ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 74 ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อออกจากประตูทางทิศตะวันออกและเดินทางไปตามถนนหลวง เพียงไม่กี่ลี้ก็ลงมาที่ถนนเล็กๆ สายหนึ่ง แล้วเลี้ยวเอียงไปทางใต้ แม้ลงจากถนนหลวงมาแล้ว ทว่าคงเพราะมีคนมาท่องเที่ยวที่ทะเลสาบฤดูใบไม้ผลิมีจำนวนมาก และในจำนวนนั้นก็มีคนสูงศักดิ์อยู่จำนวนไม่น้อย ถนนเล็กๆ สายนี้จึงถูกบูรณะซ่อมแซมเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ
ข้างทางมีต้นหม่อนและต้นเอมปลูกไว้เต็มไปหมด มองเห็นว่าระหว่างกิ่งก้านของพวกมันล้วนมีร่องรอยการตัดแต่ง
ยามนี้เป็นช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่มีใบหนาทึบอยู่เต็มต้น เมื่อยกมุมผ้าม่านขึ้นแล้วมองออกไป ก็เห็นว่ารอบทิศล้วนเป็นสีเขียวมรกตที่เข้มบ้างอ่อนบ้าง บางครามีเสียงนกขมิ้นร้องดังมาจากข้างบนหัว ใต้ต้นไม้ก็ยังมีเสียงกรูกรูของนกจำพวกนกเขา ทำให้เกิดความสุขสงบบ้างอย่างขึ้นมา
เว่ยฉางอิ๋งมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นหนหนึ่ง จึงหันหน้ามาบอกกับสามีว่า “บนถนนสายนี้กลับดูสงบดีจริงๆ”
“ยามนี้มีเพียงคนที่มาชมดอกบัว” เสิ่นจั้งเฟิงถือแก้วเย่กวง[1] ค่อยๆ ละเลียดจิบเหล้าองุ่นที่อยู่ในแก้ว กล่าวว่า “ช่วงที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิมีคนมากที่สุดก็คือในฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงนั้นรถม้าบนถนนสายนี้ก็จะมักจะต่อกันเป็นแถวยาวไปจนถึงหน้าประตูเมืองทีเดียว” ในรถมีหีบน้ำแข็งที่มีที่จับเป็นรูปสัตว์ประหลาดในเทพนิยาย และมีห่วงทองแดงเป็นที่ยึดปิด ภายในใส่น้ำแข็งเอาไว้ ยามออกจากเรือนก็เอาเหล้าองุ่นแช่ไว้หนึ่งไห เมื่อถึงยามนี้น้ำแข็งครึ่งหนึ่งก็ละลายเป็นน้ำ ยามเข้าปากได้รสชาติกำลังดี
เสิ่นจั้งเฟิงดื่มแล้วรู้สึกว่าไม่เลว แล้วทำท่าให้ฉินเกอรินให้จนเต็มแก้ว แล้วส่งแก้วของตนไปที่ริมฝีปากของเว่ยฉางอิ๋ง
“ที่นี่มีคนมามากมายหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจเป็นอันมาก แล้วจับมือเขาเอาเหล้าองุ่นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วกล่าวชมว่า “จริงด้วย ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ย่อมต้องงดงามที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ จึงได้เรียกว่าทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ”
เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่านางคล้ายไม่ชอบดื่มนัก จึงนำสุรากลับมาดื่มเองจนหมด ยิ้มแล้วว่า “ไปยามนี้ มีดอกบัวอยู่เต็มทะเลสาบก็น่าชมเช่นกัน”
“แต่เจ้าเป็นคนบอกว่า หากไม่น่าชม ก็จะให้ข้าตีเจ้า” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางผลักเขาไปหนหนึ่ง
เสิ่นจั้งเฟิงส่งแก้วเย่กวงให้ฉินเกอนำไปเก็บ แล้วกล่าวอย่างมีนัยยะแฝงว่า “หากว่าน่าชม แล้วเจ้าจักขอบคุณข้าเช่นไร?”
