ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 85 เซินอิ๋ง
วันเกิดของซูอวี๋อู่ไม่ได้จัดให้ใหญ่ขึ้นเพราะว่ามีท่านป้ามาร่วมงาน ทว่าก็มีงานเลี้ยงกันภายในบ้านสาม นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นคนในรุ่นเดียวกันไปนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ฮูหยินซูยังอยู่ที่เรือนหลัก… แม่เฒ่าเติ้งให้ห้องครัวเรือนหลักทำอาหารสองสามอย่างที่บุตรสาวชอบทานให้นาง หลังบ่ายซูผิงจ่านกลับมา ฮูหยินซูดูแลน้ำชาให้บิดามารดาด้วยตนเอง พร้อมๆ กับจัดการธุระที่กลับมาบ้านฝั่งมารดาในวันนี้ไปด้วย
ทางบ้านสาม เพราะนางหลิวถูกนางเฉียนทำลายความสำราญ จึงเห็นชัดว่านางออกจะฝืนตัวให้สดชื่น เว่ยฉางอิ๋งหาโอกาสช่วงที่นางไม่ได้จับตาดู เล่าเรื่องที่นางได้พบกับกู้หน่ายเจิงให้เว่ยเจิ้งอินฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นทางวาจาและกริยาย่อมแสดงออกถึงความเป็นห่วงซูอวี๋ลี่
หลังจากเว่ยเจิ้งอินได้ยินกลับไม่มีท่าทีแปลกใจใดๆ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ว่าที่พี่เขยเจ้าผู้นี้ออกจะมีนิสัยแตกต่างจากคนทั่วไปจริงดังว่า ทว่าหลังจากข้าได้รู้ก็สอนสั่งลูกผู้พี่เจ้าเอาไว้แล้ว เจ้าวางใจเถิด แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องมารยาทสังคม ทว่าเรื่องน้ำใสใจคอกลับมิได้มีปัญหาใด”
ท่านอาก็ว่ามาดังนี้แล้ว อย่างไรก็เป็นสามีที่นางเลือกให้แก่ซูอวี๋ลี่ เว่ยเจิ้งอินย่อมไม่มีทางทำร้ายบุตรสาวแท้ๆ ของตน ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ไปเอ่ยเรื่องของกู้หน่ายเจิงอีกแต่อย่างใด หวังใจแต่เพียงว่าขอให้เป็นดังนั้น หาไม่แล้ววันหน้าซูอวี๋ลี่ก็คงน่าสงสาร ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ากู้หน่ายเจิงจะทำอย่างใดกับนาง เพียงแค่ดูจากเรื่องที่ฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนพี่น้องเคยประสบมาก็รู้แล้วว่า คนที่อยู่ใกล้คนเช่นกู้หน่ายเจิงสักหน่อยก็คงหลีกไม่พ้นถูกเขาทำให้พลอยโดนหางเลขไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังจะถูกเขากล่าวโทษเอาอีก
ขณะนั้นเองซูอวี๋ลี่ก็ยิ้มพลางเดินเข้ามาเอ่ยถาม “ลูกผู้น้องเจ้าแอบพูดสิ่งใดกับท่านแม่น่ะ?”
เพราะมีนางหลิวอยู่ด้วย ทั้งเสียงที่ซูอวี๋ลี่พูดก็ไม่ได้เบาเลย นางหลิวจึงหันหน้ามามอง เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากเอ่ยเรื่องของกู้หน่ายเจิงอีก จึงบอกว่า “ข้าบอกกับท่านอาว่า วานนี้ข้าเข้าวังและได้พบกับองค์หญิงอันจี๋”
พอนางหลิวและซูอวี๋ลี่ได้ยินก็ล้วนถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เช่นนั้นเจ้าคงรักษามารยาทกับองค์หญิงพระองค์นี้ใช่หรือไม่?”
