ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 80 ยังมีอีกผู้หนึ่ง
….จนที่สุด เรือของพวกของกู้หน่ายเจิงก็ยังหาไม่พบ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จนปัญญา เพราะฝูหรงโจวในกลางฤดูร้อนเช่นนี้ มีใบไม้ดอกไม้แน่นขนัดติดต่อกันยาวเหยียดไปถึงปลายฟ้า คลื่นต้นอ้อจำนวนมหาศาลสามารถบดบังฝูหรงโจวที่มีพื้นที่เพียงเท่านี้จนมิดแม้แต่ลมก็ยังผ่านไปไม่ได้!
สถานที่เช่นนี้หากจะซุกซ่อนเรือเล็กสักสามลำก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายไปกว่านี้ไม่มีแล้ว หากไม่ถึงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวที่น้ำจะลดลง ถ้าอยากจะหาเรือจนพบ คงไม่มีทางอื่นนอกเสียจากบังเอิญไปพบเข้าเท่านั้น เมื่อเจี่ยเสี่ยวเกอและภรรยารู้ข่าวก็รีบมาและต่างพายเรือเล็กออกไปตามหาที่บริเวณใกล้ๆ เป็นวงใหญ่ก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ กลับเป็นเรือนรับรองบ้านเสิ่นเสียอีก เพราะก่อนหน้านี้เสิ่นจั้งเฟิงบอกกับพวกเขาไว้ดิบดีว่าเมื่อทานอาหารที่ร้านสุราบ้านเจี๋ยในฝูหรงโจวเสร็จแล้วก็จะกลับไป พอถึงเวลากลับไม่กลับมาเสียที จึงส่งเรืออีกลำมาสอบถาม
เช่นนี้จึงมีเรือพาพวกของกู้หน่ายเจิงทั้งสามคนส่งกลับไปพอดี… ซึ่งแน่นอนว่าพวกเด็กรับใช้ของพวกเขาไม่สามารถขึ้นไปด้วยได้ ทำได้เพียงให้เรือบ้านเจี่ยไปส่งเท่านั้น
วุ่นวายกันอยู่เช่นนี้ เมื่อกลับไปถึงเรือนรับรองก็ใกล้จะเย็นแล้ว
แม้จะบอกว่าบริเวณที่เลือกสร้างเป็นเรือนรับรองแห่งนี้เงียบสงบและสวยงาม แต่ข้างหน้าเรือนก็ยังเป็นฝั่งทะเลสาบซึ่งสร้างท่าเอาไว้ผูกเรือ ทั้งยังปลูกต้นฮวายสูงใหญ่เอาไว้ให้ร่มเงา คาดว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ พืชตามริมฝั่งทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิแห่งนี้คงจะกำลังผลิดอกแตกใบไปทุกที่ มีดอกฮวายฮวาบานสะพรั่ง ไม่ว่าจะมองดูอย่างไรก็คงเป็นทัศนียภาพที่งดงามจนทำให้คนเคลิบเคลิ้ม
ภายในเรือนรับรองก็ยังมีดอกไม้ใบไม้สีสลับแดงเขียวที่บรรจงจัดแต่งอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เพราะได้พบกับพวกหญิงเก็บบัวและกู้หน่ายเจิง เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเข้าไปในเรือนรับรองแล้ว ก็ฝืนพบบ่าวไพร่สักพัก เมื่อฟุบตัวลงบนตั่งนอน แม้แต่ถึงเวลาอาหารค่ำก็ไม่อยากจะลุกขึ้นมาแล้ว
เพียงคิดก็รู้ว่า คำคืนนี้ต้องผ่านไปอย่างรีบรน วันรุ่งขึ้น เพราะกลัวว่าหากลงไปในทะเลสาบก็จะได้พบกับกู้หน่ายเจิงอีก นางจึงไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบใกล้ๆ เรือนรับรองกับเสิ่นจั้งเฟิง …อากาศร้อนอบอ้าว แม้มีลมทะเลสาบ เดินไปไม่ไกลนักก็ยากจะไม่รู้สึกอ่อนล้า
เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกว่า “พวกเราก็กลับกันเถิด? แม้จะบอกท่านแม่แล้วว่ามาสองวัน แต่หากกลับไปช้าก็เกรงว่าท่านแม่จะเป็นห่วง”
เสิ่นจั้งเฟิงก็รู้ว่าทั้งสองคนออกมาหนนี้มีเวลาไม่มาก อีกทั้งวานนี้ยังถูกหญิงเก็บบัวและกู้หน่ายเจิงรบกวนอีก จะให้มีความสำราญในวันนี้ย่อมเป็นเรื่องยาก จึงบอกว่า “วันหลังพวกเราค่อยมาใหม่”
