ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 87 แขนบาดเจ็บ
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งกลับมาถึงเรือนจินถง เสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งจะกลับมาจากจวนตระกูลซู เพราะซูอวี๋อู่เป็นชาย ในวันเกิดของเขาบ้านสามตระกูลซูจึงจัดงานเลี้ยงกลุ่มของฮูหยินซูที่เดินทางไปอวยพรถึงบ้านโดยเฉพาะ ส่วนผู้ที่มาอวยพรให้นอกนั้นล้วนเป็นลูกพี่ลูกน้อง คนที่ทำงานด้วยกันและสหายร่วมชั้นเรียนของซูอวี๋อู่ หากคนเหล่านี้เข้ามาที่เรือนหลังแล้วมีญาติผู้ใหญ่ในตระกูลซูอยู่ด้วยพวกเขาก็จะไม่ผ่อนคลาย ดังนั้นบ้านซูจึงจัดงานเลี้ยงสุราที่เรือนหน้าเอาไว้ต่างหาก เพื่อให้พวกเจ้าได้สำราญกันได้เต็มที่
เวลานี้ทั้งตัวเสิ่นจั้งเฟิงมีกลิ่นสุราคละคลุ้งไปหมด ใบหน้าก็แดงก่ำ เดินโซเซเข้าประตูมา พอยกมือขึ้นได้ก็ดึงสาบเสื้อให้คลายออก แล้วสั่งให้คนเอาน้ำชาเข้ามา
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเพิ่มเติมไปว่าให้ทำน้ำชาที่เข้มสักหน่อย แล้วขมวดคิ้วเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อตัวนอกออก และอดจะตำหนิไปไม่ได้ว่า “เหตุใดจึงดื่มมากเพียงนี้?”
เสิ่นจั้งเฟิงกุมมือนาง เว่ยฉางอิ๋งคิดเพียงว่าเขาสบโอกาสก็จะมาหาเศษหาเลย จึงทั้งโกรธทั้งขบขัน พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “นั่งก็ยังจะไม่อยู่ จะทำสิ่งใดอีก?”
ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงลูบแขนนางอยู่เป็นนาน กลับดึงผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อหน้าออกมาเช็ดหน้า ค่อยเดินเซไปจับตั่งนั่งข้างหน้าต่างแล้วเอนตัวลงบนตั่ง พูดตอบกลับไปอย่างไม่ชัดเจนว่า “เดือนหน้าจื่อหมิงจะแต่งงานแล้ว ในงานเลี้ยงวันนี้ทุกคนล้วนพากันมอมสุราเขา ข้ากับเสียงจือ และเจียย้าวจึงช่วยดื่มแทนเขา พอไม่ทันตั้งตัวก็ดื่มไปมากสักหน่อย”
“ที่แท้เดือนหน้าคุณชายกู้จะสมรสกับพระธิดาเฉิงเสียนแล้วหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งยังจำได้ว่าในงานฉลองวันประสูติองค์หญิงหลินชวน ครั้งฮองเฮากระเซ้าพระธิดาผู้นั้นตนเองก็แอบได้ยินมาบ้างว่าพระธิดาเฉิงเสียนได้หมั้นหมายกับกู้อี้หราน…เดือนห้าเป็นวันประสูติขององค์หญิง ที่แท้เดือนเจ็ดพระธิดาเฉิงเสียนก็จะออกเรือนแล้ว ก็มิน่าเล่าฮองเฮาจึงได้กระเซ้านางสองสามคำ ซึ่งนี่แสดงว่าฮองเฮากู้จำได้ว่างานอภิเษกของพระธิดาใกล้เข้ามาแล้ว
เสิ่นจั้งเฟิงหลับตาลงและออกเสียงอื่มมาคำหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งรับผ้าเปียกที่เจวี๋ยเกอบิดน้ำออกและส่งมาให้ จากนั้นก็ช่วยเขาเช็ดหน้า เมื่อเห็นว่าฉินเกอชงน้ำชาเข้มๆ เข้ามา จึงเตือนเสิ่นจั้งเฟิงว่า “ระวังร้อน”
ฉินเกอรีบตอบว่า “ฮูหยินน้อย นี่ไม่ใช่เพิ่งชงมาเจ้าค่ะ มันวางจนเย็นอยู่ข้างหลังนานแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าน้อยจะไปชงมาใหม่กาหนึ่ง แต่พวกท่านอาล้วนบอกว่ากาที่เย็นแล้วนี้จะได้ดื่มได้ทันที นี่เดิมทีเป็นชาที่พวกเราดื่มหลังบ่ายเวลาที่กลัวจะง่วงหลับเจ้าค่ะ เข้มยิ่งนักเจ้าค่ะ”
ระหว่างพูดไปเสิ่นจั้งเฟิงรู้สึกคอแห้งจึงยกขึ้นมาดื่มจนหมดในคราวเดียว เมื่อดื่มหมดก็รู้สึกขึ้นสบาย และสั่งว่า “รินมาเพิ่มอีกสักหน่อย” เขาเอาผ้าเช็ดหน้าของเว่ยฉางอิ๋งมาเช็ดหน้าแรงๆ คล้ายว่าจะสร่างขึ้นมาสักหน่อย ลืมตาขึ้นมากล่าวว่า “วันนี้เสิ่นจวี้มารายงายเรื่องใดหรือไม่?”