…ความน่าเกรงขามขององค์หญิงพระองค์นี้เหนือธรรมดาจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าไปกับท่านแม่ ท่านแม่เตือนข้าว่าต้องเคารพนบนอบองค์หญิงเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
“ก็มิใช่รึ?” นางหลิวโล่งอก พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้ใดก็อย่าได้ไปยั่วโมโหองค์หญิงพระองค์นี้ ทุกคนล้วนพากันหวังให้นางปักปิ่นและอภิเษกไปไว้ๆ หาไม่แล้วหากวันใดพบนาง แล้วบังเอิญไปเสียมารยาท จนทำให้องค์หญิงนึกว่าดูแคลนนาง ก็จะเกิดเรื่องไม่ใช่เล่นๆ เลย”
ซูอวี๋ลี่ก็บอกว่า “องค์หญิงอันจี๋ชอบถือสาเป็นจริงเป็นจังที่สุด ไม่โอนอ่อนผ่อนตามเช่นคนอื่นๆ ในวัง อย่างไรก็ต้องเคารพนบนอบให้เอาไว้เป็นดี”
นางหลิวจึงถามว่า “ยามเจ้าพบองค์หญิง นางกำลังทำสิ่งใดอยู่? กำลังทะเลาะกับองค์หญิงหลินชวนอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่จึงทราบ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย
เว่ยเจิ้งอินยิ้มพลางว่า “นับๆ ดูแล้วกิ่งทองใบหยกทั้งสองพระองค์นี้ก็คล้ายจะทะเลาะกันมาปีกว่าแล้วกระมัง? ดูท่าว่าองค์หญิงอันจี๋คงจะตั้งใจหาเรื่องจนองค์หญิงหลินชวนอภิเษกและออกไปจากวังจึงจะยอมเลิกรา”
นางหลิวและซูอวี๋ลี่นับๆ ดู แล้วพากันพยักหน้า “ปีกว่าแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
ซูอวี๋ลี่อธิบายสาเหตุให้เว่ยฉางอิ๋งฟังว่า “คราก่อนอยู่ในตำหนักเว่ยยางจึงไม่สะดวกจะเล่ารายละเอียด สาเหตุที่องค์หญิงอันจี๋ไม่ยอมปล่อยองค์หญิงหลินชวน ล้วนเป็นเพราะตอนที่ในวังจัดงานฉลองวันหนึ่งพันฤดูใบไม้ร่วง[1]เมื่อปีก่อน วันนั้นท่านหญิงเจินอี้ก็มาร่วมถวายพระพรฮองเฮาด้วย เพียงแต่นั่งได้ไม่นานนักก็มีอาการไอและขอตัวออกจากงานเลี้ยงไปก่อน องค์หญิงอันจี๋จะขอลาไปพร้อมพระมารดา ทว่าท่านหญิงเจินอี้เห็นใจที่บุตรสาวต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนนางมานานปี น้อยนักจะมีโอกาสได้เล่นหัวกับผู้อื่น และคิดว่าบุตรสาวตระกูลใหญ่ต่างๆ ล้วนเข้าวังมางานฉลองวันหนึ่งพันฤดูใบไม้ร่วงนี้ จึงอยากให้องค์หญิงอันจี๋ได้ผ่อนคลายบ้าง จึงไม่ให้นางไปส่งตนเอง และสั่งให้นางไปหาองค์หญิงหลินชวน”
นางหลิวเอ่ยต่อไปว่า “วันนั้นองค์หญิงหลินชวนก็ดื่มไปหลายจอก จิตใจผ่อนคลายลงมาก เมื่อเห็นองค์หญิงอันจี๋มาหาจึงถามถึงสาเหตุ และรู้ว่าท่านหญิงเจินอี้กลับตำหนักไปแล้วเพราะไม่ค่อยสบาย และให้นางมานั่งร่วมโต๊ะกับพี่สาว องค์หญิงหลินชวนหยอกล้อองค์หญิงอันจี๋ไปประโยคหนึ่ง… แต่องค์หญิงหลินชวนกลับพูดเกินเลยไปหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องถามว่า “แต่กลับไม่รู้ว่าองค์หญิงหลินชวนเอ่ยสิ่งใด?”