“อืม” เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าที่ออกมาหนนี้เป็นสามีตั้งใจเสนอว่าจะออกมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นเพื่อนตนจึงรู้สึกหวานชื่นอยู่ในใจ คราก่อนที่ถูกรบกวนก็ทำให้ความสำราญบางเบาไปมาก นางจึงขยับเข้าไปเอาหัวซบที่ไหล่ของเขาอยู่เนิ่นนาน ตามองไปยังน้ำในทะเลสาบ เพียงสัมผัสได้ถึงเสียงของต้นไม้ใบหญ้ารอบตัว บทเพลงของนกขมิ้นในกิ่งหลิว เสียงคลื่นทะเลสาบกระทบฝั่ง ความว้าวุ่นทั้งสิ้นพลันห่างออกไปแสนไกล ฟ้าดินใหญ่กว้าง เหลือเพียงสองสามีภรรยา ได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันเต้นอย่างแจ่มชัด… ชั่วขณะนี้แม้จะแอบอิงกันเพียงบางเบา แต่กลับมีความรู้สึกประหนึ่งแนบชิดกันอย่างแนบแน่น
คำกล่าวว่าสามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่ามกลางความคลุมเครือไม่ชัดเจน สามีภรรยาหนุ่มสาวทั้งคู่สามารถสัมผัสได้ถึงความหมายที่แท้จริงในยามนี้แล้ว
…เสิ่นจั้งเฟิงเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผากนางอย่างอ่อนโยน จูบที่ตีนผมนางเบาๆ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ไปกันเถิด”
ตอนไปสำราญเฮฮา กลับมากลับอดจะดูเหนื่อยหนักสักหน่อยไม่ได้ เมื่อคิดถึงเรื่องหญิงเก็บบัว เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวล
โดยเฉพาะหลังจากกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วและต้องมาอยู่ต่อหน้าฮูหยินซู ฮูหยินซูเอ่ยสองสามคำให้เสิ่นจั้งเฟิงกลับไป แล้วสอบถามสะใภ้ตามลำพัง “ดูสีหน้าเจ้าไม่ใคร่สงบนัก คงเพราะออกไปครานี้เกิดเรื่อง?”
เว่ยฉางอิ๋งแอบด่าทอตนเองอยู่ในใจว่าไม่ได้เรื่อง … เหตุใดจึงทำหน้าตาให้แม่สามีมองออกเช่นนี้? ฮูหยินซูก็ถามชัดเจนออกมาแล้ว นางจึงไม่กล้าไม่ตอบ แล้วเล่าเรื่องหญิงเก็บบัวไปอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ เห็นฮูหยินซูยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งไม่น่าดู เสียงก็กดต่ำลงทุกที ตนจึงเตรียมใจฟังคำตำหนิของฮูหยินซู…
นางคิดว่าครานี้ ไม่มาก็น้อยเป็นตนเองที่จัดการเรื่องราวไม่ใคร่เหมาะสม ที่ไม่ได้ไต่สวนฐานะของอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียก่อนก็กลับผลีผลามลงมือ จนบีบให้เสิ่นจั้งเฟิงต้องมาลงมือช่วยตนเก็บกวาด นอกจากจะล่วงเกินองค์รัชทายาทแล้วก็ยังต้องได้ชื่อว่าเป็นคนใจคอคับแคบอีกด้วย จากมุมมองของฮูหยินซูแล้ว คงเห็นว่าสะใภ้ทำให้บุตรชายของตนต้องรับเคราะห์ไปด้วย ดังนั้นหากต้องถูกตำหนิเพราะเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว
ในขณะที่กำลังตระเตรียมคำพูดขอขมา กลับได้ยินฮูหยินซูส่งเสียงหึมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “นังพวกผู้หญิงไร้ยางอาย! สนน้ำหน้าถูกเฟิงเอ๋อร์ทำให้เสียโฉม วันหน้าจะได้ไม่อาจออกมาเกี้ยวพาราสีผู้อื่นได้อีก!”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึงงัน
แล้วได้ยินฮูหยินซูกล่าวอย่างโมโหว่า “ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิเป็นที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เมืองหลวง แต่กลับยังปล่อยให้นังพวกคนไร้ยางอายเยี่ยงนี้มาทำลายได้! คงเพราะก่อนนี้ในฤดูร้อนมีคนไปน้อย จึงไม่เคยมีข่าวเรื่องนี้แพร่ออกมา คราหน้ายามเข้าวัง ข้าจะต้องเอาไปทูลฟ้ององค์ฮองเฮาให้ส่งคนไปจับมาให้หมด ในเมื่อพวกนางชอบยั่วยวนผู้ชายนัก ก็ควรเนรเทศไปสามพันลี้เสียทั้งหมด ให้ไประบายความอยากกับพวกทหารตามชายแดนเป็นดี!”