“ไม่มี มีเรื่องใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะเอาผ้าเปียกเช็ดเหงื่อจากสุราที่หน้าผากให้เขา
“โอ๊ะ ข้ามานับๆ ดู แหลนของข้าควรจะตีเสร็จแล้ว หลายวันมานี้ไม่มีอาวุธเหมาะมือ ทำได้แค่ฝึกเพลงดาบสองสามกระบวนท่าอยู่แต่เช้าจนค่ำไม่ถนัดเอาเสียเลย” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยมาคำหนึ่งและกำชับว่า “หากเขามารายงาน ก็บอกให้เขาเก็บเอาไว้ให้ดี รอข้าตื่นมาแล้วจะไปดู”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ได้…เจ้าจะไปนอนแล้วหรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ตอบ เมื่อมองไปอีกครั้งกลับเห็นว่าเขาพิงหมอนอิงหลับไปเสียแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จึงเรียกพวกฉินเกอเข้ามาช่วย หลายๆ มือช่วยกันยกเขาเข้าในม่านไปวางอยู่บนตั่งนอน แล้วเอาผ้าห่มบางมาห่มให้เขา
หลังจากออกมานอกม่าน เว่ยฉางอิ๋งอดจะเรียกเสิ่นเตี๋ยเด็กรับใช้ติดตามเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามาบ่นไม่ได้ “ท่านพี่ช่วยดื่มสุราแทนกู้จื้อหมิงผู้นั้น เอาไปเอามาก็ดื่มจนตนเองไม่อาจกะประมาณได้ ในเมื่อเจ้าอยู่กับท่านพี่แล้วเหตุใดจึงไม่ช่วยดูสักหน่อย ปล่อยให้ท่านพี่ดื่มจนเกินตัว และเมาจนเป็นสภาพนี้?”
เสิ่นเตี๋ยอธิบายไปอย่างระมัดระวังว่า “เรียนฮูหยินน้อย เพราะคุณชายใหญ่ตระกูลกู้พาดื่มขอรับ บ่าวคิดจะเตือนให้คุณชายดื่มให้น้อยๆ หน่อยอยู่หลายครา ทว่าคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ล้วนไม่ยินยอม รวมทั้งคุณชายตวนมู่ คุณชายหลิวอีกสองสามท่าน ซึ่งทำงานในราชองครักษ์ทั้งสามกับคุณชาย ยามประลองยุทธ์ทุกครั้งล้วนพ่ายแพ้ต่อคุณชายจึงคิดอยากแก้แค้นและพากันมอมสุราคุณชายขอรับ บ่าวขวางไม่ได้จริงๆ ขอให้ฮูหยินน้อยโปรดเห็นใจด้วยขอรับ”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าเป็น ‘คุณชายใหญ่ตระกูลกู้’ ก็รู้สึกว่าไม่ใคร่ดีแล้ว จึงตั้งสติและเอ่ยถามว่า “คุณชายใหญ่ตระกูลกู้ที่เจ้าเอ่ยถึงก็คือ?”
