ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 78 กู้หน่ายเจิงที่แสนน่ากลัว
เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งล้วนงงงัน แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเรา?”
หลังจากเว่ยฉางอิ๋งงงงัน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก พลันนึกถึงหญิงเก็บบัวกลุ่มนั้นขึ้นมา…
ทว่ากู้หน่ายเจิงกลับเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูด พร้อมทำหน้าตายากเกินคาดเดา ท่าทีเช่นนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งที่ไม่เข้าใจนิสัยใจคอของเขายิ่งรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ จนแทบอดรนทนไม่ไหวและอยากจะเอ่ยถามขึ้นมา ดีที่ฮั่วเจ้าอวี้ใจดี เขาจึงยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน แล้วอธิบายว่า “น้องย้าวเหยี่ยและน้องสะใภ้อย่าได้ไปฟังจื่อเลี่ยพูดจาส่งเดช ความจริงแล้วสองสามวันมานี้พวกเราบังเอิญมาอยู่ริมทะเลสาบเพื่อมาหลบร้อน เช้าวันนี้เห็นร้านสุราบ้านเจี่ยออกไปจับปลางมกุ้งที่ริมทะเลสาบ จึงนึกว่าหรือปีนี้ร้านสุราจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่มาเปิดตามปกติในฤดูร้อนด้วย เมื่อคิดถึงฝีมือปรุงอาหารของลุงเจี่ย จึงได้มาลิ้มลองดูเป็นการพิเศษ ไม่คิดว่าพอมาถึงแล้วจึงได้รู้ว่าอาหารที่ลุงเจี่ยตระเตรียมเอาไว้ทั้งหมดกลับเตรียมไว้เพื่อทั้งสองท่าน หาได้เปิดให้คนทั่วไปไม่”
กู้หน่ายเจิงได้ยินคำจึงถอนหายใจหนหนึ่ง แล้วเอ่ยกับฮั่วเฉินยวนว่า “ข้าบอกแล้วว่าออกมาพร้อมกับเจ้าและพี่ชายที่เป็นคนเถรตรงเช่นนี้จะต้องแอบอ้างหาของกินได้ยากแน่ๆ”
ฮั่วเฉินยวนยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย มิได้พูดสิ่งใด ดูไปแล้วใบหน้าของเขาเงียบงัน เขาจะต้องเป็นคนที่ไม่ชอบพูดจาอยู่แล้วแน่ๆ
แต่เสิ่นจั้งเฟิงสามีภรรยาเข้าใจเจตนาของพวกเขาแล้ว… เดิมทีอยากจะมาทานอาหารสักมื้อที่ร้านสุราบ้านเจี่ย คิดไม่ถึงว่าคนบ้านเจี่ยไปจับปลามาเพื่อต้อนรับเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเท่านั้น มิได้เตรียมส่วนของผู้อื่นเอาไว้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงได้รออยู่ที่นี่ เพราะตั้งใจมาทานอาหารโดยไม่ต้องเสียเงินโดยเฉพาะ…
ในคนกลุ่มนี้กู้หน่ายเจิงเป็นคนที่หน้าหนาสักหน่อย เขาไม่เพียงคิดจะมาทานอาหารด้วย ยังคิดจะตัดไม้ข่มนามโดยการกล่าวโทษเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋ง เพื่อบีบให้พวกเขาเป็นคนออกปากเชิญตนเอง ไม่แน่ว่ากู้หน่ายเจิงยังคิดแสร้งทำบอกปัดสักหนสองหน แล้วจึงตกปากรับคำอย่างฝืนอกฝืนใจและได้หน้าได้ตาอย่างยิ่ง
ทว่าฮั่วเจ้าอวี้กลับมีน้ำใจดีงามนัก ในเมื่อคิดจะมาทานอาหารด้วย จึงแสดงเจตนาออกมาตรงๆ เสียเลย…
เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องที่ตกใจไปเอง เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะนิ่งเงียบอยู่เป็นนานไม่ได้… ยามนี้ก็พูดจากันถึงเพียงนี้แล้ว แม้เสิ่นจั้งเฟิงคิดอยากจะอยู่เพียงลำพังกับภรรยา แล้วจะยังปฏิเสธได้หรือ? จึงทำได้แต่เพียงเอ่ยปากเชื้อเชิญตามความต้องการของพวกเขา
