ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 71 ถูกตำหนิ
น้องสะใภ้คนใหม่อายุยังน้อยแต่กลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ รอจนเสิ่นจั้งฮุยพาคนกลับไปที่จวนเซียนหนิงปั๋วแล้ว นางหลิวและนางตวนมู่จึงขาดเสียไม่ได้ที่ต้องเอ่ยถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของตนต่อหน้าฮูหยินซูสักหน่อย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่ดี นางหลิวเอ่ยไปว่า “เป็นเพราะสะใภ้พิจารณาไม่ถี่ถ้วน คิดว่าเมื่อส่งตัวเข้าห้องหอแล้วก็ต้องเย้าหยอกกันสักหน่อย เพราะธรรมเนียมแต่ไรมาก็เป็นดังนี้ ก็เข้าหอนี่ หากไม่ครึกครื้นก็จะไม่ดี กลับไม่คิดว่าน้องสะใภ้สี่ก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จนร่างกายทนไม่ไหว แม้วันนี้น้องสะใภ้สี่จะบอกว่าไม่ถือโทษ แต่สะใภ้ก็ต้องขอขมาต่อท่านแม่ด้วย เพราะอย่างไรก็เป็นสะใภ้ที่คิดการไม่รอบคอบเจ้าค่ะ”
นางตวนมู่ที่ถูกเผยเหม่ยเหนียงตอกกลับมาไม่เบา นางมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นไยในขณะท่ามือกำลังทึ้งผ้าเช็ดหน้า บอกว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อน้องสะใภ้สี่เอ่ยขึ้นมาวันนี้กลับเป็นการเตือนสะใภ้ว่า… ท่านอาสะใภ้รองเสียไปเร็ว ยามนี้น้องสะใภ้สี่เข้าบ้านมาก็จะต้องมาดูแลจัดการบ้านเรือน จนใจเหลือที่น้องสะใภ้สี่ออกจะบอบบางเช่นนี้ แม้แต่เป็นเจ้าสาวในงานพิธีครั้งหนึ่งก็ยังทนไม่ไหวแล้ว วันหน้าเมื่อต้องเป็นคนมาดูแลบ้านเรือน เมื่อมีเรื่องต่างๆ ให้ต้องเป็นกังวลขึ้นมาจะทนไหวได้อย่างไรกัน?”
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะรู้สึกว่าเผยเหม่ยเหนียนเย่อหยิ่งเกินไปหน่อย แต่ยามนี้ทั้งนางหลิวและนางตวนมู่ล้วนเอาคืนขึ้นมาแล้ว นางเองก็คร้านจะไปร่วมวงด้วย จึงได้แต่นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ส่งเสียง
ฮูหยินซูมองดูสะใภ้ทั้งสามแล้วเอ่ยปากถามอย่างราบเรียบว่า “เช่นนั้นแล้วตามความเห็นของพวกเจ้า ยามนี้ควรทำเช่นใด?”
นางหลิวและนางตวนมู่สบตากันหนหนึ่ง แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ช่วยวางแผนไม่ให้น้องสะใภ้สี่ต้องอ่อนล้าเกินไปเจ้าค่ะ อย่างเช่นหาคนจำนวนหนึ่งมาช่วยแบ่งเบาภาระของน้องสะใภ้สี่เจ้าค่ะ” จะขาดก็แต่พวกนางไม่ไปส่งเสริมให้ฮูหยินซูยัดอนุสองสามคนที่เจ้าเล่ห์มีชั้นเชิงใส่หลังบ้านของเสิ่นจั้งฮุยเท่านั้น
“เช่นนั้นต้องเลือกคนเช่นได้เล่า?” ฮูหยินซูถามต่อไปด้วยท่าทีอดกลั้น “เป็นพ่อบ้านแม่บ้าน หรือว่าเป็นคนอื่นใดกัน?”
