ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 89 หนีเวยอี
เช้าตรู่วันต่อมา นางหวงช่วยดูแลเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำทำผม เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้ว่าความคิดที่ว่า “พวกเรามีท่านเขยเพียงผู้เดียว หากเกิดเรื่องกับร่างกายของท่านเขย ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่ดี” นี้ เป็นนางหวงที่เอามาใส่สมองของเว่ยฉางอิ๋งเอง เสิ่นจั้งเฟิงจึงยังคิดจะลองขัดขวางเรื่องนี้ดูอีกสักครั้ง อยากจะบอกกับนางหวงว่าตนเองหายจากบาดเจ็บเสียตั้งนานแล้ว ยังต้องลำบากให้นางหวงวิ่งไปรบกวนจี้ชวี่ปิ้งอีก เป็นเรื่องที่เกินไปหน่อยหรือไม่
ดังนั้นนางหวงจึงเกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้ให้เว่ยฉางอิ๋งไปพลาง และกล่าวเตือนเสิ่นจั้งเฟิงไปอย่างจริงจังและเดือดเนื้อร้อนใจ ใจความก็มี “คุณชายบอกว่าเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็รักษาหายดีแล้ว ข้าน้อยย่อมไม่กล้าเคลือบแคลงในตัวคุณชาย เพียงแต่คุณชายเองก็ไม่ใช่หมอ ใช่หรือไม่?” “ท่านหมอเทวดาจี้ก็ไม่ได้อยู่ในป่าเขาลึกลับแต่อย่างใด และอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณชายไปที่เรือนของท่านหมอเทวดาจี้ หรือจะเชิญท่านหมอเทวดาจี้มารอที่เรือนก็ล้วนสะดวกสบายยิ่ง แล้วไยคุณชายต้องปฏิเสธความหวังดีของฮูหยินน้อยด้วย?” “ฮูหยินน้อยล้วนทำเพื่อคุณชาย นี่เป็นความตั้งใจทุ่มเทของฮูหยินน้อยเชียวนนะเจ้าคะ!”…
นางพูดเสียจนเสิ่นจั้งเฟิงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อคิดไม่ออกว่าจะหลบพ้นเรื่องคราวนี้ไปได้อย่างไร จึงได้ออกนอกบ้านคล้ายเป็นการหนีไปด้วยในตัว
รอจนเขาไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เอ่ยกับนางหวงว่า “วานนี้ท่านพี่บอกว่าท่านหมอเทวดาจี้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเหลือเกิน หากพวกเราเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาตรวจอาการบาดเจ็บให้ท่านพี่ ภายหลังผู้คนจะต้องรู้ไปทั่ว ถึงยามนั้นก็เกรงจะมีคนเยาะท่านพี่ว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
นางหวงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ฮูหยินน้อยไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้น ทั่วเมืองหลวงนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาตรวจดูอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยได้? ก็มิใช่เพราะพวกเขาริษยา!” แล้วว่า “เพราะคุณชายของเราไม่อยากต้องยุ่งยากลำบากจึงได้พูดไปเช่นนี้ คุณชายเป็นคนใจกว้าง จักเป็นคนกลัวคำคนที่ใดกัน? อย่างไรก็ตามแค่คำครหานินทาไม่กี่คำหรือจะเทียบกับสุขภาพของคุณชายได้เจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงมิใช่คนมีนิสัยเกรงกลัวต่อคำครหานินทา ทว่าเมื่อมาหาแม่สามีก็ยังต้องอธิบายสาเหตุให้นางฟังสักหน่อย “ตามหลักแล้วสะใภ้ไม่ควรรู้ทั้งรู้ว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ท่านพี่เดือดร้อนแต่ก็ยังยืนยันจะทำ เพียงแต่จะว่าไปแล้วล้วนเป็นเพราะสะใภ้ไม่ดี แต่งเข้าบ้านมาสองเดือนแล้ว กลับไม่เคยรู้เลยว่าท่านพี่มีอาการบาดเจ็บ ส่วนทางแพทย์หลวงจี้นั้น ท่านแม่โปรดให้สะใภ้ได้พูดตามสัตย์สักคำ สะใภ้คิดว่าอาการป่วยของท่านยายเมื่อคราวก่อนเขาก็ยังรักษาไม่หาย ภายหลังยังต้องไปเชิญคุณหนูแปดตวนมู่ ให้คุณหนูแปดไปขอคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดาจี้… แพทย์หลวงจี้ผู้นี้สะใภ้ก็ไม่เคยได้พบมาก่อน ไม่กล้าบอกว่าเขาไม่ดี แต่คิดว่าในเมื่อท่านหมอเทวดาจี้ถูกขนานนามว่าหมอเทวดาอย่างไรเชิญเขามาตรวจดูสักหน่อยจักได้วางใจเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูเป็นแม่แท้ๆ ของเสิ่นจั้งเฟิง ย่อมปรารถนาใจจะขาดให้สะใภ้ใส่ใจกับบุตรชายของตน ยิ่งมากเท่าใดยิ่งดี… อีกประการเรื่องอาการบาดเจ็บเล็กน้อยแต่กลับทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่นี้ก็เป็นนางที่เริ่มมาเองแต่ต้น วันนี้หากเว่ยฉางอิ๋งรู้แล้วแต่กลับไม่ไยดีใดๆ ฮูหยินซูจึงจะไม่สบายใจเสียอีก!
เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ฮูหยินซูจึงพึงพอใจนักหนา แล้วปลอบโยนนางไปด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “คนข้างนอกพวกนั้นปากเปราะ ก็เพียงแค่อิจฉาเราเท่านั้น”
คำพูดของแม่สามีเหมือนกับที่นางหวงพูดไม่มีผิดเพี้ยน “บ้านภรรยาของพวกเขาไม่มีไมตรีอันดีกับท่านหมอเทวดาจี้ ไม่สามารถเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาได้ เมื่อเห็นเฟิงเอ๋อร์มีภรรยาแสนดีคอยห่วงใจ จึงรู้สึกไม่พอใจ พวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาพูดคำค่อนแคะสักคำสองคำ เมื่อเรามิได้รู้สึกรู้สาใดๆ แล้วจะเป็นไร?
เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา “สะใภ้เลินเล่อนัก จะกล้าเรียกว่า ‘แสนดี’ ได้ที่ใดกันเจ้าคะ?”
ฮูหยินซูยิ้มพลางว่า “เจ้าเองก็อย่าได้ถ่อมตัวเกินไปเลย อาการบาดเจ็บของเฟิงเอ๋อร์นั้น จะว่าหนักก็ไม่หนักหรอก เขาเป็นผู้ชาย จึงอดจะชอบทำเป็นแข็งแรงสักหน่อยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านมานานเท่าใดกัน? แล้วเขาก็ไม่เคยแสดงอาการต่อหน้าเจ้า เมื่อไม่มีคนบอกเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ได้ที่ใด”
เมื่อได้ยินว่านางหวงไปที่จวนของจี้ชวี่ปิ้งแล้ว วันนี้ก็จะได้รู้ข่าว ฮูหยินซูจึงเอ่ยอีกว่า “เรื่องนิสัยใจคอของท่านหมอเทวดาข้าก็พอได้ยินมาบ้าง หากไม่ยอมออกมารักษาให้ ก็ให้เฟิงเอ๋อร์ลางานหนึ่งวันไปหาเขาเป็นพอแล้ว”
และเป็นดังที่ฮูหยินซูว่าจริงๆ หลังเที่ยงเมื่อนางหวงกลับมา บอกว่า “ท่านหมอเทวดาจี้กำลังฝึกสมาธิ ไม่อยากออกนอกบ้าน จึงขอให้คุณชายไปหาเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “ท่านแม่ก็บอกแล้วว่าวันพรุ่งให้ท่านพี่ลางาน”
วันนั้นเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเลิกงานกลับมา ยิ่งคิดไปก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยใดๆ แต่กลับต้องไปให้แพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลมาตรวจรักษาก็รู้สึกว่าน่าตลกเกินไป แต่เพราะเกลี่ยกล่อมเว่ยฉางอิ๋งไม่สำเร็จทั้งไม่ได้แรงสนับสนุนจากนางหวง เขาจึงไปหาฮูหยินซูที่เรือนหลัก วางแผนจะใช้มารดามายับยั้งเว่ยฉางอิ๋ง
ปรากฏว่ากลับถูกฮูหยินซูไล่ด่ากลับมา “เจ้ามีภรรยาแสนดีที่อุตส่าห์วางเจ้าไว้บนยอดดวงใจเพียงนี้แล้ว! บาดเจ็บเมื่อครึ่งปีก่อนแล้วจะอย่างไร? บาดเจ็บมาเมื่อครึ่งปีก่อนภรรยาของเจ้าก็ยังจะเป็นห่วงเจ้าเช่นนี้ อุตส่าห์ใช้สัมพันธภาพอันดีของบ้านฝั่งมารดาไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมา… เจ้าว่าทั่วเมืองหลวงนี้มีสักกี่คนที่จะเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ได้? ก่อนนี้ท่านยายเจ้าป่วยหนักเพียงนั้น จี้ชวี่ปิ้งยังไม่ยอมรับปากมาเลย! หากมิใช่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเขยตระกูลเว่ย เจ้าว่าเขาจะยินดีเอาความรู้มากมายของเขามาใช้เพียงเล็กน้อยรึ?! หากเจ้ายังไม่รู้จักยินดี