“พระนามขององค์หญิงอันจี๋ เป็นอักษรตัวเดียวว่า ‘อิ๋ง’ ” นางหลิวยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “ส่วนแซ่ของราชวงศ์เจ้าก็คงรู้อยู่ แล้วองค์หญิงหลินชวนก็เอาพระนามขององค์หญิงอันจี๋มาล้อเล่น ไปถามองค์หญิงอันจี๋ว่ารู้หรือไม่เหตุใดท่านหญิงเจินอี้จึงมักจะป่วยอยู่เสมอ? องค์หญิงอันจี๋ไม่รู้สาเหตุ องค์หญิงหลินชวนจึงบอกว่า นั่นเพราะพระนามขององค์หญิงอันจี๋ตั้งไม่ดี เซินอิ๋ง เป็นเสียงเดียวกับ ‘ครางอิ๋งๆ’ อีกทั้งองค์หญิงอันจี๋ยังไปคอยเฝ้าอยู่ต่อหน้าท่านหญิงเจินอี้ทุกวัน แล้วท่านหญิงเจินอี้จะไม่ป่วยแล้วป่วยเล่า ร้องครางอิ๋งๆ ได้หรือ?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูดเต็มทน เดิมทีวานนี้เห็นองค์หญิงหลินชวนที่เคยสง่าอยู่ในงานเลี้ยงฉลองวันประสูติถูกองค์หญิงอันจี๋แสนร้ายกาจทั้งทึ้งทั้งดึง ทั้งข่มขู่ทั้งข่มขวัญลากให้เดินไปและร้องไห้จนไม่หลงเหลือความสง่า นางก็ยังรู้ว่าองค์หญิงหลินชวนน่าสงสารนัก แต่เมื่อมาได้ฟังยามนี้ ที่แท้องค์หญิงพระองค์นี้ก็เป็นตะเกียงไม่พร่องน้ำมันที่คอยจะจุดติดไฟอยู่ตลอด… แม้องค์หญิงอันจี๋จะไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ และพระนามก็มิใช่ฮ่องเต้ทรงตั้งให้… แปดหรือเก้าในสิบส่วนคงไม่ใช่ฮ่องเต้ทรงตั้งให้ หาไม่แล้วองค์หญิงหลินชวนก็จะไม่เอาพระนามของนางมาล้อเล่น เป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นท่านหญิงเจินอี้พระมารดาขององค์หญิงอันจี๋เป็นคนตั้งให้
องค์หญิงหลินชวนถือว่าตนเป็นที่รักของฮ่องเต้ ทั้งยังได้ฮองเฮาเป็นคนเลี้ยงดูมา ไม่เพียงไปจี้จุดว่าพระนามที่ท่านหญิงเจินอี้ตั้งให้บุตรสาวไม่เป็นมงคลแล้ว ยังเป็นการเยาะว่าเหตุที่ท่านหญิงเจินอี้ต้องคอยนอนป่วยอยู่บนตั่งนอนก็เพราะตั้งพระนามเช่นนี้ให้แก่บุตรสาวนั่นเอง และยังเป็นการบอกกลายๆ อีกว่าตัวองค์หญิงอันจี๋ไม่เป็นมงคล ดังนั้นยิ่งดูแลพระมารดาลำบากเท่าใดก็ยิ่งเท่ากับเป็นการทำร้ายพระมารดาของตนมากเท่านั้น!
คำพูดเช่นนี้ คนเป็นบุตรสาวคนใดเล่าจะทานทนไหว? ต่อให้เป็นบุตรสาวของสามัญชนทั่วไป ขอเพียงเป็นคนที่ใจกล้าสักน้อยก็จะต้องไปฟ้องกับฮองเฮาสักหนแน่นอน
ยิ่งไม่ต้องบอกว่าเป็นองค์หญิงอันจี๋ที่คอยดูแลท่านหญิงเจินอี้อย่างกตัญญูยิ่ง!