เมื่อฟังได้ว่าน้ำเสียงของฮูหยินซูไม่ใคร่ปกตินัก นางหลิวจึงได้แต่ยิ้มสู้ “พวกสะใภ้ก็เพียงเอ่ยไปเช่นนั้นเอง อย่างไรก็ต้องให้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจ สรุปก็คือร่างกายของน้องสะใภ้สี่ไม่สู้ดี อย่างไรก็อย่าให้นางต้องเหนื่อยเกินไปเป็นดีเจ้าค่ะ”
“ก่อนนี้จั้งจูเป็นคนดูแลบ้าน หากเหม่ยเหนียงดูแลไม่ดี ก็จะมีจั้งจูเป็นคนช่วยนางเอง” ฮูหยินซูดื่นชาอึกหนึ่ง แล้วขยับเปลือกตาขึ้นมามองสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองหนหนึ่ง ส่งเสียงหึแล้วว่า “จะอย่างไรจั้งฮุยเป็นบุตรของอารองของพวกเจ้า! ท่านอาสะใภ้รองของพวกเจ้าเสียไปเร็ว ดังนั้นจึงได้ขอให้ข้าเลี้ยงดูเขามาหลายปี แม้ผู้คนล้วนบอกว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดมิสู้บุญคุณที่เลี้ยงดูอะไรทำนองนั้น แต่สำหรับหลายชายแท้ๆ ผู้นี้ ข้าก็ยังทำเรื่องลำเลิกบุญคุณออกมาไม่ได้อยู่ดี! ในเมื่อจวนเซียงหนิงปั๋วมีนายผู้หญิงมาดูแลบ้าน พวกเราก็ไม่ควรไปยุ่งย่ามให้มากความอีก ยิ่งไม่ต้องบอกว่าส่งคนไปให้เขาด้วย! ยามนี้เผยเหม่ยเหนียงเพิ่งแต่งเข้าบ้านมาแค่ไม่กี่วัน พวกเจ้าถือสิทธิ์ใดไปคิดว่านางจะดูแลบ้านเรือนได้ไม่ดี? หรือต่อให้ไม่ดีจริงๆ ก็จะต้องเป็นทางนั้นเป็นคนมาเอ่ยเอง พวกเราจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย… ข้าจะเตือนพวกเจ้าคำหนึ่ง ท่านพ่อและท่านอาของพวกเจ้ารักใคร่กันประหนึ่งมือเท้า แล้วล้วนหวังว่าบรรดาลูกๆ หลานๆ จะสมานสามัคคีกัน หากต้องมาทะเลาะกันจนพี่น้องต้องผิดใจด้วยเรื่องไม่หนักไม่เบาเล็กๆ น้อยๆ แล้วอย่าได้โทษว่าบรรดาผู้ใหญ่เช่นพวกเราต้องมาถามว่าบ้านฝั่งมารดาของพวกเจ้าสอนสั่งบุตรสาวมาอย่างไร! ได้ยินแล้วหรือไม่?”
