเพียงให้เสิ่นจั้งเฟิง ลูกผู้พี่ซึ่งอยู่ในลำดับก่อนตนแต่งงานเรียบร้อยเสียก่อน เขาก็จะไปรับคู่หมั้นเข้าบ้านมาเช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งดังหยกตั้ง ท่าทางสุภาพมีมารยาท ทำให้คนรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนยิ่งนัก อ่อนโยนจนถึงขั้นดูว่านอนสอนง่ายเสียอย่างยิ่ง
บุตรของอนุคุณชายเจ็ดเสิ่นเหลี่ยนฮวามีอายุเท่ากับคุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุน แต่กลับอ่อนกว่าเสิ่นเหลี่ยนคุนสามเดือนจึงอยู่ในอันดับที่เจ็ด เขามีหน้าตาธรรมดาและดูเป็นคนเงียบขรึม
บุตรของเสิ่นโจ้วดูไม่คึกคักร่าเริงผิดกับของเสิ่นเซวียนอย่างลิบลับ เช่นนั้นจึงมิได้อยู่รบกวนเวลาที่จวนเซียงหนิงปั๋วนานนัก เสิ่นจั้งเฟิงก็พาเว่ยฉางอิ๋งกล่าวคำอำลา
ยามจะกลับนั้น เสิ่นจั้งฮุยอาสาเป็นคนออกไปส่งพวกเขา ไม่คิดว่าเพิ่งจะไม่อยู่ต่อหน้าเสิ่นโจ้ว เสิ่นจั้งฮุยก็บอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่สะใภ้สาม จั้งฮุยมีเรื่องอยากจะรบกวน และหวังว่าพี่สะใภ้สามโปรดรับปากด้วยขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งอดจะงงงันไม่ได้ จึงพูดไปว่า “น้องสี่เกรงใจเกินไปแล้ว มีสิ่งใด…”
เสิ่นจั้งเฟิ่งรีบพูดแทรกด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสี่เจ้าอยากจะถามถึงกระบี่ ‘ลู่หู’ หรือ? ไร้สาระจริงๆ นั่นเป็นท่านพ่อมอบให้แก่พี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สามของเจ้าหรือจะนำมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า?”
เสิ่นจั้งฮุยได้ยินพลันมีสีหน้าหวั่นๆ ออกมาในทันใด แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ข้ากำลังถามพี่สะใภ้สามอยู่ พี่ชายสาม ไยท่านจึงต้องห้ามปราม? ไม่แน่ว่าพี่สะใภ้สามอาจจะตกปากรับคำข้าก็เป็นได้”
อาจพูดได้ดังนั้น แต่เห็นชัดว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ตอบตกลง จึงกล่าวไปอย่างเกรงใจว่า “เมื่อเป็นของกำนัลจากผู้ใหญ่ จึงไม่กล้านำไปมอบต่อผู้อื่น หวังว่าน้องสี่จะเข้าใจ”
เสิ่นจั้งฮุยถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “พอพี่ชายสามเอ่ยปาก ข้าก็รู้ว่าไม่มีหวังเสียแล้ว” ระหว่างสนทนากันก็เดินมาจนถึงที่บันได และมีเกี้ยวกำลังรออยู่ เขาจึงได้ประสานมือคารวะทั้งสองคนเป็นการอำลา
รอจนกลับมาที่จวนราชครู เว่ยฉางอิ๋งจึงถามเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความงงงันว่า “กระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มนั้น?”
มีหรือเสิ่นจั้งเฟิงจะยอมบอกความจริง? จึงยิ้มทำเหมือนไม่มีเรื่องใดและว่า “ท่านอาชื่นชอบกระบี่เล่มนั้นมาก เพียงแต่ไม่ว่าจะขอท่านพ่อกี่หน ท่านพ่อก็ไม่ยอมให้”
เช่นนั้น…เรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าเสิ่นโจ้วลืมกระบี่เอาไว้มิได้นำติดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว จะเป็นเรื่องจริงหรือ? อาจเป็นเพราะท่านอารองเสิ่นโจ้วผู้นี้อยากครอบครองกระบี่ ‘ลู่หู’ เอาไว้เสียเอง จึงจงใจไม่นำติดตัวมากระมัง?
พ่อสามีจึงจงใจให้เสิ่นจั้งเฟิงติดตามไป ด้วยกลัวว่าหากเป็นผู้อื่นไล่ตามเสิ่นโจ้วไปก็จะถูกเขาเอากระบี่ไปเช่นกัน?
เว่ยฉางอิ๋งอดจะคิดไปเช่นนี้ไม่ได้…
___________________________________
[1] ผมทรงผานหวนจี้ เป็นทรงผมที่เกล้าผมขึ้นจนหมด ปลายม้วนเป็นขดแล้วมวยไว้ข้างบนศีรษะ
[2] ซู คำนี้แม้จะออกเสียงเหมือนชื่อตัวแรกของรุ่นหลานคนอื่นๆ แต่เขียนด้วยอักษรคนละตัวกัน ทำให้เป็นข้อแตกต่างระว่างบุตรบ้านใหญ่และบุตรของอนุ