“น่าชมก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว อากาศร้อนปานนี้ เจ้าล่อให้ข้าออกจากบ้านมา ย่อมต้องมีที่ที่ดีกว่า หาไม่แล้วข้าจะต้องมาทนนั่งสะเทือนเช่นนี้ทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งกรอกตาไปมา แล้วเอาพัดวงกลมปิดแก้มไว้ ยิ้มพลางว่า “สรุปก็คือ หากน่าชมอย่างมากที่สุดก็ไม่ลงโทษเจ้า หากทำให้ข้าไม่พอใจ นั่นก็ต้องลงโทษเจ้า และยังต้องลงโทษให้หนักๆ ด้วย” ว่าพลางเอาพัดวงกลมตบไปที่ไหล่เขาหนหนึ่ง
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะลั่น แสร้งทำสีหน้าหวาดกลัว บอกว่า “ฮูหยินน้อยดุร้ายเหลือเกิน สามีไม่กล้าพูดอีกแล้ว”
“มิผิด ข้าดุร้ายนัก!” เว่ยฉางอิ๋งมีรอยยิ้มอยู่ในดวงตา แต่บนใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นดุดัน พลางพยักหน้าแล้วว่า “เจ้าจักต้องระวังสักหน่อย อย่าได้ยั่วให้ข้าโกรธเชียว ยามนี้เดินทางออกมาแล้ว ที่นี่ข้างหน้าไม่มีหมู่บ้าน ข้างหลังไม่มีร้านรวง ดูซิว่าเจ้าจะทำอย่างไรดี!”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจกล่าวว่า “ครานี้นับว่าตกอยู่ในกำมือโจรจริงๆ เสียแล้ว!” แล้วจับมือนางพลางกล่าวอย่างจนใจยิ่งว่า “ยามนี้ข้าน้อยไม่ระวัง ต้องตกอยู่ในกำมือขององค์ราชินี องค์ราชินีโปรดเวทนาสงสารข้าน้อย โปรดเบามือสักหน่อยเถิด!”
เขาร้องเป็นเพลงพลางพูดไปด้วย ร้องลากเสียงยาวๆ เลียนแบบนางเอกงิ้ว ยิ่งเพราะไม่เคยฝึกทำมาก่อน ทำก็ไม่เหมือน ฟังแล้วดูพิลึกนัก… ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งเท่านั้น แม้แต่พวกสาวใช้ที่คอยดูแลรับใช้อยู่ในรถล้วนหัวเราะเสียงดังออกมา เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะท้องคัดท้องแข็งเสียจนต้องซบลงไปที่หัวไหล่ของเขาอยู่เป็นนาน นางปาดน้ำตาพลางว่า “องค์ราชินี… อืม ข้าดุร้ายเพียงนั้นเชียวรึ?”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะบอกว่า “ข้าน้อยทั้งหล่อเหลาองอาจทั้งสง่างามเพียงนี้ โดยปกติแล้วองค์ราชินีเห็นเข้าก็จะตัดใจตีไม่ลงแล้ว ทว่าท่าน องค์ราชินีเว่ยกลับหาได้สงสารข้าน้อยแม้แต่น้อยไม่ ตามความเห็นของข้าน้อย องค์ราชินีท่านต้องดุร้ายกว่าองค์ราชินีทั่วไปมากทีเดียว! ช่างไม่รู้จักทะนุถนอมคนอ่อนแอบอบบางเอาเสียเลย น่าเสียดายก็แต่นี่มันไก่ได้พลอย ไก่ได้พลอยชัดๆ!”
เว่ยฉางอิ๋งหยิกเขาไปอย่างไม่พอใจหนหนึ่ง “เจ้าเคยถูกราชินีหลายองค์ยื้อแย้งมารึ? หาไม่แล้วเหตุใดจึงแยกแยะองค์ราชินีทั่วไปกับองค์ราชินเช่นข้าได้อีกฮึ? รีบสารภาพกับราชินรีมาโดยเร็ว! หาไม่แล้ว หึๆ!” แล้วเงื้อพัดวงกลมขึ้นตั้งท่าจะตี
“อ่ะ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข้าน้อยเดาเอา” เสิ่นจั้งเฟิงไม่ติดกับ เอาแต่หัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนไป แล้วกุมมือนางพลางว่า “เจ้ามองข้างถนนข้างหน้านั่นมีดอกบัวแล้วหรือไม่?”