เกรงว่าจี้ชวี่ปิ้งจะยิ่งไม่ยินดีมากกว่าเจ้าร้อยเท่า! คราก่อนภรรยาเจ้าทำผิด เข้าต่อว่านางไปสองสามคำ เจ้าก็กลับรีบมาปกป้องนาง วิ่งมาสอบถามความผิดนางเอากับข้าด้วยตัวเอง! ข้ายังนึกว่าเจ้ารักใคร่ภรรยานัก! ยามนี้ภรรยาดีต่อเจ้า เจ้ากลับไม่ยอมใจเสียแล้ว?! แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่! รึว่าจะปกป้องภรรยาเอาไว้ให้เจ้ารังแกได้ผู้เดียว แต่ไม่ให้ข้าที่เป็นแม่สามีสอนสั่งบ้าง?!”
เสิ่นจั้งเฟิงขอขมามารดาด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียดอยู่เป็นนานจึงปลีกตัวออกมาได้ เมื่อกลับมาถึงเรือนจินถง…เว่ยฉางอิ๋งได้รับข่าวจากหม่านโหลวสาวใช้สาวของฮูหยินซูที่ให้สาวใช้ตัวน้อยมาเล่าความอย่างละเอียดให้ฟังแล้ว นายบ่าวสองสามคนพากันปิดประตูหัวเราะกันอยู่เป็นนาน เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาแล้ว จึงรีบกำชับกันว่าห้ามหัวเราะอีก แล้วเช็ดน้ำตาที่หางตา ทำทีไม่มีเรื่องใดและออกไปต้อนรับเขา
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เว่ยฉางอิ๋งก็ทำทีเอ่ยอย่างขึงขังว่า “ท่านแม่บอกว่า วันพรุ่งให้เจ้าลางานไปหาท่านหมอเทวดาจี้”
เสิ่นจั้งเฟิงดิ้นรนคัดค้านหลายหนแต่ล้วนถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไย เวลานี้จึงทำได้เพียงถอนหายใจ กล่าวว่า “ตกลง”
เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มพลางว่า “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“เจ้าต้องไปกับข้าอยู่แล้ว” ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงรู้ว่าไม่อาจไม่ไปได้ จึงเลิกคิดให้มากความ แล้วมากระเซ้าภรรยาว่า “ท่านหมอเทวดาเห็นแก่ที่ข้าเป็นเขยตระกูลเว่ยจึงยอมเอาวิชายิ่งใหญ่มาใช้เพียงเล็กน้อยกับข้า แล้วหากคุณหนูตระกูลเว่ยเช่นเจ้าไม่ไป ก็เกรงว่าท่านหมอเทวดาจะไม่รู้จักข้า แล้วไม่ให้ข้าเข้าไป ก็มิใช่เสียเวลาเดินทางไปเปล่ารึ?”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ใช่ๆๆ รู้ว่าเจ้าไม่ยินยอม แต่เวลานี้ก็เพียงให้ท่านหมอเทวดาจี้ตรวจดูสักหน่อย…. ขอเพียงท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าเจ้าไม่เป็นไร พวกเราทุกคนที่นี่ก็จะได้วางใจ ไม่ดีรึ?”
เสิ่นจั้งเฟิงอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “หากข้าไม่ไปก็จะยิ่งวางใจนัก ไปแล้วจึงจะไม่อาจวางใจ! จนใจที่หากข้าไม่ไป พวกเจ้าก็จะไม่วางใจ ยามนี้เพื่อให้พวกเจ้าวางใจข้าจึงมีแต่ต้องไปสถานเดียวแล้ว”
“พูดราวกับว่าเจ้าถูกรังแกเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งคีบผักให้เขา ยิ้มพลางว่า “อ่ะๆๆ กินผักสักหน่อย อย่าไปคิดว่าถูกรังแกเลย”
เสิ่นจั้งเฟิงกินผักแล้ว ขยับเข้ามากระซิบข้างหูนางว่า “หากกลางคืนเจ้ายอมเชื่อฟังแต่โดยดี เช่นนั้นข้าก็จะไม่รู้สึกว่าถูกรังแกแล้ว”
“ให้ข้าตีจนเจ้าเชื่อฟังแต่โดยดีนะสิ!” เว่ยฉางอิ๋งตีเขาหนหนึ่งพลางว่า
“หากอยู่บนตั่ง ข้าไม่ต้องถูกตีก็จะเชื่อฟังยิ่ง!”