ก่อนเว่ยฉางอิ๋งจะแต่งเข้ามาก็เคยได้ยินคนว่ากันว่าฮูหยินซูเป็นคนที่เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์มาก เพียงแต่หลังจากแต่งเข้าบ้านมา แม้จะรู้สึกว่าแม่สามีไม่อาจเทียบกับมารดาแท้ๆ ได้ แต่ก็เป็นแม่สามีที่ไว้หน้าไว้ตาสะใภ้ นางเองก็ยังเพิ่งเคยได้ยินฮูหยินซูตำหนิสะใภ้เช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้จะต่อว่านางหลิวและนางตวนมู่เป็นหลัก แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคอยนั่งดูพวกพี่สะใภ้วางแผนจัดการน้องสะใภ้ ฮูหยินซูจึงยังหันมากวาดสายตาเย็นยะเยือกใส่นางสองหน เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าไม่ไปขอขมากับพวกพี่สะใภ้
“เป็นพวกเราสะใภ้เลอะเลือน! ขอท่านแม่ลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”
มองพวกนางนั่งลงคำนับอยู่เป็นนาน ฮูหยินซูจึงเอ่ยไปอย่างเย็นชาว่า “ครานี้จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน หากมีคราหน้าก็จะไม่ละเว้นเด็ดขาด! ไปดูแลบ้านเรือนของพวกเจ้าเองให้ดีเถิด! นี่จวนราชครูของเราว่างนักเสียจนพอน้องสะใภ้ของลูกผู้น้องเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านมา พวกเจ้าก็ถึงขั้นรอจะไปจัดการนางไม่ไหวแล้วหรือ? เรือนของแต่ละคนล้วนไม่ได้ดูแลให้ดีๆ แต่กลับอดรนทนไม่ไหวที่จะไปก้าวก่ายเรือนของน้องสะใภ้! ดีที่พวกเจ้ายังรู้จักเลือกมาพูดตอนที่สามีของพวกเจ้ากลับไปก่อนแล้ว หาไม่ หากอยู่ต่อหน้าพวกเขา ยังไม่ต้องให้ถึงคราวข้ากล่าวคำพูดเหล่านี้ด้วยท่าทีอ่อนโยนกับพวกเจ้าเลย! ดูซิว่าพวกเขาจะไม่อบรมพวกเจ้าไปก่อนข้าหรือไม่!”
นางพูดเสียจนหน้าของสะใภ้ทั้งสามกลายเป็นสีเขียวบ้างขาวบ้างแดงบ้าง ต่างพากันเลิ่กลั่กไม่รู้จะหาทางลงอย่างไร หลังจากย้ำไปมาหลายรอบ ฮูหยินซูจึงปล่อยให้พวกนางกลับไป
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งอยากสอบถามว่าวันพรุ่งตนจะไปเยี่ยมท่านอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเหนียนได้หรือไม่ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่กล้าเอ่ยถึงแล้ว และทำได้เพียงรีบกล่าวคำอำลาไปพร้อมกัน
เมื่อออกมาจากเรือนหลัก นางหลิวที่เดิมทีมีสีหน้านอบน้อมและเสียอกเสียใจ ก็เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นเย็นเฉียบทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรุ่มร้อนในทันใด นางเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่ามีเพียงบ่าวของสะใภ้ทั้งสามอยู่จึงยิ้มหยันพลางเอ่ยถามน้องสะใภ้ทั้งสองว่า “น้องสะใภ้สี่เหิมเกริมทั้งหน้าใหญ่หน้าโตเสียจริงๆ! ตนเองเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยังไม่ทันยกน้ำชาเสร็จก็ทำพวกเราเสียหน้าแล้ว! ยามนี้ยังทำให้ท่านแม่มาต่อว่าต่อขานพวกเราด้วยเรื่องของนางอีก… ข้าแต่งเข้ามาสิบกว่าปียังไม่เคยได้ยินท่านแม่พูดจารุนแรงเช่นนี้มาก่อนเลย! น้องสะใภ้สี่ของพวกเราผู้นี้ แม้มีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง แต่ดูคนแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ!”
นางตวนมู่ทึ้งผ้าเช็ดหน้า เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้เอ่ยเช่นนี้ พวกเราสองคนทำให้ท่านแม่ไม่พอใจ แต่น้องสะใภ้สามหาได้มีท่าทีต้องลำบากใจเพราะน้องสะใภ้สี่ไม่ พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวเช่นนี้แล้ว จะให้น้องสะใภ้สามไม่อึดอัดใจได้หรือ? แล้วจะให้นางพูดตามพี่สะใภ้ใหญ่ หรือให้นางเอ่ยเตือนพี่สะใภ้ใหญ่ดีเล่าเจ้าคะ?”