พี่น้องตระกูลฮั่วเป็นคนที่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร ทั้งยังสุภาพชนยิ่ง หลังจากตอบตกลงไปอย่างขัดๆ เขินๆ จึงเสนอความคิดว่า “ในเมื่อยามนี้น้องย้าวเหยี่ยพาน้องสะใภ้มา คาดว่าคงจะชอบความสงบ พวกข้าเองนั่งเรือมาที่นี่จึงเพิ่งได้รู้ว่าร้านสุราบ้านเจี่ยหาได้เปิดไม่ บนเรือจึงมิได้นำเครื่องดื่มและอาหารต่างๆ มาด้วย ยามนี้จึงหิวกระหายเป็นนักหนา จนต้องมารบกวนน้องย้าวเหยี่ยและน้องสะใภ้ ยามนี้เพียงขอให้ทั้งสองท่านแบ่งปันอาหารเล็กน้อย พวกเราจะลงไปชั้นล่าง ทานเรื่อยเปื่อยสักน้อยเป็นพอแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ คิดในใจว่าอากาศร้อนปานนี้ ทั้งสามคนเร่งมุ่งหน้ามาเพราะฝีมือปรุงอาหารของร้านสุราบ้านเจี่ย พายเรือมาครึ่งค่อนวัน เมื่อมาถึงแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าที่นี่ไม่ได้รับรองพวกเขา ร้านสุราอื่นๆ ในแถบนี้ก็ไม่เปิด แล้วจะให้พายเรือกลับไปทั้งท้องหิว แม้มิใช่พวกเขาพายเองก็ตาม ก็ยังดูน่าสงสารเกินไป
ก็เพียงแค่ปันอาหารเล็กน้อยให้ และไม่ได้มารบกวนความเป็นส่วนตัวของทั้งสองคน รอยยิ้มของเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะเผยออกมา…แต่ว่า ช้าก่อน!
พัดของคุณชายกู้ กู้หน่ายเจิงโบกไปอย่างรวดเร็ว และไปตบที่ไหล่ของฮั่วเจ้าอวี้อย่างแรงโดยไม่ตั้งใจ แม้ดูไปแล้วฮั่วเจ้าอวี้ก็ดูเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ แต่เมื่อถูกเขาตบไปเช่นนี้ก็ยังอดจะสั่นคลอนไปน้อยๆ หนหนึ่งไม่ได้ กระทั่งเรือใหญ่ทั้งลำก็ยังโยกน้อยๆ ไปด้วย
กู้หน่ายเจิงพูดเสียงกังวานดังระฆังทั้งน้ำลายแตกฟองว่า “ลงไปทานชั้นล่าง? น้องเจียย้าวก็ไม่ดูเสียบ้างว่าเสื้อสีน้ำเงินของเจ้าเปลี่ยนไปอย่างไรแล้ว? อาหารร้อนเพียงนี้ ลุงจั้งเตรียมน้ำแข็งเอาไว้ในห้องส่วนตัวเพียงห้องเดียว หากพวกเราไม่เข้าไปแล้วจะทานอาหารกันอย่างไร?”
แล้วหันหน้ามาพยักหน้าให้เว่ยฉางอิ๋ง แล้วกล่าวอย่างหน้าไม่อายที่สุดหน้าหนาที่สุดไร้ยางอายที่สุดว่า “น้องสะใภ้ก็หาใช่คนอื่นคนไกล ย่อมไม่ถือสาพวกเราอยู่แล้ว…น้องสะใภ้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
มองดูรอยยิ้มแสนชื่นบานของเขา เว่ยฉางอิ๋งลอบกระอักเลือดในใจ ‘เจ้าก็ว่ามาดังนี้แล้ว แล้วข้าจะยังบอกว่า ไม่ ได้หรือ?!’
ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงลดรอยยิ้มเต็มอกเต็มใจลงครึ่งหนึ่งกลายเป็นรอยยิ้มเสแสร้งเพื่อต้อนรับแขกเหรื่ออย่างกระตือรือร้น “ท่านพี่กล่าวถูกต้องนักเจ้าคะ”
ฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนพลันมีสีหน้าจนใจทั้งอับยายยิ่ง รีบย้ำแล้วย้ำอีกว่า “ไม่ได้ๆ วันนี้มาแย่งข้าวปลาอาหารของท่านสองคนก็นับว่าเสียมารยาทยิ่งแล้ว ยังจะกล้ารบกวนทั้งสองท่านได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูดต่อ กู้หน่ายเจิงกลับพูดออกมาอย่างได้ใจหนักหนาว่า “ที่น้องฮั่วเสียนทั้งสองพูดมาไม่ถูกแล้ว น้องสะใภ้ล้วนเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเราเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวแล้ว ยามนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าว แล้วทั้งสองท่านไยต้องทำให้ตนเองลำบากด้วย? อย่างไรพวกเราก็ได้พบกับน้องสะใภ้เว่ยเป็นครั้งแรก วันนี้นับว่าไม่บังเอิญเลยจริงๆ หากมิได้มีพิธีพบหน้ากับน้องสะใภ้สักเล็กน้อยก็ยังแล้วไป หรือว่ายังจะไม่ให้เกียรติน้องสะใภ้อีก?”