“กินไปๆๆ” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงและเอ็ดเขา “กินข้าวของเจ้าไป!”
วันรุ่งขึ้นเสิ่นจั้งเฟิงให้เสิ่นเตี๋ยไปลางานให้ตน แล้วเดินทางไปยังคฤหาสน์ของจี้ชวี่ปิ้งในเฉิงตงกับเว่ยฉางอิ๋งและพวกของนางหวง ทั้งตระเตรียมของกำนัลไปด้วย
สมกับเป็นแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเล ความโอ่อ่าและอึกทึกของที่ที่เขาอยู่ไม่อาจเทียบได้กับบ้านหรูหราของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ หากแต่กลับเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
คฤหาสน์จี้อยู่ในตรอกกว้างแต่กลับเงียบสงบตรอกหนึ่ง ตลอดทางปูพื้นด้วยอิฐหินครามจนราบเรียบ สองข้างทางปลูกดอกไม้ที่ไม่ใช้พื้นที่มากนัก ตลอดทางในตรอกนี้มีบ้านคนอยู่เพียงไม่กี่หลัง บ้านเรือนทุกหลังล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย เหนือกำแพงบ้านเผยให้เห็นกิ่งหลิวและต้นดอกอวี้หลาน
คฤหาสน์จี้อยู่ท้ายสุดของตรอก ประตูบ้านเหมือนกับบ้านอื่นๆ ในตรอก และไม่มีป้ายชื่อใดๆ บันไดหินสามขั้นสะอาดสะอ้านนัก จะต้องมีคนเอาไม้กวาดซี่ละเอียดมากวาดตั้งแต่เช้าแล้ว ภายในกำแพงบ้านปลูกดอกรุ่งอรุณซึ่งย้อยผ่านบนกำแพงจนออกมาข้างนอกกำแพง ประตูปิดสนิท เมื่อนางหวงลงจากรถก็จัดแจ้งเสื้อผ้าแล้วเข้าไปเคาะประตู ไม่นานนักก็มีเสียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ร้องถามออกมาจากข้างในประตูว่า “ผู้ใดน่ะ?”
ใบหน้าของนางหวงพลันมีรอยยิ้มออกมา แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เวยเวย คุณชายและฮูหยินน้อยมาแล้ว รีบเปิดประตูเร็ว!”
เมื่อเปิดประตู ก็เห็นว่าหลังประตูมีเด็กหญิงอายุราวห้าหกขวบยืนอยู่ หน้าตากลับคล้ายกับนางหวงมาก เฉพาะเค้าหน้าก็เหมือนไปถึงแปดส่วน ส่วนดวงตานั้นเหมือนกับนางหวงไม่มีผิด แต่เด็กน้อยคนนี้กลับงดงามเสียยิ่งกว่านางหวง เรียกได้ว่าเป็นคนสวยตัวน้อยเลยทีเดียว
นางเปิดประตูแล้วยิ้มหวานๆ ให้นางหวงก่อน เมื่อเห็นนางหวงมองมาด้วยสายตาแห่งความรักหนหนึ่ง จึงวิ่งออกจากประตูมา แล้วคารวะเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งลงรถมา “เวยอี คารวะคุณชายและฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งบอกนางว่าไม่ต้องมากพิธี แต่ก็อดประหลาดใจที่นางหน้าตาเหมือนนางหวงมากไม่ได้ จึงถามไปว่า “ท่านอาหวง นี่คือ?”