เมื่อมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ไป ปรากฏว่าเป็นดอกบัวจริงๆ ด้วย
ที่ข้างทางในหญ้าที่ขึ้นแน่นขนัด คล้ายว่าเกิดอยู่ในคูน้ำข้างทาง เพราะมีต้นหญ้าขึ้นอยู่จึงมองไม่ชัดนักว่ามีใบบัวสีเขียวเข้มชูก้านอยู่หลายใบ ทว่าดอกบัวสีขาวนวลสีชมพูหลายดอกกำลังโบกไหวอย่างมีชีวิตชีวา เมื่ออยู่ท่ามกลางสีเขียวมรกตกลับยิ่งดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
เว่ยฉางอิ๋งเกาะดูอยู่ที่หน้าต่างรถในท่าคลานอยู่เป็นนาน แล้วเอ่ยด้วยความอยากรู้ว่า “เหตุใดข้างหน้ายังมองไม่เห็นทะเลสาบอีก?”
“คูน้ำนี้ยาวสามลี้นะ” เสิ่นจั้งเฟิงอมยิ้มพลางลูบที่มวยผมของนาง กล่าวว่า “พวกเราจะไปวางของที่เรือนรับรองก่อน แล้วค่อยไปชมทะเลสาบ หรือจะไปนั่งเรือก่อน?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เรือนรับรองอยู่ไกลหรือไม่?”
“เมื่อไปถึงริมทะเลสาบ ยังต้องเดินไปอีกสี่ห้าลี้” เสิ่นจั้งเฟิงคำนวณดูสักพัก จึงว่า “หากไปนั่งเรือเลย ก็ต้องให้คนไปเตรียมเรือพายไว้ที่ริมทะเลสาบให้เรียบร้อย หากไปที่เรือนรับรองก่อน ก็จะได้สั่งให้คนพายเรือไปรอที่หน้าประตูเรือนรับรอง”
“เช่นนั้นมิสู้ไปล่องเรือเสียเลย” เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าพอไปถึงริมทะเลสาบก็ยังต้องเดินต่ออีกสี่ห้าลี้จึงจะไปถึงเรือนรับรองนางจึงรีบเอ่ยไปดังนั้น ในกลางฤดูร้อนเช่นนี้ แม้ว่าในรถม้าจะมีน้ำแข็ง แต่ก็กลับอบอ้าวนัก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ถนนราบเรียบเพียงใดในรถม้าก็ต้องสะเทือนอยู่ดี อย่างไรก็ไม่น่าสนุกเท่านั่งเรือ… เพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งเข้มงวดกับนางและเว่ยฉางเฟิงเกินไปหน่อย แต่เล็กมานางทำได้แต่เพียงยืนอยู่ในสวนหลังเรือนของรุ่ยอวี่ถังคอยมองดูคนอื่นๆ นั่งเรือไปเที่ยวเล่นกันตาปริบๆ แต่ตนเองกลับทำได้เพียงหักกิ่งต้นหลิวหักดอกบัวใบบัวระบายอารมณ์…
เพราะไม่เคยนั่งเรือมาก่อน จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากสักหน่อย
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “แล้วแต่เจ้า”
ระยะทางสามลี้ แม้รถม้าจะควบไปไม่เร็วนัก ทว่าก็ไปถึงได้อย่างรวดเร็ว ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดก่อนหน้านี้พลันมองหายไปแล้ว ที่สุดปลายทาง ท่ามกลางความร้อนระอุในฤดูร้อนพลันปรากฏเป็นภาพของผืนน้ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นภาพด้วยการยกม่านในรถขึ้น แล้วเอ่ยด้วยความประทับใจว่า “ทิวทัศน์นอกเมืองหลวงก็มีทะเลสาบที่ใหญ่เพียงนี้?”