“ก็คือคุณชายตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงกู้จื่อเลี่ยขอรับ”
…ช่างเถิด หากไปถือสาหาความกับไอ้เจ้ากู้จื่อเลี่ยมิเท่ากับทำให้ตนเองไม่สบายใจไปเปล่าๆ หรอกหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งจึงข้ามคำถามนี้ไป แล้วสอบถามเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงพูดถึง ‘อาวุธเหมาะมือ’ ว่า “แหลนที่ท่านพี่เอ่ยถามเมื่อครู่นี้จวนจะได้มาแล้วหรือไม่?”
เสิ่นเตี๋ยบอกว่า “เมื่อนับวันแล้วสองวันนี้ก็ควรจะทำเสร็จแล้วขอรับ จนใจเหลือที่ยังไม่ส่งมาสักที”
“เป็นแหลนแบบใด?” เว่ยฉางอิ๋งถาม “นับแต่ข้าแต่งเข้าบ้านมา เห็นท่านพี่ฝึกวรยุทธ์น้อยครั้งนัก ที่แท้เพราะท่านพี่ไม่มีอาวุธเหมาะมือรึ? เรื่องเป็นมาอย่างไร?”
เสิ่นเตี๋ยย่อมไม่กล้าปิดบังฮูหยินน้อย กล่าวว่า “เมื่อการประลองหน้าพระพักตร์ปีก่อน คุณชายได้ที่หนึ่ง เพียงแต่หลังจากคุณชายชนะแล้ว และไปนั่งชมการประลองอยู่ข้างสนาม คุณชายสิบแปดตระกูลหลิว หลิวยิ้วเจ้าเกิดพลั้งมือขณะต่อสู้กับคุณชายเก้าตระกูลเผย เผยไค่ ครั้งนั้นคุณชายเผยถูกคุณชายหลิวผลักจนล้มลงกับพื้นและกำลังจะยอมแพ้แล้ว ไม่คิดว่าคุณชายหลิวกำลังถือค้อนปาเป่าดอกเหม่ย[1]อยู่แต่กลับพลั้งมือทุ่มลงไป คุณชายจึงรีบเข้าไปขวางเอาไว้ แม้จะสามารถใช้ปลายแหลนปัดค้อนปาเป่าดอกเหม่ยออกไปศีรษะของคุณชายเผยจนไม่เป็นอันตรายแล้ว และให้คุณชายเผยอาศัยจังหวะนั้นกลิ้งตัวหลบออกไปจนสามารถรอดชีวิตไปได้ ทว่าคุณชายหลิวทุ่มลงมาเต็มแรง อีกทั้งคุณชายก็รีบเอาแหลนออกไปรับ แหลนทนแรงไม่ไหวจึงชำรุดจนใช้การไม่ได้ และง่ามนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของคุณชายก็ฉีกในทันใด ภายหลังแพทย์หลวงบอกว่าเพราะหลังจากคุณชายถือแหลนไปรับค้อนแล้วก็กลัวว่าคุณชายเผยจะไม่อาจหนีได้ทันกาล จึงมิได้ปล่อยแหลนลงในทันใด เส้นลมปราณที่แขนได้รับความกระทบกระเทือนจนเสียหายอย่างหนัก แนะนำให้คุณชายพักผ่อนสักหลายเดือน จึงทำให้นับแต่ฮูหยินน้อยแต่งเข้าบ้านมาคุณชายก็แทบไม่ได้ฝึกวรยุทธ์เลยขอรับ”
“หลิวยิ้วเจ้ากับเผยไค่รึ?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว …เว่ยฉางเสียนแต่งกับหลิวจี้เจ้าบุตรชายจากภรรยาเอกในตระกูลสายหลักของตระกูลหลิว ปรากฏว่าครั้งพวกหรงเข้ามารุกรานตงหู หลิวจี้เจ้าต้องตายเพราะไปช่วยเผยซีซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขา นับแต่นั้นมาเว่ยฉางเสียนก็เกลียดชังตระกูลเผยทั้งตระกูล เพราะอาสะใภ้สามของเว่ยฉางอิ๋ง และเป็นอาสะใภ้ฝั่งบ้านบิดาของเว่ยฉางเสียนด้วยผู้นั้นเป็นพี่สาวของเผยซี แม้แต่บุตรสาวทั้งสองคนของนางก็ยังถูกเว่ยฉางเสียนคอยกลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า
เท่าที่ฟังดู หลิวยิ้วเจ้าผู้นี้คล้ายจะเป็นน้องชายแท้ๆ ของหลิวจี้เจ้า และในเมื่อเผยไค่เองก็อยู่ในราชองครักษ์ทั้งสาม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบุตรหลานตระกูลเผยแห่งยิวโจวทั้งยังเป็นบุตรหลานที่ในตระกูลให้ความสำคัญอย่างมาก หรือที่บอกว่าพลั้งมือ แท้จริงแล้วคือการจงใจ?