“เป็นโอกาสดีจะแจ้งแก่ฮูหยินน้อยให้ทราบ นี่เป็นหลานสาวคนโตของข้าน้อยหนีเวยอีเจ้าค่ะ” นางหวงหันไปแอบกระพริบตาให้นาง พลางยิ้มแล้วว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ไม่ชอบบ่าวที่ไม่คุ้นเคย ข้าน้อยจึงให้ครอบครัวของหนีทาวบุตรชายคนรองมาคอยปรนนิบัติท่านหมอเทวดาเจ้าค่ะ แต่เวยเวยกลับเป็นหลานสาวคนโตของข้าน้อย เพราะบุตรชายคนโตคอยดูแลปัดกวาดร้านขายของซึ่งเป็นสมบัติติดตัวของฮูหยินน้อย และอาศัยอยู่ที่ข้างหลังร้าน ที่นั่นมีคนมากพูดจากันไม่ดี เกรงว่าจะสอนให้นางเสียคน คิดว่าท่านหมอเทวดาทางนี้ก็ยังขาดสาวใช้ตัวน้อยไว้คอยเปิดประตูต้อนรับ จึงให้เรียกนางมาทำงานที่นี่เจ้าค่ะ”
“โอ้…” เว่ยฉางอิ๋งงงงันไปพักหนึ่งจึงเข้าใจว่าเหตุใดทั้งสองครั้งที่นางหวงมาขอพบจี้ชวี่ปิ้งจึงมิได้มีความยากลำบากแต่อย่างใด ก่อนนี้เคยได้ยินว่าต่อให้ตายจี้ชวี่ปิ้งก็ไม่ยอมก้มหัวให้คนใหญ่คนโต จึงคิดว่าท่านหมอเทวดาผู้นี้จะต้องขอพบยากเป็นแน่ ยังนึกว่านางหวงมีโชคดีไม่เลว ที่แท้ก็เพราะส่งทั้งบุตรชาย สะใภ้และหลานสาวของนางมาอยู่ในคฤหาสน์ของจี้ชวี่ปิ้งนี่เอง!
คาดว่าลูกชายและสะใภ้ของนางหวงก็จะต้องไม่ยอมรับเงินค่าแรงจากจี้ชวี่ปิ้งด้วย และจะต้องคอยดูแลอย่างกระตือรือร้น เมื่อจี้ชวี่ปิ้งใช้บ่าวซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางหวง ทั้งยังเคยสอนสั่งนางหวงมาก่อน แล้วยังจะไม่สนใจไยดีกับคำขอที่ไม่มากมายเกินไปของนางหวงได้หรือ… จี้ชวี่ปิ้งเป็นคนมีนิสัยประหลาด ทว่าก็มิใช่คนหน้าหนาไร้ยางอาย อย่างไรเขาก็คือหมอเทวดาที่ชื่อว่าจี้ชวี่ปิ้ง ไม่ใช่จี้หน่ายเจิง…
เว่ยฉางอิ๋งแอบชื่นชมความเก่งกาจของนางหวง ด้วยฝีมือแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้ง คงมีคนจำนวนมากที่อยากจะมาเป็นบ่าวเพื่อจะได้สร้างน้ำใจไมตรีต่อกั้น ยิ่งไม่ต้องบอกว่าตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ ย่อมไม่ขาดเหลือบ่าวไพร่ ขอเพียงจี้ชวี่ปิ้งเอ่ยปาก เกรงว่าแม้แต่ผู้สูงศักดิ์ในวังก็คงจะมอบบ่าวไพร่ให้เขาสองสามคนโดยไม่ต้องสนใจใดๆ เลย… ทว่างานนี้กลับให้นางหวงไปทำเสียแล้ว
บุตรชายทั้งสองคนของนางหวงนี้ บุตรชายคนโตเป็นคนดูแลร้านขายของซึ่งเป็นสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋ง เพราะนางหวงเขาจึงอยู่เหนือตำแหน่งพ่อบ้านขึ้นมาขั้นหนึ่ง บุตรชายคนเล็กก็ถูกนางให้มาอยู่กับจี้ชวี่ปิ้งที่นี่ นอกจากจะสามารถสร้างไมตรีอันดีกับจี้ชวี่ปิ้งแล้วยังสามารถได้เรียนรู้จากแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลผู้นี้สักหน่อยด้วย…หลังจากเป็นบ่าวติดตามของแม่เฒ่าซ่งแล้ว นางก็แต่งงานกับสามีที่มีฐานะเท่าเทียมกัน ทุกคนในครอบครัวนางหวงล้วนลงหลักปักฐานทำงานให้แม่เฒ่าซ่ง
ส่วนที่นางหวงผูกมัดจิตใจจี้ชวี่ปิ้งเอาไว้ ก็เท่ากับเป็นการทำให้ชีวิตและเลือดเนื้อของแม่เฒ่าซ่งได้กระจ่างสดใสยิ่งขึ้น ซึ่งก็หมายถึง เว่ยเจิ้งหง นั่นเอง
ในเมื่อเวลานี้คนทั้งบ้านล้วนถูกส่งให้มาเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋ง และเว่ยฉางอิ๋งก็เป็นบุตรสาวของเว่ยเจิ้งหง แล้วจะไม่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเว่ยเจิ้งหงได้หรือ? ก่อนนี้ตระกูลเว่ยเคยหาแพทย์หายามาให้บุตรชายคนโตผู้นี้มาหลายสิบปี จึงเป็นการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่านอกจากจี้ชวี่ปิ้งแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถรักษาเว่ยเจิ้งหงได้!