เมื่อนึกถึงภาพเมื่อวานนี้ ที่องค์หญิงอันจี๋กระชากเสื้อองค์หญิงหลินชวนอยู่ที่หน้าตำหนักเว่ยยางและตะโกนใส่ว่า “หากไม่เดินก็จะทึ้งเสื้อผ้าเจ้าออกให้หมด” เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วครานั้นองค์หญิงอันจี๋ทรงทำเช่นใด?”
นางหลิวเอ่ยออกไปอย่างจนใจ “นี่ก็คือประเด็นที่องค์หญิงผู้นี้คอยตามรังควานไม่เลิก… ครานั้นนางร้องห่มร้องไห้ใหญ่โต ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากโต๊ะ แม้แต่รองเท้าผ้าก็ยังไม่สวม แล้ววิ่งไปที่ท้องพระโรงตำหนักฉางเล่อจะให้องค์ฮองเฮาจัดการให้นาง!”
เรื่องนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก จากที่นางได้พบเห็นมากับตัว และจากที่ทุกคนอธิบายมา องค์หญิงอันจี๋ก็ควรจะพุ่งตรงเข้าไปจัดการองค์หญิงหลินชวนเลยในทันใดนี่!”
“ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้าไปยั่วให้นางโกรธ” ซูอวี๋ลี่พลิกผ่ามือขึ้นมานับนิ้วแล้วว่า “เจ้าดูสิ เรื่องที่สตรีชั้นสูงลบหลู่นาง องค์หญิงอันจี๋ก็ลงมือในทันใด จนในที่สุดใช้ข้อหาว่าอีกฝ่ายไม่เคารพต่อราชนิกุลมาบีบบ้านฝั่งสามีและบ้านฝั่งมารดาของสตรีชั้นสูงผู้นั้นจนแต่ละคนไม่มีจุดจบที่ดีเลยสักคน องค์หญิงหลินชวนลบหลู่มารดาของนาง แต่องค์หญิงอันจี๋กลับเลือกที่จะไม่ลงมือตีนางในทันใด แล้วทำให้ตนต้องได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายงานเฉลิมพระชนม์ ทว่านางกลับไปร้องห่มร้องไห้ทูลฟ้องฮองเฮาที่ท้องพระโรงต่อหน้าธารกำนัล เพื่อบีบให้ฮองเฮาไม่อาจไม่ลงทัณฑ์องค์หญิงหลินชวนโดยให้นางถอดปิ่นปล่อยผมลงในทันที แล้วให้ไปขอขมากับท่านหญิงเจินอี้ที่ตำหนักโต่วจิ่น เมื่อท่านหญิงเจินอี้ให้อภัยองค์หญิงหลินชวนแล้ว ฮองเฮาก็สั่งกักบริเวณองค์หญิงหลินชวนสามเดือน และหักเบี้ยเดือนขององค์หญิงหลินชวนหนึ่งปีเพื่อนำไปชดเชยเพิ่มให้องค์หญิงอันจี๋…. นี่ก็เพราะฮ่องเต้รักใคร่องค์หญิงหลินชวน ไม่ได้ชื่นชอบท่านหญิงเจินอี้ จึงมิได้ไปถือสาเอาความเรื่องที่องค์หญิงหลินชวนไม่เคารพท่านหญิงเจินอี้ ภายหลังองค์หญิงอันจี๋คอยหาเรื่ององค์หญิงหลินชวน ทุกครั้งล้วนเป็นเรื่องที่จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่เล็กก็ไม่เล็ก จนในที่สุดฮ่องเต้จึงลงทัณฑ์องค์หญิงอันจี๋ ครั้งที่หนักที่สุดก็เพียงให้นางนั่งคุกเข่าอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “องค์หญิงอันจี๋ยังไม่โต คุกเข่าหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ไม่นับว่าเบาแล้วกระมังเจ้าคะ?” หนึ่งวันหนึ่งคืนพูดได้ง่ายๆ แต่เวลากลับยาวนานจริงๆ นั่นเพราะครั้งที่เว่ยฉางอิ๋งถูกลงโทษให้ไปนั่งคุกเข่าเมื่อปีก่อน นางคุกเข่าบนพื้นกลางฤดูร้อนอยู่สองสามชั่วยามกลับยังดี หากให้คุกเข่าหนึ่งวันหนึ่งคืนจริงๆ ไม่มีคนประคองก็คงจะลุกไม่ขึ้นทีเดียว
นางยังฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก องค์หญิงอันจี๋ผู้นั้นก็ดูไม่เหมือนคนที่เคยฝึกร่างกายมาก่อน แต่กลับสามารถคุกเข่าอยู่ได้นานเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่กลัวด้วยว่าคราหน้าจะถูกลงโทษเช่นนี้อีก องค์หญิงองค์นี้ช่างมีใจเด็ดเดี่ยวเสียจริงๆ
“องค์หญิงอันจี๋ปรนนิบัติท่านหญิงเจินอี้ด้วยความกตัญญูยิ่ง เพื่ออ้อนวอนให้สวรรค์ปกป้องคุ้มครองท่านหญิงเจินอี้ เมื่อนางสวดภาวนาขอพร นางก็จะนั่งคุกเข่าอยู่ทั้งคืน” นางหลิวทำมือแสดงท่าทีอ่อนใจ กล่าวว่า “ครานั้นฮ่องเต้ลงทัณฑ์ให้นางคุกเข่าอยู่ในอุทยานหลวง ปรากฏกว่านางก็สวดอ้อนอวอนให้ฮ่องเต้และท่านหญิงเจินอี้อยู่ในอุทยานหลวงทั้งคืน เมื่อคนที่ทำงานต่อพระพักตร์ฮ่องเต้กราบทูลเรื่องนี้ขึ้นไป เพราะจะอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เดิมทีฮ่องเต้ก็ทรงรู้สึกว่าลงทัณฑ์นางหนักเกินไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ นั่นก็เพราะเป็นตายอย่างไรองค์หญิงอันจี๋ก็ไม่ยอมไปขอขมาองค์หญิงหลินชวน และทำเอาฮ่องเต้ไม่มีทางลง จึงได้พลั้งปากให้นางคุกเข่าอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ภายหลังเมื่อฮ่องเต้ทรงได้ยินว่าองค์หญิงอันจี๋ไม่เพียงไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือคิดอาฆาตแค้น แต่กลับอาศัยช่วงที่กำลังคุกเข่าอยู่มาสวดภาวนาให้พระองค์ แม้ฮ่องเต้จะไม่ทรงเอ่ยสิ่งใด แต่ภายหลังเมื่อต้องลงทัณฑ์องค์หญิงอันจี๋อีกก็จะมอบหมายให้องค์ฮองเฮาจัดการ”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มอ่อนพลางว่า “องค์ฮองเฮาของเราเป็นคนใจอ่อนมาแต่ไร สำหรับบรรดาองค์ชายและองค์หญิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นองค์ที่ตนเองให้กำเนิดหรือไม่ใช่ก็ล้วนมองประหนึ่งบุตรของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นแม้องค์หญิงหลินชวนก็มีองค์ฮองเฮาเป็นคนเลี้ยงดูมา แต่องค์ฮองเฮาก็มิได้เข้าข้างองค์หญิงที่ตนเลี้ยงดูมา แล้วหันไปไม่เป็นธรรมต่อเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านหญิงเจินอี้ที่เจ็บออดๆ แอดๆ ดังนั้นทุกครั้งที่ลงทัณฑ์นางก็ทำเพียงน้อยนิดเท่านั้น”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเข้าใจความเป็นมาเรื่องความแค้นขององค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงอันจี๋ทั้งสองพระองค์แล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าองค์หญิงหลินชวนนั้นปากพาจนแท้ๆ ดีๆ อยู่ก็มาหาเรื่องหาราวกับคนประเภทนี้