นางไม่คิดว่าแม่สามีจะไม่ด่าทอตน แต่กลับหันไปไม่พอใจหญิงเก็บบัวแทน
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าควรจะโล่งอกดีหรือไม่ … แล้วคราวนี้ฮูหยินซูกลับหันมาต่อว่านางด้วย “ได้ยินมาว่าเจ้าฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก ยามอยู่ที่เฟิ่งโจวก็มิใช่เคยสังหารพวกคนร้ายมาก่อน! เหตุใดยามนี้ออกเรือนแล้วกลับยิ่งดูขี้ขลาดเข้าไปทุกที? เฟิงเอ๋อร์สามารถทำร้ายหญิงเหล่านั้นได้ในกระบวนท่าเดียว คิดว่าคงมิใช่ยอดฝีมืออันใด เจ้าก็รับมือได้มิใช่หรือ? แต่กลับปล่อยให้เฟิงเอ๋อร์ไปลงมือเอง! แล้วไยเจ้าไม่ลงมือแทนเขา?”
ฮูหยินซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเดือดดาล “พวกชั้นต่ำชั่วช้าอันใดกัน กล้ามาหวังในตัวเฟิงเอ๋อร์ของข้า! ไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าพวกนางคู่ควรหรือไม่?”
ฮูหยินซูถึงกับโกรธเคืองเพียงนี้ นอกจากด่าทอพฤติกรรมไร้ยางอายของหญิงเก็บบัวแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าบุตรชายของตนถูกล่วงเกินลบหลู่ด้วย… เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวังว่า “สะใภ้ได้ยินคนหนึ่งในนั้นบอกว่าพวกนางเป็นอนุขององค์รัชทายาทเจ้าค่ะ”
สีหน้าของฮูหยินซูยิ่งไม่น่าดูเสียยิ่งกว่าเก่า เว่ยฉางอิ๋งเห็นแล้วใจสั่น คำพูดที่เอ่ยไปตอนท้ายนี้ นางพูดไปอย่างติดๆ ขัดๆ ไปหน่อย คาดว่าแม่สามีอาจฟังไม่ชัดเจน
“อนุขององค์รัชทายาท?” ฮูหยินซูขมวดคิ้ว เว่ยฉางอิ๋งนึกว่าตนจะถูกต่อว่าต่อไปอีก เพราะเรื่องจริงก็เป็นดังนี้ แต่ฮูหยินซูกลับมิได้ต่อว่าเรื่องนำความเดือดร้อนมาในเรือนเหมือนอย่างที่นางคาดไว้ หากแต่พูดเสียงหนักว่า “โง่เง่า! ในเมื่อรู้ว่าเป็นอนุขององค์รัชทายาท นั่นยิ่งไม่อาจใจดีออมมือให้แล้ว! เจ้ายังถึงกับขี้ขลาดไม่เข้าไปจัดการ?!”
เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าไม่เข้าใจ ฮูหยินซูลอบถอนหายใจ สะใภ้ผู้นี้เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาไม่ถึงสามเดือน อายุก็ยังน้อยจึงใคร่ครวญเรื่องต่างๆ ได้ไม่รอบคอบ …ทว่าเมื่อนึกย้อนกลับมา นางหลิวและนางตวนมู่ที่ล้วนได้รับคำชมเชยจากทั้งในและนอกบ้านว่ามีความสามารถทั้งยังคล่องแคล่วในยามนี้ แต่ก่อนก็มิใช่ว่าเคยงงๆ คลำทางไม่ถูกเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน?