เมื่อมองจากมุมของคนเป็นบ่าว ตัวนางหวงเองไม่เพียงเป็นคนที่แม่เฒ่าซ่งเชื่อถืออย่างมาก นางเป็นคนมีความสามารถที่ถูกส่งตัวมาเป็นท่านอาติดตามหลานสาวแท้ๆ โดยเฉพาะ แล้วนางจะไม่มีปัญญาเตรียมอนาคตดีๆ เอาไว้ให้บุตรชายทั้งสองของนางหรือ
และเรื่องที่นางวางแผนไว้นี้ก็ทำให้เห็นชัดแจ้ง ทำอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นแม่เฒ่าซ่งหรือว่าเว่ยฉางอิ๋งล้วนไม่รังเกียจที่นางทำเช่นนี้
เพราะอย่างไรก็ตาม ทั้งแม่เฒ่าซ่งและเว่ยฉางอิ๋งล้วนไม่ได้เสียประโยชน์ กระทั่งยังได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย
เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางหวงมองตนเองอย่างค่อนข้างจะขลาดกลัวและหวั่นใจ คล้ายเป็นกังวลว่าจะทำให้โมโหเพราะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับตนมาก่อน นางจึงอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวหนีเวยอี เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอาหวงเรียกนางว่าเวยเวย? แม่นางตัวน้อยหน้าตางดงามนัก เหมือนดอกกุหลาบดอกหนึ่งดังชื่อนางจริงๆ!” หากนางหวงปิดบังเรื่องนี้กับนางมาโดยตลอด แล้วนางเป็นคนมาพบเอง ย่อมต้องเคลือบแคลงว่านางหวงอาจมีแผนการใดอื่น แต่ยามนี้นางหวงเป็นคนพาพวกตนสามีภรรยามาเอง ทั้งยังให้หลานสาวมาเปิดประตู เห็นชัดว่านางไม่ได้คิดจะทำการร้ายกับตน เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากจะหมางใจกับท่านอาคนสนิทอีกครั้งเร็วขนาดนี้ จึงเพียงแต่ยิ้มให้ และรอให้นางหวงมาอธิบายกับตนในภายหลัง
ไม่คิดว่าเมื่อหนีเวยอีเงยหน้าขึ้นมาก็ทำปากจู๋กล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อย ที่ท่านย่าเรียกนั่นคือคำว่า ‘เวย’ ที่แปลว่าบอบบาง ไม่ใช่ ‘เวย’ ที่แปลว่าดอกกุหลาบเจ้าค่ะ!”
“เอ๋?” เว่ยฉางอิ๋งกำลังสงสัย หรือว่านางจะชื่อว่า หนีเวยอี ที่ ‘เวย’ แปลว่าบอบบาง? แล้วก็ได้ยินนางหวงหัวเราะพลางดุไปว่า “ก็มิใช่เพราะเจ้าเขียนตัวอักษรผิด?” แล้วอธิบายว่า “เวลานางเขียนชื่อก็มักจะลืมเขียนตัวหญ้าเอาไว้ข้างบน คนทั้งบ้านจึงเรียกนางว่าเวยเวย ที่แปลว่าบอบบางเสียเลยเจ้าค่ะ”
“ยามนี้ข้าจำได้แล้ว” หนีเวยอีเอ่ยอย่างน้อยใจ
เห็นชัดว่าด้วยสาเหตุนี้เองนางหวงจึงยังไม่มีท่าทีจะตั้งชื่อจริงๆ ให้นาง พักการทักทายปราศรัยของนางเอาไว้ก่อน แล้วว่า “คุณชายและฮูหยินน้อยเข้าไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ วานนี้ท่านหมอเทวดาบอกเอาไว้แล้ว ว่าเมื่อคุณชายและฮูหยินน้อยมาก็ให้เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ”
_______________________________________