“…” มือที่อยู่ในแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋งกำหมัดแน่น แน่นแล้วแน่นอีก นางพลันรู้สึกว่าอยากจะตีคนผู้นี้เสียจริงๆ!
เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเองก็ปวดเศียรเวียนเกล้ากับกู้หน่ายเจิงผู้นี้อย่างยิ่ง นิ้วหัวแม่มือของมือที่กุมมือเว่ยฉางอิ๋งอยู่ไล้ไปบนหลังมือนางเป็นทีปลอบโยน ยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “อย่างไรก็เชิญทั้งสามท่านขึ้นไปด้วยกันเถิดขอรับ ตรงนี้ร้อนอบอ้าวจริงๆ”
…ความจริงแล้วนี่ก็คือสาเหตุสำคัญว่าเหตุใดร้านสุราในฝูหรงโจวจึงปิดในช่วงฤดูร้อน แรกเริ่มที่เลือกเอาที่นี่เพราะมีน้ำตื่น คลื่นลมไม่มาก ดังนั้นจึงสามารถทำให้เรือใหญ่มีหลังคามาเป็นร้านสุรา ทำโป๊ะสะพานต่อกัน และให้ผู้มาท่องเที่ยวเข้ามาใช้ได้
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่อากาศไม่ร้อนอบอ้าว หากไม่มีลมกลับไม่เป็นไร ทว่าในฤดูร้อนที่อากาศร้อน ที่ตรงนี้จะไม่มีลม เมื่อตะวันตรงหัว เพียงคิดก็รู้แล้วว่าที่ตรงนี้จะร้อนเพียงใด แม้จะสามารถขนส่งน้ำแข็งเข้ามาได้ แต่เมื่ออยู่ภายในห้องเย็นอากาศก็ยังไม่ถ่ายเท แล้วผู้ท่องเที่ยวจะอดทนมาทานอาหารที่นี่ได้อย่างไร? ก็มิน่าเล่าเสื้อเผาซานของฮั่วเจ้าอวี้จึงเปียกปอนไปหมดยามเขารออยู่ในเรือ
เมื่อมาถึงชั้นสองของเรือ เห็นเพียงว่าที่นี่ล้วนกั้นเป็นห้องส่วนตัว เมื่อเพียงทางเดินแคบๆ ตรงกลางและอับทึบยิ่งนัก แต่สะใภ้ของลุงเจี่ยนำทางไปยังห้องที่อยู่ตรงกลางห้องหนึ่ง เมื่อเปิดประตู ภายในพลันมีแสงอาทิตย์จากภายนอกส่องออกมา นางตั้งใจเลือกห้องฝั่งที่หลบแสงแดดฝั่งนี้ให้ ภายในมีโต๊ะเตี้ยตัวยาว รอบๆ มีที่นั่งหกที่ ทั้งยังมีพื้นที่ว่างเอาไว้ให้คนดูแลยืนปรนนิบัติและเดินไปมาได้… หน้าต่างมีแผ่นกระจกฝังติดเอาไว้จึงทำให้โปรงแสง ทั้งยังสามารถกั้นอากาศเย็นหลังจากนำน้ำแข็งมาวางไว้ไม่ให้กระจายออกไปได้ด้วย
เพราะเรือใหญ่ที่นำมาไว้ที่นี่ไม่อาจเคลื่อนไปไหนได้ คนบ้านเจี่ยเองจึงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ทุกวัน ดังนั้นในห้องส่วนตัวจึงมิได้จัดวางของประดับตกแต่งอื่นๆ มีเพียงชั้นหนังสือวางอยู่ที่มุมหนึ่งเท่านั้น ซึ่งชั้นหนังสือทั้งสี่มุมล่างล้วนยึดติดไว้กับพื้นเรือ บนชั้นจัดวางชุดเครื่องเขียนทั้งสี่เอาไว้ คิดไปก็คงไม่ใช่พู่กันและหมึกที่ดีแต่อย่างใด เพราะเพียงแค่จัดเตรียมเอาไว้ เมื่อแขกที่มาเกิดความสนใจจะได้จดบันทึกแรงบันดาลใจที่ได้รับเอาไว้เท่านั้น
เสิ่นจั้งเฟิงและกู้หน่ายเจิงต่างเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งก่อน… แต่ครานี้กู้หน่ายเจิงกลับยืนกรานอย่างเกรงใจให้เสิ่นจั้งเฟิงสามีภรรยาเข้าไปนั่งในที่นั่งหลัก เว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าหลังจากทำทีตามมารยาทกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว เจ้าหมอนี่ก็จะปรี่เข้าไปนั่งในที่นั่งหลักอย่างเปรมปรีดา จากนั้นก็เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้ามือ จากนั้นก็ร้องสั่งบ่าวไพร่ทำนั่นทำนี่ จากนั้นก็กินอาหารที่ลุงเจี่ยยกมาจนเกลี้ยง…