“ใน ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ที่คนสมัยก่อนเขียนเอาไว้ มีท่อนที่ว่า ‘คลื่นหมอกแผ่ไพศาล เปรียบปานทะเลกว้าง’ เพื่อพรรณนาถึงความกว้างใหญ่ของมัน และยังพรรณนาอีกว่า ‘หญ้าฤดูใบไม้ผลิงอก กวางป่าร้องร่ำ น้ำในฤดูใบไม้ผลิใสมรกต เห็นแล้วแสนสบายอุรา’ ” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มอ่อนๆ พลางว่า “หาไม่แล้วจะกลายมาเป็นสถานที่ที่ผู้คนทั้งเมือง ไม่แบ่งว่าจนหรือมีล้วนแย่งกันมาเที่ยวชมได้อย่างไร?”
เวลานี้มีลมทะเลสาบพัดโชยเข้ามาปะทะใบหน้า จนทำให้ผ้าม่านในรถม้วนขึ้นไป เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่าแขนเสื้อทั้งสองถูกฟัดจนปลิวขึ้นสูง ตัวทั้งตัวคล้ายจะปลิดปลิวไปตามลม อุบะประคำที่ปักในมวยผมปลิ้วปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังแจ่มหู… วันในฤดูร้อนพลันบางเบาลง ลมเย็นคลายความร้อน ทำให้จิตใจปลอดโปร่งจนน่าประหลาดใจ นางรู้สึกตัวพลันสะดุ้งขึ้นมา รีบกดชายกระโปรงที่กำลังจะปลิวเปิดขึ้น แล้วชมไปว่า “ช่างเป็นที่ที่ดีจริงๆ”
รถม้าจอดที่ริมทะเลสาบ เว่ยฉางอิ๋งรีบลงมาจากรถอย่างแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว ทอดสายตาไปบนทะเลสาบ กลับเห็นน้ำสีเขียวใสและเข้มประหนึ่งมรกต ลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านทะเลสาบ ทำให้มีคลื่นพัดมากระทบกับตลิ่งใกล้ๆ เท้าของนางหลายระรอก
ยามหัวคลื่นสีขาวทาบกระทบอยู่ริมตลิ่ง ก็สาดซัดเข้ามาจนเป็นฟอง เมื่อสลายไปก็ซัดเข้ามาใหม่… ภาพที่ซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เมื่อยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ นอกจากรู้สึกผ่อนคลายด้วยลมทะเลสาบแล้วก็ยังมีความเย็นสบายจากคลื่นทะเลสาบ ห่างจากตลิ่งราวสิบก้าวมีต้นหลิวอยู่ต้นหนึ่ง ยามนี้กำลังเป็นช่วงที่กิ่งหลิวห้อยระย้าเหมือนผ้าทอ นกกระจอกที่อยู่ข้างในกิ่งหลิวพากันส่งเสียงร้อง ไพเราะเสนาะหู
เว่ยฉางอิ๋งมองดูอยู่เป็นนาน พลันนึกขึ้นมาได้จึงหันหน้ากลับไปสอบถามเสิ่นจั้งเฟิงที่กำลังสั่งการให้บ่าวนำสัมภาระไปเก็บไว้ที่เรือนรับรองอยู่ว่า “ดอกบัวเล่า?”
มิใช่บอกว่า….ในทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลินี้มีดอกบัวสวยๆ หรอกหรือ? เหตุมองดูอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไม่เห็นดอกบัวเลยแม้แต่เงา? แต่กลับมองเห็นภาพรวมๆ ว่ามีแต่ต้นอ้อเป็นกองพะเนินเทินทึกอยู่ไกลๆ ออกไปในทะเลสาบเล่า?
เสิ่นจั้งเฟิงกำชับเสิ่นเตี๋ยไปอีกสองสามคำจนแล้วเสร็จ จึงเดินมาหานางแล้วกล่าวว่า “ตรงนี้น้ำลึกเกินไป ดอกบัวขึ้นยาก ต้องไปทางโน้น” แล้วชี้ไปทางต้นอ้อโน่น เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ทางนั้นมิใช่ต้นอ้อ?”