เมื่อมาถึงสะใภ้สามผู้นี้ ฮูหยินซูจึงทำได้เพียงสอนสั่งต่อไปเท่านั้น นางสูดหายใจลึกหนหนึ่ง อธิบายว่า “เฟิงเอ๋อร์ได้รับความสำคัญอย่างมาภายในตระกูล ประเด็นนี้คิดว่าเจ้าเองก็คงรู้ดี …หรือต่อให้เจ้าไม่รู้ ก่อนออกเรือนมาผู้ใหญ่ที่บ้านเจ้าก็คงเคยบอกเจ้ามาก่อนกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า
“เรื่องที่หลิวซีสวินซึ่งเป็นคนตระกูลหลิวบ่มเพาะมาอย่างหนัก ถูกคนในตระกูลวางแผนจัดการเมื่อปีก่อน เจ้าก็คงเคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน” ฮูหยินซูกล่าวเสียงหนัก “มีคนวางแผนจัดการหลิวซีสวิน เฟิงเอ๋อร์หรือจะไม่มี?”
“หา!” เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง กลาว่า “หรือว่า… หรือว่าหญิงเก็บบัวเหล่านั้นจงใจขวางสะใภ้และสามีเพื่อยั่วยุให้เกิดเรื่อง?” นางยังสงสัยอีกว่า “แต่พวกของกู้หน่ายเจิงที่ได้พบที่ฝูหรงโจวในภายหลัง ก็ถูกพวกนางตามรังควานเช่นกันนี่เจ้าคะ! ยังมีคนเอาเรือของพวกเขาไป และก็ยังหาไม่พบเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นการอำพรางสายตาผู้คนจึงได้ไปรังควานกระทั่งพวกเขาด้วยหรือไม่? สรุปก็คือต้องระวังเอาไว้จักไม่เกิดเรื่องใหญ่!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ!”
เห็นว่านางยอมรับการสอนสั่ง ฮูหยินซูจึงผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง แล้วสอนไปจากใจจริงว่า “เพื่อให้ได้ดังหมาย ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล! ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ เบื้องหลังจะต้องมีแผนใดแน่! เจ้าลองคิดดู หญิงเก็บบัวพวกนั้นก็มิได้งดงามอันใด แต่กลับร่อนไปแทะโลมผู้ชายทั่วทะเลสาบ แม้แต่กับคนที่มีภรรยาไปด้วยก็ยังไม่ละเว้น มิได้เกรงกลัวว่าจะถูกชาวบ้านต่อว่าตำหนิต่อหน้าเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่กลัวจะถูกผู้คนชั้นสูงเอาคืนภายหลัง แล้วเรื่องนี้จะไม่มีแผนการใดซ่อนอยู่เช่นนั้นหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสำนึกผิดว่า “สะใภ้เบาปัญญานัก”
“ก็ไม่อาจโทษเจ้าทั้งหมด” ฮูหยินซูถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้ายังเด็กนัก พบเจอกับเรื่องต่างๆ มาไม่มาก บิดาเจ้าก็ไม่มีอนุ เจ้าก็ได้รับความรักเอาอกเอาใจอย่างมากในตระกูลของเจ้าเอง มีเรื่องราวไม่เปิดเผยมากมายที่เจ้าล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงยากจะไม่คิดเห็นเรื่องต่างๆ ผิวเผินเกินไป! อีกประการ หลายปีมานี้หลิวซีสวินก็เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูล นอกจากเรื่องที่เขาถูกเฟิงเอ๋อร์ข่มเอาแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนราบรื่นมาโดยตลอด …ปีก่อนเขาถูกท่านอาร่วมตระกูลวางแผนจัดการอย่างหนัก นั่นก็มิใช่เป็นเพราะว่าตนเองราบรื่นมานานจึงมิได้เตรียมตัวป้องกัน? เคยลำบากจึงพ้นภัย เคยสบายจึงไม่รอด! นับแต่นั้นมา ข้าน่ะ จึงต้องคอยดูคอยแลให้เฟิงเอ๋อร์น่ะสิ! ลูกๆ ในสายหลักของบ้านเราล้วนเป็นคนดี ต่อให้มีความคิดเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล แต่เจ้าก็อย่าลืมเสียเล่าว่า บ้านเสิ่นเราก็ยังมีบุตรของอนุและยังมีสาขาต่างๆ ของสายรองอีกมากทีเดียว!”