แต่ไรมาเว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกขัดตาที่เห็นเว่ยฉางเสียนพาลไปโกรธนางเผยซึ่งเป็นอาสะใภ้สาม ว่ากันตามจริง หากมิใช่พวกหรงหมายตาผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ของจงหยวน ไม่ว่าจะเป็นหลิวจี้เจ้าก็ดี เผยไค่ก็ดี ย่อมไม่จำเป็นต้องออกรบและจะไม่มีเรื่องการตายในสนามรบ ยิ่งไปกว่านั้นเผยไค่หาได้จงใจทำร้ายหลิวจี้เจ้าจนตายไม่ หากจะโทษก็ต้องโทษพวกหรง ไปโทษเผยไค่ แล้วพาลไปโกรธนางเผย มิใช่เท่ากับทำให้พวกหรงได้ประโยชน์หรอกหรือ?
เว่ยฉางเสียนเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง เมื่อสามีเสียไปแล้ว แม้แต่บุตรธิดาสักคนนางก็ไม่มี ต้องมาเป็นม่ายทั้งยังสาว แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่อาจเข้าใจเรื่องที่นางพาลไปโกรธผู้อื่นได้ทั้งหมด แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจหัวอกนาง ทว่าหลิวยิ้วเจ้า… ซึ่งเป็นชายคนหนึ่ง หากพาลมาโกรธบุตรหลานตระกูลเผยเพราะการตายของพี่ชายตน และอาศัยโอกาสในการประลองหน้าพระพักตร์ จงใจ ‘พลั้งมือ’ เพื่อหวังทำร้ายเผยไค่ซึ่งเป็นหลานชายของเผยซี เรื่องนี้ก็น่าดูแคลนมากไปสักหน่อย
แม้จะบอกว่าอันดับของตระกูลเผยแห่งยิวโจวไม่ทัดเทียมกับตระกูลหลิวแห่งตงหู แต่อย่างก็เป็นตระกูลที่มีชื่อมีเสียง ตระกูลหลิวตั้งแต่บุตรหลานจนถึงสะใภ้พร้อมใจกันมาพาลพวกเขาทั้งตระกูล ไม่กลัวเลยจริงๆ หรือว่าตระกูลเผยจะหมดความอดทน?
ยิวโจวอยู่ที่ชายแดนทิศตะวันออกเฉียงใต้ พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย หากบีบตระกูลเผยเสียจนมุมแล้ว รอจนตระกูลหลิวและพวกหรงต่อสู้กันแทบเป็นแทบตาย แล้วมารวบรวมกำลังพลเข้ามาโจมตีตระกูลหลิวอย่างไม่ทันตั้งตัว ต่อสู้กันให้รู้ดำรู้ดีก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
คาดว่าเสิ่นเตี๋ยก็เคยได้ยินเรื่องของหลิวจี้เจ้า ครานี้เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งนิ่งงันไปสักพักจึงกล่าวว่า “ภายหลังคุณชายหลิวเองก็ตกใจไม่เบา แล้วประคองคุณชายเผยขึ้นมา และเข้ามาขอบคุณคุณชายของเราขอรับ พลางเอ่ยไม่หยุดปากว่าคุณชายยื่นมือเข้ามาทันการหาไม่คงเกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” แล้วบอกอีกว่า “คุณชายหลิวถูกองค์ฮ่องเต้ตำหนิด้วยเหตุนี้ และถูกลดตำแหน่งจากราชองครักษ์ซินไปเป็นราชองครักษ์ซวินด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งนึกไปถึงเว่ยฉางเสียน จึงรู้สึกว่ามีความเป็นไปอย่างมากว่าหลิวยิ้วเจ้าจะต้องแสร้งตีหน้าซื่อ หากยังคงคิดแค้นในการตายของพี่ชาย ไยไม่กลับไปสังหารศัตรูอย่างห้าวหาญที่ตงหูเล่า?” แต่กลับเอาเรื่องส่วนตัวมาลงไม้ลงมือขณะประลองหน้าพระพักตร์ …ทั้งยังพลอยทำให้สามีตนลำบากไปด้วยอีก สีหน้าของนางจึงดูไม่ดีเลย กล่าวว่า “ในเมื่อหลิวยิ้วเจ้าผู้นั้นใช้ค้อนปาเป่าดอกเหม่ยซึ่งเป็นอาวุธหนักเช่นนั้น คาดว่าเรี่ยวแรงเขาคงไม่เบา แล้วจะพลั้งมือได้อย่างไร?”