“ที่นั่นมีติงโจว จึงมีต้นอ้อขึ้น และใกล้ๆ ก็ยังมีดอกบัวด้วย เพียงแต่ทางพวกเรานี้น้ำลึกจึงมองไม่เห็น” เสิ่นจั้งเฟิงกุมมือนาง ยิ้มอ่อนๆ แล้วว่า “มา พวกเราขึ้นเรือกันเถิด ไปทางนั้น ดูแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
เว่ยฉางอิ๋งถูกเขาดึงตัวไป จึงเพิ่งมองเห็นว่าข้างใต้ตลิ่งมีเรือสำปั้นมีหลังคาจอดรออยู่แล้ว เห็นชัดว่าเรือสำปั้นนี้ใช้เพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ทั้งยังสร้างเอาไว้สำหรับท่องเที่ยวในฤดูร้อนด้วย จึงได้เป็นคนละชนิดกับเรือพายทั่วไป …ทั้งหัวเรือท้ายเรือไม่มีสิ่งใดแตกต่าง มีเพียงส่วนหลังคาที่ทำเลียนแบบเรือใหญ่ที่มีหลังคาสวยงาม ไม่ได้เป็นหลังคาโค้งที่สานจากไม้ไผ่ หากแต่เป็นหลักคาที่มีเสาอยู่สี่มุม หลังคาข้างบนเอาไว้กันแดดกันฝน ส่วนรอบๆ ทั้งสี่ด้านมีเสื่อที่สานจากหญ้าเส้นเล็กเอาไว้กันความร้อน
ยามนี้ทั้งสี่ด้านมีสองด้านที่แสงอาทิตย์ส่องมาไม่ถึง จึงได้ม้วนเสื่อขึ้นมา ทำให้เห็นภาพภายในเรือว่ามีความเรียบง่ายนัก มีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง และมีที่นั่งสองฝั่งที่หันหน้าเข้าหากันโดยมีโต๊ะตัวเล็กกั้นอยู่ตรงกลาง
คนพายเรือเป็นหญิงมีอายุราวสามสีกว่าปี โพกหัวด้วยผ้าสีน้ำเงิน สวมเสื้อหรูตัวสั้นกระโปรงสั้น คาดว่าเพื่อความสะดวกยามขยับตัว ชายกระโปรงยาวถึงแค่ข้อเท้าเท่านั้น การแต่งกายทำให้มองเห็นถึงความเฉลียวฉลาดและเก่งกล้าสามารถ
สตรีผู้นี้ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่เค้าโครงหน้ากลับหมดจดงดงาม เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งมองมาทางตน จึงรีบวางใบพายเรือแล้วก้มตัวลงคำนับหนหนึ่ง กล่าวว่า “บ่าวเฉาอิงเม่ยควารวะคุณชาย ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “นางเป็นสะใภ้ของบุตรชายพ่อบ้านในเรือนรับรอง เป็นคนพื้นถิ่นของทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิแห่งนี้ ทักษะทางน้ำและเรื่องพายเรือล้วนดีทั้งสิ้น”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ข้ากลับไม่ได้รู้สึกเกินคาดที่คนมาพายเรือให้เราเป็นหญิง หากแต่ข้ากำลังคิดว่า นึกว่าทะเลสาบกว้างใหญ่เพียงนี้แล้วจะนั่งเรือลำใหญ่มีหลังคาเสียอีก! ผู้ใดจะนึกว่ากลับเป็นเพียงเรือพายลำเล็กๆ?”
“เรือลำใหญ่มีหลังคาก็มี” เสิ่นจั้งเฟิงบอก “เพียงแต่หากจะดูดอกบัวก็ควรใช้เรือเล็กจะสะดวกกว่า… ที่ที่มีดอกบัวโดยมากแล้วน้ำจะตื้น ปีก่อนมีเรือใหญ่ที่เอาแต่ดูดอกไม้จนขึ้นมาเกยตื้น ยิ่งไปกว่านั้นในที่ที่มีดอกบัวใบบัวขึ้นแน่นเกินไป เรือใหญ่ก็เข้าไปไม่ได้ ครานี้พวกเรานั่งเรือเล็กไปก่อน ภายหลังตอนค่ำจึงค่อยเปลี่ยนเป็นเรือใหญ่ออกมา”
คิดไปแล้วก็ถูก เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นอีกว่าที่ใต้ตลิ่งมีต้นหน่อไม้น้ำ[2]เกิดอยู่บริเวณหนึ่ง เรือเล็กแบบนี้แม้จะไม่ต้องกลัวเกยตื้น หัวเรือแหวกต้นหน่อหน่อไม้น้ำเป็นทางก็เข้ามาถึงฝั่งได้ แต่ที่นี่ก็ไม่มีท่าเรือ จึงว่า “ลงเรือที่นี่รึ?”