พี่สะใภ้ทั้งสอง คนหนึ่งส่งคนหนึ่งรับบีบให้เว่ยฉางอิ๋งแสดงท่าทีออกมา เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากที่พลอยถูกฮูหยินซูต่อว่าต่อขานยกใหญ่เพราะเผยเหม่ยเหนียง ยามนี้เมื่อถูกพี่สะใภ้ทั้งสองบีบบังคับเอากลับทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน จึงเอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “ดีชั่วน้องสะใภ้สี่ก็อยู่ห่างจากเราไปคนละจวน ข้าคิดว่าแม้ท่านแม่จะไม่ชอบใจที่พวกเราไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในเรือนของท่านอารอง แต่ก็มิได้บังคับว่าพวกเราจะต้องคบค้าสมาคมกับน้องสะใภ้สี่ให้จงได้นี่เจ้าคะ? ในเมื่อนิสัยของทั้งสองฝ่ายไม่เข้ากัน วันหน้าก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยลงเป็นพอแล้ว เดิมทีพวกเราเองก็ไม่ได้ต้องไปเรือนท่านอารองทุกวันนี่เจ้าคะ”
นางหลิวและนางตวนมู่ไม่พอใจคำตอบเช่นนี้ของนางเป็นอย่างมาก นางตวนมู่เยาะหยันไปว่า “น้องสะใภ้สาม ครั้งเจ้ายังไม่แต่งเข้าบ้าน ข้าก็ได้ยินว่าเจ้าถูกเอาอกเอาใจยิ่งยามเจ้าอยู่ที่บ้าน คิดไปก็คงจะเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่บ้าง แต่กลับไม่คิดว่าจะว่าง่ายเช่นนี้ ตัวข้านั้นก็ยังพอทำเนา แต่สองสามวันมานี้ทั้งเจ้าและพี่สะใภ้ใหญ่ล้วนพากันวุ่นหน้าวุ่นหลังเรื่องงานแต่งงานของน้องสะใภ้สี่ แม้แต่เรื่องการร่ำเรียนของซูหมิงพี่สะใภ้ใหญ่ก็ยังต้องปล่อยปละละเลย แม้เจ้าจะแต่งงานครบเดือนแล้ว แต่หากนับๆ ดู จวบจนยามนี้ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายให้ต้องวุ่นวาย แต่เจ้ากลับต้องวางพักเอาไว้ก่อน แม้แต่ท่านอาหญิงใหญ่ที่ไม่ได้พบกันหลายปีก็ยังไปเยี่ยมไม่ได้ ก็เพื่อเรื่องแต่งงานของเผยเหม่ยเหนียงผู้นี้! แต่มาวันนี้นางกลับทำตัวดีนัก ไม่ได้คิดเรื่องบุญคุณเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมาทำให้พวกเราถูกท่านแม่ตำหนิ เช่นนี้แล้วเจ้าก็ยังอดทนไหว ช่างเป็นคนดีเสียเหลือเกิน!”
“สองสามวันมานี้ข้ากลับมิได้รู้สึกว่าลำบากนัก ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน เรื่องใดล้วนยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ท่านแม่ให้ข้าคอยช่วยเหลือพี่สะใภ้ทั้งสองดูแลบ้าน ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าควรทำสิ่งใดบ้าง และต้องทำเช่นใด” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ครานี้น้องสี่แต่งภรรยา ข้ากลับได้เรียนรู้ไม่น้อยจากท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ จะว่าไปแล้วโชคดีที่ท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ให้คำชี้แนะอย่างไม่หวงแหนเจ้าค่ะ” คำพูดนี้ของนางความจริงแล้วก็เป็นคำพูดจากใจจริง เพราะนางหลิวเคยจัดงานแต่งงานมาหลายครั้งแล้ว จึงคุ้นเคยกับกระบวนการต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง
แต่เว่ยฉางอิ๋งยังสาว ทั้งประสบการณ์และขนบต่างๆ ในสังคมนางล้วนเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่หาใช่เพราะไม่ได้เรียนรู้มาให้ดีเมื่อครั้งอยู่ที่บ้านตน เพราะอย่างไรมีหลายเรื่องที่ต่อให้เป็นคนที่ยังไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องให้คนเป็นคุณหนูเข้ามาก้าวก่าย ครานี้เสิ่นจั้งฮุยแต่งภรรยา นางเป็นผู้ช่วยให้ฮูหยินซูและนางหลิว โดยทางตรงและทางอ้อมก็ได้เรียนรู้เคล็ดลับต่างๆ มาไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อตั้งสติคิดดีๆ เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้โมโหโกรธาเหมือนเช่นนางหลิว เพราะความจริงแล้วการมาช่วยจัดการงานแต่งงานให้เผยเหม่ยเหนียง นางเองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน เมื่อเอาเรื่องนี้มาอ้างเอาในเวลานี้ ก็เพื่อเป็นการตอบนางตวนมู่ที่เยาะหยันว่างนางเกรงกลัวเผยเหม่ยเหนียง
เพียงแต่คำว่า ‘ดูแลบ้าน’ ในคำพูดของนางกลับทำให้สีหน้าของนางหลิวและนางตวนมู่หนักอึ้งลงทันใด และไม่ไปห่วงคิดเรื่องจะตอบโต้เผยเหม่ยเหนียนอย่างไรแล้ว หากแต่พากันคิดว่า ‘ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านแม่ให้พวกเราแบ่งสรรอำนาจให้แก่นางเว่ยผู้นี้ ในตอนนั้นนางเข้ามาช่วงชิงอำนาจไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป… ภายหลังเมื่อน้องสี่แต่งงาน นางก็ถูกรั้งตัวให้มาคอยช่วยงานในจวนเซียงหนิงปั่ว หลายวันมานี้ล้วนจัดการงานอยู่ที่นี่ แต่เวลานี้นางเผยก็แต่งเข้าบ้านมาแล้ว… ดูทีว่านางเว่ยคงจะหันมาช่วงชิงอำนาจอย่างเต็มกำลังเสียแล้ว มิน่าเล่านางจึงไม่ยอมไปร่ำไรกับนางเผย!’
โทสะเพียงชั่วคราวย่อมไม่อาจเทียบกับอำนาจการดูแลบ้านได้ เมื่อนางหลิวและนางตวนมู่คิดว่ากำลังจะค่อยสูญเสียอำนาจในมือไปก็พลันสะท้านขึ้นมาในใจ ทันใดนั้นเองจึงไม่มีแก่ใจจะไปหารือว่าจะตอบโต้เผยเหม่ยเหนียงเช่นไร พลันเอ่ยคำกลบเกลื่อนไปเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยคและแยกย้ายกลับเรือนตน… แล้วรีบไปหาบ่าวคู่ใจเพื่อมาหารือด้วยกันว่าจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร
เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนั้นนางหวงจึงพูดว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองต้องการจัดการฮูหยินน้อยสี่ แล้วเหตุใดฮูหยินน้อยต้องมาเอ่ยถึงเรื่องการดูแลบ้านเรือนเอายามนี้เล่าเจ้าคะ? เช่นนี้แล้วฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองจะมัวไปสนใจแต่ฮูหยินน้อยสี่ได้ที่ใด หากแต่ล้วนต้องหันมาคิดว่าจะจัดการกับท่านอย่างไรแล้ว”
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะทำให้พี่สะใภ้ทั้งสองไปได้แล้ว แต่ก็กลับอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก เมื่อได้ยินคำดังนั้นจึงส่งเสียงหึออกมาแล้วบอกว่า “เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร? ข้าเองไม่ได้ชอบเผยเหม่ยเหนียงเช่นกัน แต่วันนี้หากมิใช่เพราะพี่สะใภ้ทั้งสองไปยุยงให้หาคนไปเพิ่มให้น้องชายสี่ทางนั้นแล้วจะทำให้ท่านแม่โกรธจนมาพาลเอากับข้าด้วยหรือ? ทั้งที่เป็นเรื่องที่พวกนางก่อ ท่านแม่ก็บอกแล้วว่าห้ามไปยุ่งย่ามในเรื่องของบ้านท่านอารอง พวกนางก็ยังไม่ฟังซ้ำยังคิดจะลากข้าลงน้ำไปด้วย คิดจริงๆ หรือว่าเมื่อท่านแม่ให้พวกนางดูแลบ้านเรือนแล้วจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของพวกนางแล้ว? หากข้าไปจัดการเผยเหม่ยเหนียงตามความต้องการของพวกนาง ไม่แน่ว่าอาจถูกพวกนางผลักออกมาเป็นโล่กันลูกธนูก็เป็นได้!”