เสิ่นเตี๋ยอยากเอ่ยบางสิ่งแต่กลับหยุดปากไว้ ได้แต่ยิ้มสู้บอกว่า “บ่าวเองก็มิทราบขอรับ”
แม้จะรู้สึกไม่ดีกับหลิวยิ้วเจ้าเอามากๆ แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจเอาเรื่องครั้งตนยังไม่แต่งเข้าบ้านไปสอบถามเอาความกับหลิวยิ้วเจ้า …อย่างไรเสียหากหลิวยิ้วเจ้าแสร้งทำด้วยประสงค์ร้าย เขาก็ต้องการทำร้ายเผยไค่ หากใช่เสิ่นจั้งเฟิง สาเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงได้รับบาดเจ็บก็ด้วยตนเองยื่นมือเข้าไปช่วยเอง
ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงขมวดคิ้วอยู่เป็นนาน และเอ่ยถามได้เพียงว่า “อาการที่มือของท่านพี่หนักหนามากหรือไม่? นับแต่ข้าแต่งเข้าบ้านมากลับไม่มีผู้ใดบอกกล่าวข้าเรื่องนี้ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแขนของท่านพี่บาดเจ็บ”
เสิ่นเตี๋ยรีบตอบไปว่า “ฮูหยินน้อยโปรดอย่างได้เป็นกังวลขอรับ แม้ชีพจรที่แขนคุณชายจะได้รับความกระทบกระเทือนจนบาดเจ็บ ทว่าสาเหตุที่ท่านแพทย์หลวงแนะนำว่าให้พักผ่อนสักระยะก็เพื่อป้องกันเหตุบังเอิญเท่านั้น หาได้ส่งผลกระทบใดต่อการเคลื่อนไหวต่างๆ ของคุณชายไม่ ฮูหยินน้อยจึงมองไม่ออกขอรับ” แล้วว่า “แหลนด้ามใหม่คาดว่าคงจวนจักส่งมาแล้วขอรับ คุณชายก็นัดเวลากับท่านแพทย์หลวงจี้เอาไว้แล้ว อีกวันสองวันก็จักเชิญท่านแพทย์หลวงจี้มาตรวจดูอาการขอรับ หากไม่มีปัญหาใด ก็จะกลับเป็นเหมือนก่อนนี้แล้วขอรับ”
“แพทย์หลวงจี้รึ?” หากนับไปแล้วผู้ที่เป็นได้ถึงแพทย์หลวงย่อมต้องมีความสามารถไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าถือกำเนิดในสกุลจี้ที่สืบทอดงานการแพทย์มานับร้อยปี เพียงแต่คราก่อนแพทย์หลวงจี้ผู้นี้มารักษาแม่เฒ่าเติ้งก็ยังรักษาไม่ดีเลย ท้ายสุดแล้วก็ยังต้องให้นางตวนมู่กลับไปบ้านฝั่งมารดาเพื่อเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นศิษย์ของจี้ชวี่ปิ้งมารักษา ตวนมู่ซินเหมี่ยวรักษาส่งเดชไปอย่างสบายอุรา…แต่แม่เฒ่าเติ้งกลับหายเสียนี่
นับแต่นั้นมาในใจเว่ยฉางอิ๋งจึงจัดแพทย์หลวงจี้ผู้นี้อยู่ในกลุ่มหมอชั้นสวะไปแล้ว…
แม้จะรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้หนักหนา ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์ชั้นเลิศก็สามารถรักษาได้ แต่นางก็ยังเป็นห่วงจนร้อนรน เมื่อได้ยินว่าเขานัดหมายกับแพทย์หลวงจี้ผู้นี้เอาไว้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจวางใจได้เลย และนางก็ไม่มีแก่ใจจะไปสอบถามเสิ่นเตี๋ยเรื่องอื่นอีก จึงให้เขากลับไปข้างหน้าแล้วให้คนไปเรียกนางหวงมาหา
ครั้งนั้น ด้วยเหตุที่เผยเหม่ยเหนียงมายกน้ำชาที่จวน แล้วพี่สะใภ้ทั้งสองไปยุยงฮูหยินซูให้จัดการหลานสะใภ้ ทำให้เว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องพลอยถูกด่าทอไปพร้อมกับพี่สะใภ้ด้วย นางกำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วนางหวงก็รีบเข้ามาพูดขณะที่นางยังโกรธอยู่ จึงถูกเว่ยฉางอิ๋งมองว่าเข้ามาสาดน้ำมันใส่ไฟ และนางก็ต่อว่าท่านอาไปยกใหญ่ …สองสามวันมานี้นางหวงจึงไม่ใคร่มาหานางนัก