แต่สาเหตุที่นางไปยั่วโมโหองค์หญิงอันจี๋ก็ทำให้รู้สึกสงสารไม่ลงจริงๆ หากมิได้เป็นเพราะองค์หญิงอันจี๋ทั้งร้ายกาจทั้งเฉลียวฉลาดและข่มองค์หญิงหลินชวนไว้ไม่ปล่อย ไม่ว่าอย่างไรท่านหญิงเจินอี้ก็เป็นฮูหยินขั้นหนึ่ง เป็นพระมารดาอีกคนขององค์หญิงหลินชวน นางไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้มานานปีอีกทั้งไม่มีบุตรชายและมีร่างกายอ่อนแอขี้โรคก็นับว่าน่าสงสารมากพออยู่แล้ว มารดาแท้ๆ ขององค์หญิงหลินชวนเสียไปเร็ว ทั้งยังเสียไปอย่างมีเงื่อนงำ แล้วยังจะมาเยาะหยันพระมารดาขององค์หญิงอันจี๋ต่อหน้านางอีก นี่ไม่เท่าเป็นการแทงมีดลงกลางใจองค์หญิงอันจี๋หรอกหรือ?
โดยเฉพาะเมื่อท่านหญิงเจินอี้ไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้อีกแล้ว จึงไม่อาจแตะต้ององค์หญิงหลินชวนได้แต่อย่างใด ดีชั่วอย่างไรนางก็เป็นสนมชั้นสูงที่เคยปรนนิบัติฮ่องเต้มา จนที่สุดแล้วก็ถูกธิดาเลี้ยงเหยียบหัวขึ้นมาเยาะหยันลบหลู่เสียอย่างหนัก หากไม่มีบุตรสาวเก่งกาจสักคนมาช่วยออกหน้าให้นาง แม่ลูกในตำหนักโต่วจิ่นก็คงจะถูกรังแกอย่างหนักเช่นกัน
อาศัยการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ งานฉลองวันเกิดของซูอวี๋อู่ก็สิ้นสุดลงอย่างครึกครื้นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยประการฉะนี้
หลังงานเลี้ยง นางหลิวบอกว่าไม่ค่อยสบาย ซูอวี๋ลี่จึงพานางไปนอนพักผ่อนในห้องของตน เว่ยเจิ้งอินเรียกให้เว่ยฉางอิ๋งมาสนทนากันที่ศาลาในสวน ในฐานะอาแท้ๆ จึงขาดเสียมิได้ที่จะต้องชี้แนะหลานสาวซึ่งเพิ่งแต่งงานเป็นภรรยาสักหน่อย
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรื่องของท่านอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียนกับนางอีก เว่ยเจิ้งอินกล่าวว่า “พวกนางก็ส่งเทียบมาให้ข้าที่นี่เช่นกัน สองวันก่อนข้าพาอวี๋ลี่ไปหาพวกนางมาแล้ว คฤหาสน์หลังนั้นกลับยังไม่นับว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก เพียงแค่สิ่งของต่างๆ ยังไม่ได้จัดเข้าที่ ยามนี้ก็เพียงแค่พอใช้งานได้เท่านั้น ทว่าคิดไปก็เพราะพวกนางเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ท่านอาเขยใหญ่ของเจ้าก็มั่งมีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รับราชการในต่างแดนมานานปีจึงมีทรัพย์สมบัติสั่งสมไว้มากมาย หาไม่แล้วคงไม่ไปทำให้พวกคนในตระกูลพากันอิจฉาตาร้อน… การมาปลูกคฤหาสน์ไว้ในเมืองหลวงหลังหนึ่งเช่นนี้ สำหรับพวกเขาแล้วคงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด”