นางหวงกล่าวว่า “โธ่ ข้าน้อยก็มิได้บอกว่าให้ฮูหยินน้อยทำตามความต้องการของฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองนี่เจ้าคะ เพียงแต่เมื่อฮูหยินน้อยไม่อยากสนใจเรื่องที่พวกนางหารือกัน ก็หาเหตุผลไปเรื่อยเปื่อยและเดินออกมาก็พอแล้ว ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องดูแลบ้านเสียให้ได้?”
“หากไม่เอ่ยถึง วันหน้าพวกนางก็จะไม่ระวังข้าแล้วหรือ?” เห็นชัดว่าเว่ยฉางอิ๋งอารมณ์ไม่ดียิ่ง ไม่บ่อยนักที่นางจะมีสีหน้าไม่ดีต่อนางหวง นางยิ้มเย็นกล่าวว่า “แล้วปล่อยให้พวกนางพลอยทำให้ข้าต้องถูกท่านแม่ตำหนิ แต่กลับไม่ยอมให้ข้าทำให้พวกนางไม่สบายใจบ้างหรือ? ท่านอาหวง ท่านว่ามาเช่นนี้ คงมิใช่เพราะกลัวพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองหรอกนะ?”
นางหวงฟังออกว่านางกำลังโกรธ จึงรีบบอกไปว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ข้าน้อยเพียงแต่…”
“เช่นนั้นท่านกังวลสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงว่า “หรือว่าจะยอมให้ข้าฟังพวกนางเอ่ยคำค่อนแคะ แต่ไม่ยอมให้ข้าโต้ตอบบ้าง?”
“ข้าน้อยคิดว่า หากไม่ไปเตือนฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรอง และปล่อยให้พวกนางเกิดเรื่องบาดหมางกับฮูหยินน้อยสี่ไปเสีย ก็มิดีหรือเจ้าคะ?” นางหวงยิ้มเจื่อนๆ พลางอธิบาย
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พี่สะใภ้ทั้งสองคนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวนัก เมื่อครู่นี้ท่านแม่เพิ่งจะย้ำนักหนาว่าไม่ให้พวกเราไปยุ่งย่ามเรื่องเรือนหลังของน้องชายสี่ นี่เพิ่งจะพ้นประตูออกมา พวกนางก็เริ่มกันแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าพวกนางจะจงใจแสร้งทำเช่นนั้นเพื่อล่อให้ข้าติดกับ? อีกประการต่อให้พวกนางจะโมโหจนหน้ามืดจริงๆ เมื่อกลับไปที่เรือนและสงบใจคิดดู ข้าไม่เชื่อว่าพวกนางจะกล้าขัดคำท่านแม่อย่างเปิดเผย! ท่านนึกจริงๆ หรือว่าพวกนางจะบาดหมางกับเผยเหม่ยเหนียง หรือต่อให้บาดหมางกัน ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนนี้! หาไม่แล้ว จะให้ท่านแม่ไม่พอใจได้หรือ?”
นางหวงหมดคำพูด เพียงแต่ต้องขอขมา “เป็นข้าน้อยคิดว่าตนเองฉลาดเกินไป ต้องขอให้ฮูหยินน้อยตำหนิด้วยเจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปอย่างไม่พอใจว่า “กลับไปกันก่อนเถิด!”
___________________________________________