คราวนี้ถูกเรียกตัวว่ามา นางก็คำนับตามปกติ และการคำนับหนนี้อดจะมีท่าทีโยนหินถามทางและระมัดระวังตัวไม่ได้ หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งไปทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิมาหนหนึ่ง จิตใจของนางก็กลับมาเป็นดังเดิม เวลานี้นึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าคราวก่อนทำรุนแรงกับท่านอาผู้นี้เกินไป อย่างไรก็เป็นคนที่ท่านย่ามอบให้มาทั้งยังจงรักภักดีเสมอมา การทำให้นางหวงเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัลนับเป็นเรื่องโง่เง่าจริงๆ
นางขอขมานางหวงไปด้วยท่าทางขัดเขิน และกำลังจะยกน้ำชาขออภัย …นางหวงย่อมไม่กล้ารับการยกน้ำชาของนาง และเอ่ยตำหนิตนเองนักหนาว่าไม่รู้จักคิด ไม่เข้าใจความรู้สึกของเว่ยฉางอิ๋งในเวลานั้น เมื่อสนทนากันไปดังนี้นายบ่าวทั้งสองจึงกลับมาดีดังเดิม เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจและเอ่ยเรื่องเสิ่นจั้งเฟิงแขนบาดเจ็บกับนาง “ท่านพี่ไปนัดกับแพทย์หลวงจี้ผู้นั้นเอาไว้เอง ข้าคิดว่าแม้แพทย์หลวงจี้ผู้นี้จะเป็นอาร่วมตระกูลของจี้ชวี่ปิ้ง แต่กลับหาใช้การได้ไม่ เกรงว่าแพทย์หลวงผู้นี้จะอาศัยชื่อเสียงของสกุลจี้เข้าสำนักแพทย์หลวงไปอย่างส่งเดชเสียกระมัง? คราก่อนไปรักษาท่านยายก็รักษาไม่หาย ยังต้องให้คุณหนูแปดตวนมู่ยื่นมือเข้ามาช่วย เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเสิ่นเตี๋ยพูดแล้วรู้สึกไม่วางใจเลยจริงๆ อีกประเดี๋ยวเมื่อท่านพี่ตื่นแล้ว อย่างไรท่านอาก็ช่วยดูให้สักหน่อยเถิด”
นางหวงได้ยินแล้วกลับยิ่งดูเป็นกังวลเสียยิ่งกว่านาง “คุณชายยังหนุ่ม ร่างกายของคุณชายนั้นสำคัญเสียยิ่งกว่าสำคัญ ไม่อาจวางใจได้เลยแม้แต่น้อย! ต้องขอให้ฮูหยินน้อยเรียนกับคุณชายก่อนว่าให้ผลัดทางแพทย์หลวงจี้ผู้นั้นไปก่อน วันพรุ่งข้าน้อยจะไปคราวะทางท่านหมอเทวดาจี้ จักต้องขอให้ท่านหมอเทวดาจี้รับปากมารักษาคุณชายให้จงได้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งถูกนางทำให้ตกใจยกใหญ่ “ท่านหมอเทวดาจี้?” แม้นางจะไม่เชื่อถือแพทย์หลวงจี้ แต่เมื่อคิดถึงว่าเสิ่นเตี๋ยย้ำนักย้ำหนาว่าอาการบาดเจ็บที่แขนของเสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้หนักหนาเท่าใด เหตุที่พักฟื้นสองสามเดือนก็เพียงเพื่อคอยระวังไม่ให้มีเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น จึงคิดว่าให้นางหวงดูสักหน่อยหากไม่เป็นไรก็เป็นพอแล้ว แต่กลับไม่คิดว่าพอนางหวงเอ่ยปากก็จะไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาตรวจรักษา นางจึงเกิดตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ท่านอา หรือว่าอาการบาดเจ็บของท่านพี่…?”