“คนในตระกูลพวกนั้นก็เกินไป…”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มพลางว่า “เรื่องนี้ก็เป็นเพราะท่านอาหญิงใหญ่และอาเขยใหญ่ของเจ้าเป็นคนใจอ่อนเกินไป หากเป็นดังองค์หญิงอันจี๋แล้ว คนในตระกูลคงขอเพียงนางไม่มาหาเรื่องหาราวก็ต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว”
แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่เคยพบเว่ยเซิ่งเซียน ไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นใดครั้งยังอยู่ที่บ้านฝั่งมารดา แต่ดูจากที่แม่เฒ่าซ่งท่านย่าของนางปฏิบัติต่อบ้านท่านอารองก็รู้แล้วว่า แม่เฒ่าซ่งจะต้องไม่มีวันเลี้ยงดูให้บุตรสาวของอนุเป็นคนเก่งกล้าสามารถได้ ต่อให้เว่ยเซิงเซียนมีเล่ห์เหลี่ยมและร้ายกาจเช่นเดียวกับองค์หญิงอันจี๋… เมื่อมาอยู่ในมือของแม่เฒ่าซ่งก็ไร้ประโยชน์ แม่เฒ่าซ่งนั้นหาได้เหมือนกับฮองเฮากู้ที่ยังต้องเกรงกลัวฮ่องเต้ ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้แม้แต่เว่ยฮ่วน นางก็ยังเคยลงมือทุบตีมาแล้ว บุตรธิดาจากอนุคนใดจะกล้าทำให้นางขัดหูขัดตา?
นางแอบรู้สึกอยู่ภายในใจว่าด้วยชาติกำเนิดของท่านอาหญิงใหญ่นั้นเกรงว่าไม่อาจปลูกฝังให้นางเป็นคนเก่งกาจ แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้ว่าหากเช่นนี้พูดออกไป จะต้องเป็นการตำหนิท่านย่าของตนไม่มากก็น้อย ซึ่งนางจะไม่มีวันทำเช่นนั้น จึงเอ่ยว่า “เมื่อสองสามวันก่อน ข้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงเขียนจดหมายไปหาท่านย่า”
เว่ยเจิ้งอินกล่าวว่า “บอกท่านแม่ก็ดี คราก่อน ข้าบอกกับอาหญิงใหญ่ของเจ้าไปแล้วว่า หากคราหน้าพวกคนในตระกูลมาบีบบังคับที่บ้านอีก ก็นางหาทางถ่วงเวลาคนพวกนั้นเอาไว้ แล้วให้ส่งคนมาบอกข้า ข้าจะไปจัดการคนพวกนั้นเอง… ท่านอาหญิงใหญ่และท่านอาเขยใหญ่ของเจ้าล้วนยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ บุตรสาวทั้งสองคนก็ล้วนเป็นบุตรสาวของท่านอาหญิงใหญ่เอง ผู้ใดจะกล้าบอกว่าพวกเขาจะไม่มีวาสนามีผู้สืบสกุลของตนเองได้? ผู้ใดกล้ามาด่าคนต่อหน้า คอยดูข้าจะเอากรรไกรตัดปากเสียๆ ของมัน! หรือต่อให้วันหน้าไม่มีจริงๆ จะไปรับผู้ใดมาเป็นบุตรบุญธรรม นั่นก็เป็นเรื่องในวันหน้า ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานก็เป็นหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลนะ! คนในสายรองต่างๆ หน้าไม่อายเพียงนี้ หวังหุบเอาสมบัติในบ้านผู้อื่นจนถึงขั้นขึ้นมาเหยียบหัวเขา ข้ากลับไม่เชื่อว่าสายหลักของตระกูลซ่งจะไม่ไยดี!”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “อย่างไรก็เป็นท่านอาหญิงรองเก่งกาจ เมื่อพูดมาดังนี้ คนพวกนั้นก็จะต้องกลัวถูกล้างตระกูลเป็นแน่ และคาดว่าคงไม่กล้าไปรังแกบ้านท่านอาหญิงใหญ่อีกแล้ว” ยามนี้อำนาจของตระกูลต่างๆ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเล ต่อให้เป็นคนในสายรองที่ห่างไกลที่สุดก็ยังเป็นสิ่งที่ทองหมื่นตำลึงยากจะแลกมาได้ อย่างเช่นเรื่องของหมิ่นจือเสีย หากเขาไม่ได้มีฐานะของตระกูลหมิ่นแห่งฉวีอินนี้อยู่ ตระกูลตวนมู่ก็จะไม่ยอมยกลูกสาวให้เขา