“อิ๋งเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นกังวล หากเจ้ารู้สึกว่าขึ้นลงลำบาก สามีจะอุ้มเจ้าลงเรือเอง” เสิ่นจั้งเฟิงขยับเข้าใกล้หูพลางเอ่ยกระเซ้านาง
เว่ยฉางอิ๋งเงื้อพัดวงกลมในมือขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เรื่องนี้มีสิ่งใดยากกัน? ข้าระวังตัวเองสักหน่อยเป็นพอ!”
คนทั้งสองลงเรือไปก่อนหลังไปทีละคน ยามอยู่บนฝั่งเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกอิจฉาความอิสระเสรีของคนที่ลงเรือล่องอยู่กลางทะเลสาบ แต่เพราะนางว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อมาถึงที่ที่มีน้ำล้อมรอบสี่ทิศ เมื่อสัมผัสถึงความสั่นคลอนที่ข้างใต้เท้าก็มีอาการตื่นตระหนกขึ้นมา อดจะไปจับแขนเสื้อเสิ่นจั้งเฟิงเอาไว้แน่นๆ ไม่ได้ ถูกเขาปลุกปลอบอยู่เป็นนานจึงได้กลับมาสงบดังเดิม
ทั้งสองคนประคองกันเข้าไปในส่วนที่มีหลังคา เมื่อนั่งลงดีๆ แล้วก็พบอีกว่าข้างๆ โต๊ะมีกระบุงวางอยู่อันหนึ่ง ภายในใส่ใบบัวเอาไว้ ในตอนที่ตะวันตรงหัวก็ยังไม่ได้เหี่ยวแห้งไป แต่กลับมีหยดน้ำค้างติดอยู่หลายหยด เห็นชัดว่าเพิ่งจะเด็ดมาไม่นาน ตรงกลางวางไหสุรา จอกสุรา และพวกผลไม้เอาไว้ คาดว่าพอเรือเล็กพายก็กลัวว่าหากจัดวางไว้บนโต๊ะก็จะล้มระเนระนาด จึงเอาใส่ไว้ในกระบุง และเพราะกลัวว่าจะชนกันแตกในกระบุงจึงเอาใบบัวมาอุดตรงช่องว่างเอาไว้
ดูจากการตระเตรียมเช่นนี้ เฉาอิงเม่ยผู้นี้ก็เป็นคนละเอียดลออมาก
เสิ่นจั้งเฟิงค่อยๆ หยิบของออกมาทีละชิ้น รินน้ำเฉินเซียงให้ภรรยาจอกหนึ่ง ยิ้มแล้วบอกว่า “อีกสักพักเจ้าแกะเม็ดบัวให้ข้ากินนะ”
“เจ้านี่ช่างวางแผนเหลือ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มต่อว่า “น้ำเฉินเซียงออกจะรินง่ายเพียงนี้ แต่เม็ดบัวกลับแกะยากนัก เจ้าเอาเรื่องนี้มาแลกกับข้า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะต่อคำ เฉาอิงเม่ยที่อยู่ท้ายเรือร้องถามผ่านเสื่อซึ่งอยู่ห่างจากท้ายเรือระยะหนึ่งมาว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อย ไปที่ฝูหรงโจวหรือไม่เจ้าคะ”
เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “ไม่ผิด” แล้วถามนางว่า “ยามนี้ร้านสุราบ้านเจี่ยที่ฝูหรงโจวจะเปิดหรือไม่?”