“ข้าจะเล่าเรื่องสมัยก่อนให้เจ้าฟังสักน้อย ปีนั้นท่านปู่และท่านย่าของพวกเจ้าเสียไปเร็ว ตระกูลในสายหลักนั้นก็มีเพียงท่านพ่อและท่านอาของพวกเจ้าสองคนเท่านั้น ทางสายของบุตรอนุและสายรองอื่นๆ เคยลงมือทำการต่างๆ มากมาย ทั้งวางวางแผนการร้ายนานา เคราะห์ดีที่ท่านพ่อและท่านอาของพวกเจ้าร่วมแรงร่วมใจ จึงมิได้เพลี่ยงพล้ำให้แก่พวกเขา! เพียงแต่ผู้คนเหล่านี้กลับมีใจต่ำช้าไม่เลิก…หาไม่แล้วท่านพ่อและท่านอาของพวกเจ้าล้วนยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ แล้วเหตุใดต้องฝึกปรือจั้งเฟิงในทันใด? ก็เพราะเกรงว่าหากไม่เร่งบ่มเพาะเขา แล้วจะทำให้เขามีบารมีไม่เพียงพอ วันหน้าจะกดคนเหล่านี้เอาไว้ไม่ได้! คนเหล่านี้… อย่างไรก็เป็นคนสายเลือดเดียวกัน จึงไม่อาจสังหารไปเสียให้สิ้นซาก จนยามนี้สายตาของพวกเขามีหรือจะไม่จับจ้องมาที่เฟิงเอ๋อร์? เจ้าเป็นภรรยาของเฟิงเอ๋อร์ ย่อมมีเกียรติไปกับเขาและเสียหายไปกับเขา นับแต่เจ้าแต่งเข้าบ้านมา เฟิงเอ๋อร์ปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไรก็มิต้องให้ข้าพูดมากอีก เจ้าว่าเจ้าควรตั้งใจช่วยบรรเทาความกังวลและความยากลำบาก เป็นแรงสนับสนุนที่ดีของเขาหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งยอมรับทั้งจากวาจาทั้งจากหัวใจ และขอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม “สะใภรู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ ต้องขอให้ท่านแม่ชี้แนะด้วย ว่ายามนี้สะใภ้ควรทำเช่นใด?”
ฮูหยินซูจิบน้ำชาอึกหนึ่ง หรี่ตากล่าวว่า “ทำเช่นใด? วันพรุ่งเจ้าเข้าวังไปพร้อมข้า”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ไปยอมรับผิดกับองค์ฮองเฮาหรือเจ้าคะ?”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” ฮูหยินซูเอ่ยพลางขมวดคิ้วว่า “ยอมรับผิด? ยอมรับผิดอันใด? ยังไม่ต้องเอ่ยว่าหญิงเก็บบัวพวกนั้นเพียงพูดไปปากเปล่าว่าเป็นอนุขององค์รัชทายาทซึ่งเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว …ก็เป็นดังที่เฟิงเอ๋อร์ว่า ผู้ใดจะรู้ว่าพวกนางจงใจให้ร้ายตำหนักตะวันออกหรือไม่? หรือต่อให้ไม่ใช่ การที่เที่ยวไปรั้งตัวชายหนุ่มมาเกี้ยวพาราสีอยู่ทั่วทะเลสาบ ทั้งยังแอบอ้างเบื้องสูงก็มิใช่สิ่งที่องค์รัชทายาทให้ไปทำ! หรือต่อให้…”
ฮูหยินซูหัวเราะเยาะหยันไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้ หากองค์รัชทายาทยอมรับ องค์ฮองเฮาก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด!”
แล้วเอ่ยเสียงต่ำไปอีกว่า “เจ้าอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงบอกว่าหากคนเหล่านั้นเป็นอนุขององค์รัชทายาท ก็ยิ่งไม่ควรออมมือ …วันนี้ข้าจะบอกกับเจ้าให้ชัดแจง วันหน้าหากพบเจอเรื่องราวเช่นนี้อีก เจ้าก็จะรู้แล้วว่าควรจัดการอย่างไร … เจ้าบอกว่าหญิงเหล่านี้ไม่รู้จักมียางอาย เอาแต่จ้องเฟิงเอ๋อร์และตามรังควานไม่เลิกรา หากเฟิงเอ๋อร์ไม่ทำให้พวกนางบาดเจ็บ แล้วภายหลังทางนั้นกัดไม่เลิกบอกว่าเฟิงเอ๋อร์ไปมีเรื่องกับอนุขององค์รัชทายาท เจ้าลองคิดถึงผลของมันดูสิ!”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันเปลี่ยนไปทันใด ลุกจากที่นั่งมาคำนับ “สะใภ้โง่เง่านัก! ขอบพระคุณท่านแม่ที่สอนสั่งเจ้าค่ะ!”