เอ่อ… ที่นางคิดถึงว่ากู้หน่ายเจิงจะกินอาหารที่ลุงเจี่ยทำออกมาจนเกลี้ยงเช่นนี้ ดูท่าว่าตนเองคงจะหิวแล้วเช่นกัน
ในขณะนางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง สะใภ้ของลุงเจี่ยและสามีของนางก็ยกหีบน้ำแข็งเข้ามา แล้ววางเอาไว้ใกล้ๆ เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋ง… เสิ่นจั้งเฟิงย่อมต้องให้พวกเขาหันหีบน้ำแข็งไปทางกู้หน่ายเจิงสักหน่อยเพราะเวลานี้เขาดูร้อนเสียเหลือหลาย ครานี้กู้หน่ายเจิงก็กลับปฏิเสธเสีย ซึ่งผิดกับที่เว่ยฉางอิ๋งคาดการณ์เอาไว้มาก
เว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าคนผู้นี้ไม่รู้จักขอบเขต แต่เขากลับมิใช่คนที่ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ ทว่าไม่คิดว่ากู้หน่ายเจิงจะกล่าวต่อไปว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมหีบน้ำแข็งแค่หีบด้วย ข้ากลับรู้สึกว่าอีกหีบหนึ่งใหญ่กว่านี้สักหน่อย เอาหีบนั้นวางที่พวกเราตรงนี้ หีบนั้นให้พวกเจ้าใช้ก็พอ”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง
ส่วนคนอื่นต่างก็รู้ถึงความประหลาดของกู้หน่ายเจิงอยู่แล้ว จึงพากันไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี… เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมแห้งๆ ว่า “เจี่ยเสี่ยวเกอ ทำตามคำพี่จื่อเลี่ยเถิด”
ฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนสองพี่น้องมีท่าทีลำบากใจอย่างยิ่ง มองดูสีหน้าของพวกเขาก็รู้แล้วว่าพวกเขาสำนึกเสียใจเพียงใดที่มากับกู้หน่ายเจิงในวันนี้
จากนั้นบุตรชายและสะใภ้ของลุงเจี่ยก็ยกหีบน้ำแข็งที่ใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อยเข้ามา และวางไว้ข้างๆ กู้หน่ายเจิง… ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่ขี้ร้อนเป็นที่สุดจริงๆ หรือว่าควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ จึงถึงกับไม่ห่วงหน้าตาแล้วขยับที่นั่งเข้าไปติดหีบน้ำแข็งและเข้าไปโอบกอดหีบน้ำแข็งเอาไว้ด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม แล้วอุทานชมว่า “ที่สุดก็ได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋ง “…”
ฮั่วเจ้าอวี้สูดหายใจลึกๆ หนหนึ่ง แล้วยกจอกหันไปทางเสิ่นจั้งเฟิง ฝืนยิ้มกล่าวว่า “น้องย้าวเหยี่ย วันนี้รบกวนแล้ว ล่วงเกินแล้วจริงๆ ก่อนอื่นขอใช้ชานี้แทนสุรา ขอขมาฮูหยินด้วย หากฮูหยินอยากจะพักค้างที่ริมทะเลสาบสักระยะ วันหลังโปรดไปที่บ้านของข้าสักหน ให้พวกข้าได้จัดเลี้ยงขอขมา”
เว่ยฉางอิ๋งพูดในใจว่า ‘เมื่อครู่นี้ก็บอกแล้วว่าพวกเจ้าสามคนเห็นว่าคนบ้านเจี่ยออกไปจับปลา คาดว่ากู้หน่ายเจิงผู้นี้คงจะไปเป็นแขกที่เรือนรับรองบ้านฮั่วของพวกเจ้า มีเจ้าคนประหลาดนี่อยู่ด้วย งานเลี้ยงขอขมาของเจ้านั่นคงน่ากินหรอก!’
คาดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเองก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เขาจึงบอกปัดไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่เจียย้าวคิดมากเกินไปแล้ว ก็เพียงอาหารมือหนึ่งเท่านั้น จักต้องมาขอขมาที่ใดกัน? หากนับไปแล้วข้ากลับควรไปคารวะที่จวน เพียงแต่บังเอิญเหลือ วันหยุดของจั้งเฟิงมีเพียงสองวันเท่านั้น ครานี้ข้าขอลาท่านแม่มาได้เพียงสองวัน วันพรุ่งก็ต้องกลับไปเมืองหลวงแล้ว จึงกลับไม่ว่างไปเสียแล้ว”
“เช่นนั้นก็คราหน้า…” ฮั่วเจ้าอวี้และเสิ่นจั้งเฟิงสนทนาปราศรัยกันไปมาเจ้าคำหนึ่งข้าคำหนึ่ง จึงพอทำให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดจนเกินไป ยามนี้เมื่อประตูห้องส่วนตัวเปิดออก กลับเป็นสะใภ้ของลุงเจี่ยยกถาดไม้อูมู่ที่มีชามกระเบื้องขนาดพอปลูกต้นบัวได้ชามหนึ่งเข้ามา ภายในร้อนระอุ กลิ่นหอมหวนเตะจมูก …เพียงแค่ได้กลิ่น เว่ยฉางอิ๋งก็นึกชมอยู่ในใจแล้ว นางเป็นคนที่โปรดปรานเรื่องอาหารการกินมาแต่ไร คนที่ดูแลรับใช้เรื่องอาหารการกินให้นาง มีผู้ใดที่ไม่พิถีพิถันเรื่องของรูปลักษณ์กลิ่นรสของอาหาร อาหารในชามนี้มีความหอมหวนสดใหม่อย่างเด่นชัด ชวนให้คนน้ำลายไหลจริงๆ… มิน่าเล่ากู้หน่ายเจิง ฮั่วเจ้าอวี้ ฮั่วเฉินยวนซึ่งล้วนเป็นบุตรหลานตระกูลมีชื่อ ที่แม้ว่าในเรือนรับรองจะไม่มีทางขาดพ่อครัวแม่ครัว ในวันที่อากาศร้อนออกเพียงนี้ แต่กลับยังวิ่งมาถึงที่นี่
ชามกระเบื้องถูกนำมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง กลับเห็นว่าน้ำแกงภายในชามกระเบื้องสีเขียวอ่อนผลบ๊วยเขียวเป็นปาหลีฮื้อคู่ลำตัวเชื่อมต่อกันนั้น มีสีขาวเหมือนนม มีหัวปลาที่จมครึ่งลอยอยู่หัวหนึ่ง ข้างบนมีต้นหอมม้วนเป็นดอกไม้ ขิงหั่นฝอย หน่อไม้แห้งตุ๋นเป็นต้น ทั้งอาหารและกรรมวิธีการปรุงล้วนดูแล้วธรรมดานัก แต่กลิ่นหอมเตะจมูกนั่นยั่วให้คนอยากเอาตะเกียบคีบมากิน
เสิ่นจั้งเฟิงยังมิทันได้เอ่ยปากเชิญ กู้หน่ายเจิงที่ก่อนหน้านี้ยังกอดหีบน้ำแข็งเอาไว้แน่นก็พลันกลับมาสู่โลกมนุษย์ ไม่รู้ว่ากระโดดพรึบกลับมาอยู่ข้างโต๊ะตั้งแต่เมื่อใด เขรจับจ้องไปที่หัวปลาด้วยสองตาแวววาว… ดูท่าทางเช่นนี้ของเขา อีกประเดี๋ยวไปคว้าเอาหัวปลาขึ้นมาแทะในทันใดเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ประหลาดใจเลย
“สุราชิงเฉวียน สุราชิงเฉวียนแช่เย็นเล่า?” กู้หน่ายเจิงจ้องหัวปลานั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูท่าเหมือนน้ำลายจะหยดออกมาสามฉื่อเช่นนั้น เอ่ยถามเชิงตำหนิเสียงดังลั่นในขณะที่แม้แต้หัวก็ยังไม่ยกขึ้นมา “หัวปลาสกุลเจี่ยนี้แต่ไรมาต้องกินคู่กับสุราชิงเฉวียนแช่เย็นจึงจะดีที่สุด… สะใภ้บ้านเจี่ย หัวปลายกมาแล้ว สุราอยู่ที่ใดเล่า?”