ด้วยฐานะบุตรหลานตระกูลหมิ่นแห่งฉวีอินนี้ นับว่าหมิ่นจือเสียยังเป็นคนในตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง จึงมีคุณสมบัติได้แต่งงานกับบุตรสาวตระกูลตวนมู่ หาไม่แล้วต่อให้เขาแสนดีนับพันนับหมื่น… นอกเสียจากเป็นเหมือนตระกูลเซินที่เคยเป็นทหารและรุ่งเรืองจนถึงขั้นสามารถรวบรวมแผ่นดินได้ หาไม่แล้วด้วยข้อกำหนดว่าตระกูลใหญ่ไม่แต่งงานกับคนทั่วไปข้อนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลมีชื่อได้
ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ตระกูลเลื่องชื่อร่วมมือกันบีบตระกูลที่ยากจนค้นแค้น ถือเป็นเรื่องที่เห็นจนชินตาแล้วในวงการขุนนาง
ดังนั้น คนในตระกูลใหญ่ล้วนหวาดกลัวว่าจะถูกลบชื่อออกจากตระกูลเป็นที่สุด ก็ด้วยสาเหตุต่างๆ นานานี้นี่เอง
“นี่ก็เพราะว่าซ่งอวี่วั่งเป็นท่านลุงแท้ๆ ของเจ้า” เว่ยเจิ้งอินยิ้ม กล่าวว่า “หลังจากเจ้ากลับไปแล้วก็ไปขออนุญาตกับแม่สามีสักหน่อย เมื่อมีเวลาว่างก็ไปเยี่ยมพวกเขาบ้างเถิด ให้ไอ้พวกไม่ได้ความรู้เสียบ้างว่าถึงท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าจะเป็นบุตรสาวของอนุ แต่ตระกูลเว่ยของเราก็มิใช่ว่าให้นางแต่งออกไป ก็จะลืมนางเสียแล้ว”
เพราะแม่เฒ่าซ่งเก่งกาจเกินไป แม้ผู้สืบสกุลของตนจะไม่บริบูรณ์ จึงไม่อาจไม่ยอมให้เว่ยฮ่วนรับอนุ แต่นางก็ข่มทั้งอนุและบุตรธิดาจากอนุเสียอยู่หมัด ไม่มีผู้ใดกล้าล้ำเส้นไม่มีผู้ใดกล้าไม่นอบน้อมเชื่อฟัง ยามมาอยู่ต่อหน้าเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของแม่เฒ่าซ่ง บรรดาบุตรธิดาของอนุแต่ละคนมีแต่จะเชื่อฟังและยอมให้นาง ดังนั้นทั้งเว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นธิดาของแม่ใหญ่และเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นหลานสาวโดยตรง จึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีใดๆ ต่อพี่น้องจากอนุเช่นเดียวกันทั้งสองคน อาหลานสองคนจึงรู้สึกเห็นใจกับสิ่งที่เว่ยเซิ่งเซียนต้องพบเจอเป็นอย่างมาก
เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากบอกเรื่องที่ตนเพิ่งจะถูกตำหนิมา จึงบอกว่า “ข้าเองก็คอยคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่ เพียงแต่เพิ่งจะเสร็จงานแต่งงานของน้องชายสี่ กลับไปครานี้ หากข้าเห็นว่ามีโอกาสก็จะเอ่ยกับแม่สามีเจ้าค่ะ”
_____________________________________
[1] วันหนึ่งพันฤดูใบไม้ร่วง ใช้เป็นชื่อแทนงานเฉลิมพระชนม์