“ราชสำนักสูงส่ง ไม่อาจเทียบกับสามัญชนได้” ฮูหยินซูเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เพียงแต่พวกเราเป็นตระกูลสูงศักดิ์ เรืองอำนาจมานับร้อยปี มิได้ถดถอยจนวันนี้ มิใช่ว่าราชสำนักจะสามารถมารังแกลบหลู่ได้ตามใจ ดังนั้นวันพรุ่งเจ้าเข้าวังไปกับข้า หนึ่งเพื่อไปทูลฟ้ององค์ฮองเฮาเรื่องพวกหญิงไร้ยางอายในทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิแอบอ้างพระนามขององค์รัชทายาททำการน่าอับอาย เรื่องที่หญิงเหล่านี้กระทำโดยแอบอ้างพระนามของตำหนักตะวันออกนั้นเกินจะทนรับฟังได้ ดังนั้นเฟิงเอ๋อร์จึงอดทนจนทนไม่ไหวและลงมือกับพวกนาง …เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งรีบพยักหน้า “สะใภ้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ครานั้นคนที่อยู่ด้วยนอกจากเฉาอิงเม่ยแล้ว ก็มีนางและเสิ่นจั้งเฟิง ดังนั้นผู้ที่ต้องไปเล่าเหตุการณ์ย่อมต้องเป็นเว่ยฉางอิ๋ง ความหมายของคำพูดนี้ของฮูหยินซูก็คือ ต้องการให้นางตั้งใจแต่งเติมเสริมแต่งเรื่องให้ดี พูดให้พฤติกรรมของหญิงเก็บบัวเหล่านั้นยิ่งไร้ยางอายได้เท่าใดยิ่งดี ..ไร้ยางอายจนกระทั่งต่อให้ตายฮองเฮาก็จะไม่มีวันยอมรับว่าหญิงเก็บบัวเหล่านั้นมีความเกี่ยวพันกับพระราชโอรสของนาง
ฮูหยินซูพูดอีกว่า “ส่วนเรื่องที่สอง ย่อมต้องไปขอให้องค์ฮองเฮาส่งคนไปจับหญิงเหล่านั้นมา เพื่อกู้หน้าคืน!” นี่เป็นการบีบให้ฮองเฮาและองค์รัชทายาทไปปิดปากกันเอง
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าติดๆ กัน ฮูหยินซูจึงพยักหน้ารับอย่างพอใจ กล่าวว่า “เจ้าเพิ่งกลับมา คงจะเหนื่อยแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่น ก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
หลังจากเว่ยฉางอิ๋งถูกเตือนสติไปดังนั้น จึงรู้สึกว่าสถานการณ์ในยามนี้ช่างคับขันจริงๆ ทำให้คิดว่าทุกสิ่งในการเดินทางไปทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิหนนี้ ล้วนเป็นหลุมพรางและกับดัก จึงเอ่ยไปทันใดว่า “ยังมีอีกผู้หนึ่ง ที่สะใภ้รู้สึกว่าน่าสงสัยนักเจ้าค่ะ!”
“ผู้ใด?” ฮูหยินซูตั้งสติขึ้นมาทันใด!
แล้วได้ยินเว่ยฉางอิ๋งใช้น้ำเสียงอย่างระแวดระวังเป็นพิเศษว่า “คนผู้นี้ก็คือกู้หน่ายเจิงที่ได้พบที่ฝูหรงโจวเจ้าค่ะ เขามีนิสัยแตกต่างจากบุตรหลานตระกูลใหญ่นัก ยิ่งไปว่านั้นเขายังคอยตามติดท่านพี่ตลอดเวลา สะใภ้คิดว่า เขาจะต้องมีแผนการใดแน่ๆ!”
ฮูหยินซูตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นผู้ใด?”
“หา?” เว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจ
ฮูหยินซูถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “เขาเป็นคู่หมั้นของอวี๋ลี่ เพราะก่อนหน้านี้มารดาเขาเสียชีวิต เพิ่งจะออกทุกข์เมื่อเดือนก่อน จึงรั้งรอเวลามาจนเดี๋ยวนี้และยังไม่ได้แต่งงานกัน … หลังจากเดือนเก้าปีนี้ เจ้าก็ต้องเรียกเขาว่าพี่เขยหรือไม่ก็น้องเขยแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋ง “…”
_________________________________