“สุรามาแล้ว” คนที่ตอบมากลับเป็นบุตรชายของลุงเจี่ย เจี่ยเสี่ยวเกอ เขราร้องตะโกนขึ้นมาพลางยกไหสุราเข้ามาด้วย ข้างนอกไหมีไอสีขาวพวยพุ่งเป็นสายออกมา เห็นชัดว่าเมื่อครู่นี้แช่งอยู่ในน้ำแข็งมาโดยตลอด
เมื่อมองเห็นสุรานี้ กู้หน่ายเจิงจึงได้พึงพอใจ ปากก็ยังคงกล่าวโทษว่า “ไยจึงมีแค่ไหเดียว? มีเพียงเล็กน้อยเท่านี้จะดื่มพอได้อย่างไร?”
ฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนพากันมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งที่ตอนนี้มีสีหน้าแปลกประหลาดจนเกินบรรยาย แล้วปาดเหงื่อที่ไหลจนเต็มหัว ฝืนยิ้มแล้วว่า “วันนี้พวกเราพี่น้องไม่อยากดื่มสุรา เช่นนั้นไหนี้ก็คงจะพอแล้วขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งขบฟันกล่าวว่า “ข้าเป็นหญิง ก็ไม่ควรดื่มเช่นกัน สุรานี้ให้ท่านและท่านพี่ดื่มเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้แม้นางจะถูกหัวปลานี้ดึงดูดให้เกิดความสนใจจะดื่มสักจอกสองจอก แต่ยามนี้ก็ถูกกู้หน่ายเจิงทำลายความอยากไปจนสิ้นแล้ว…
เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมแห้งๆ ไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “จั้งเฟิงก็ไม่ใคร่ชอบสุราชิงเฉวียนนี้เท่าใด… พี่จื่อเลี่ยดื่มตามสบายเถิดขอรับ”
กู้หน่ายเจิงจึงได้หน้าชื่นตาบาน แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “สุราดีเพียงนี้ หากพวกเจ้าล้วนไม่ดื่มกัน แล้วจะดีหรือ? เสียของจริงๆ เสียของจริงเชียว!” จากนั้นจึงเอ่ยอย่างยินดีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” พูดจบก็ไม่ต้องใช้จอกสุรา เปิดจุกปิดฝา แล้วเงยคอยกขึ้นดื่ม… หลังจากดื่มอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว ก็เอาแขนเสื้อเช็ดคราบสุราที่มุมปากอย่างลวกๆ ยามเขาสะบัดมือก็มีหยดสุรากระเด็นมาถึงตรงหน้าเว่ยฉางอิ๋ง แต่กู้หน่ายเจิงกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาแต่อย่างใด… ซึ่งคาดว่าต่อให้เขารู้สึกตัวก็คงจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ จากนั้นก็หัวเราะเสียงกังวานออกมาว่า “สุราดี สุราดี! น่าเสียดายนะ น่าเสียดาย ที่พวกเจ้าล้วนไม่ดื่มกัน!”
… สามีข้าเพียงพอว่าไม่ใคร่ชอบดื่มสุราชิงเฉวียนนี้ มิได้บอกว่าไม่ดื่มสักหน่อยเข้าใจหรือไม่!!!
เว่ยฉางอิ๋งมองหัวปลาที่อยู่ตรงหน้า ความอยากอาหารพลันหายวับไปทันใด… ยามนี้นางเพียงอยากจะยกหัวปลาชามนี้ราดบนไปหัวกู้หน่ายเจิง!
ตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงก็เป็นตระกูลเลื่องชื่อมานับร้อยปีแล้ว เหตุใดจึงมีบุตรหลานนอกคอกเพียงนี้นะ~~~~!!
_________________________________