นางหวงรีบปลอบนาง “ข้าน้อยยังมิทันดูอาการบาดเจ็บของคุณชายเลยเจ้าค่ะ แล้วจะรู้ว่าหนักเบาที่ใดกัน? ยิ่งไปกว่านั้นนับแต่ฮูหยินแต่งเข้าบ้านมา คนทั้งบ้านตระกูลเสิ่นล้วนไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณชายเองก็เคลื่อนไหวอย่างปกติ ดูท่าว่าคงจะไม่หนักหนาจริงๆ เจ้าค่ะ”
แล้วอธิบายว่า “เพียงแต่ ประการแรกข้าน้อยร่ำเรียนกับท่านหมอเทวดาจี้ โดยมากแล้วเพื่อใช้ในเรือนหลัง เรื่องถูกพิษและอาการบาดเจ็บภายใน ข้าน้อยยอมรับว่าพอจะรู้อยู่บ้าง ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บภายนอกนั้นข้าน้อยกลับไม่มั่นใจเลย!”
นางร่ำเรียนวิชาแพทย์กับจี้ชวี่ปิ้ง แรกเริ่มนั้นก็เพื่อดูแลเว่ยเจิ้งหง ภายหลังเพื่อคอยช่วยเหลือเว่ยฉางอิ๋ง… โดยปกติแล้วสองพ่อลูกคู่นี้ล้วนไม่มีโอกาสจะได้รับบาดเจ็บภายนอก นางหวงย่อมไม่ชำนาญการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก
ยิ่งไปกว่านั้น “คุณชายก็ยังเป็นสามีของฮูหยินน้อยด้วย สุขภาพของคุณชายย่อมสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ ต้องยอมคิดให้ใหญ่โตเอาไว้เสียก่อน แต่จะไม่ยอมประมาทโดยเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
ในยุคสมัยที่เหล่าตระกูลเลื่องชื่อล้วนให้ความสำคัญว่าสตรีไม่มีสามีคนที่สองเช่นนี้ ไม่ว่าสามีเป็นคนเจ้าอารมณ์ สามีไม่ได้ความ สามีมัวเมากามรมย์ หรือต่อให้สามีจะหลงอนุจนมาทำร้ายภรรยาก็ล้วนแต่สามารถหาทางออกได้ ทว่าหากสามีตายแล้ว ผู้ที่เป็นอนุยังคาดหวังว่าจะถูกยกให้คนอื่นหรือไม่ก็กลับบ้านไปและแต่งงานใหม่ ส่วนคนที่เป็นภรรยานั้นกลับมีเพียงต้องเป็นม่ายทางเดียว!
ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งแต่งกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ก็จะมีสามีผู้นี้ได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น… แล้วจะให้ร่างกายของเสิ่นจั้งเฟิงไม่ดีอย่างไร?! เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน นางหวงจึงได้เป็นกังวลแทบตายเสียยิ่งกว่าฮูหยินซูเสียอีก!
______________________________
[1] ค้อนปาเป่าดอกเหมย เป็นอาวุธสั้น มีด้ามจับไม่ยาวนัก ปลายเป็นตุ้มกลมๆ บางครั้งอาจมีหนามแหลมด้วย