เฉาอิงเม่ยยิ้มแล้วว่า “เดิมที่ระยะนี้คนน้อย ลุงเจี่ยก็ปิดร้านแอบขี้เกียจ แต่พอได้ยินว่าคุณชายจะพาฮูหยินน้อยมา วันนี้จึงเปิดร้านเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” จากนั้นจึงว่า “ตั้งแต่เช้าวันนี้ พี่เจี่ยและพี่สะใภ้เจี่ยออกไปวางแหทางเหนือแล้ว บอกว่าฮูหยินน้อยมาที่นี่คราแรก ก็จะต้องทำให้สุดฝีมือจึงจะได้เจ้าค่ะ”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “เจ้ามีลาภปากแล้ว ลุงเจี่ยเป็นที่หนึ่งของทั้งนอกและในเมืองหลวงในเรื่องทำอาหารสดจากของในทะเลสาบเชียว ยามปกตินั้นในร้านสุราของเขาจะมี่เพียงหัวปลา น้ำแกงปลาและขนมแป้งนึ่ง สามอย่างนี้เท่านั้น ที่บอกว่าจะทำให้สุดฝีมือก็หมายความว่าของที่ออกมาจากทะเลสาบนั้นไม่มีสิ่งใดที่เขาปรุงออกมาไม่ได้”
เว่ยฉางอิ๋งมีชาติกำเนิดที่สูงศักดิ์ แม้จะไม่ถึงกับดูแคลนในวิถีของชาวบ้าน ทว่าก็ไม่ได้ให้ความสำคัญนัก เดิมทีได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงสอบถามถึงร้านสุราบ้านเจี่ยที่ฝูหรงโจวเป็นพิเศษ ยังนึกว่าที่นั่นมีร้านสุราอยู่เพียงร้านเดียว จึงกังวลว่าหากปิดเสียแล้วก็จะไม่มีที่ให้ไป ไม่คิดว่าเขากลับชื่นชมฝีมือของลุงเจี่ยผู้นี้ยิ่ง นางคิดว่าสามีและตนเองมีชาติกำเนิดที่ทัดเทียมกัน ในเมื่อเขาให้ความสำคัญกับฝีมือของลุงเจี่ยผู้นี้ คาดว่าฝีมือก็คงจะไม่เลวร้ายสักเท่าใด
จึงยิ้มแล้วว่า “มิใช่รึ? เจ้าดูสิ เจ้าพลอยได้อานิสงส์จากข้าไปด้วย”
เสิ่นจั้งเฟิงอึ้ง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา บอกว่า “ใช่ๆๆ ข้าพลอยได้อานิสงส์จากเจ้าไปด้วย”
เฉาอิงเม่ยเปลี่ยนใบพายที่ท้ายเรือ ได้ยินเสียงพวกเขาหัวร่อต่อกระซิกันผ่านเสื่อหญ้ากั้นก็อดจะเม้นปากยิ้มไม่ได้ คิดในใจว่าฮูหยินน้อยนี่เป็นคนสนุกสนานจริงๆ นี่มีกันเพียงสองคน แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังไปทั่วทะเลสาบแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวก็ยังอารมณ์ดีได้เพียงนี้ อารมณ์ดีเสียจนรีบมาจากเมืองหลวงโดยไม่หวั่นกลัวต่อความลำบากยุ่งยาก เพื่อได้มาค้างหนึ่งคืน… เมื่อคิดถึงอากาศในฤดูกาลเช่นนี้… นางก็พลันหัวเราะโพล่งออกมา ลอบคิดในใจว่า “สักพักเมื่อเข้าไปใกล้ฝูหรงโจว แล้วได้เจอคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะเพียงนั้น ก็ไม่รู้ว่าฮูหยินน้อยผู้นี้จะจัดการอย่างไร?”
___________________________________
[1] แก้วเย่กวง เป็นแก้วทรงสูงเหมือนแก้วไวน์ ทำจากหยกที่เจียรนัยออกมาเป็นทรงแก้ว
[2] หน่อไม้น้ำ มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า ผักกาเป๊ก เป็นส่วนของแกนกลางอ่อนของต้นหญ้า ทานแล้วคล้ายหน่อไม้ หรือยอดมะพร้าว