ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 9 แผนการของเสิ่นจั้งหนิง
ทั้งสองคนกำลังดึงๆ ทึ้งๆ กันพัลวัน พลันมีเสียงคนเรียกมาจากภายนอก จากนั้นก็ได้ยินนางว่านกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูสี่ เหตุใดจึงพาคุณหนูหลานที่สี่มาเล่าเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง พูดเสียงเบาไปว่า “จั้งหนิงกับซูเหยียน?”
ปรากฏว่าจากนั้นก็ได้ยินเสียงของเสิ่นจั้งหนิงพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่ชายสามและพี่สะใภ้สามเล่า? ข้าพาซูเหยียนมาเล่นด้วย”
เมื่อเรื่องดีๆ ถูกน้องสาวรบกวน เสิ่นจั้งเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงว่า “ท่านอาว่านจะไล่พวกนางไปเอง”
ยังมิทันสิ้นเสียง นางว่านที่อยู่ข้างนอกก็เริ่มไล่คนขึ้นมาจริงๆ “คุณชายสามและฮูหยินน้อยสามเพิ่งจะแต่งงานใหม่ ยามนี้เรือนจินถงแห่งนี้ก็ยังมิได้จัดเก็บเรียบร้อย มีเรื่องที่ต้องวุ่นวายกันอีกมากเจ้าค่ะ คุณหนูสี่มิสู้พาคุณหนูหลานที่สี่ไปเล่นในสวนดีหรือไม่เจ้าคะ?”
แต่เสิ่นจั้งหนิงกลับไม่ยินยอม กล่าวว่า “ข้าพาซูเหยียนมาพูดคุยกับพี่สะใภ้สาม…พี่สะใภ้สามเล่า?”
ฮูหยินน้อยสามเสื้อผ้าเปราะเปื้อนน้ำชาและเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่คุณชายสามที่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยดีอยู่แท้ๆ ก็ยังตามเข้าไป… ไม่นานก็ให้สาวใช้ที่ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา จนยามนี้สองสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันก็อยู่ด้วยกันเพียงลำพังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพียงคิดก็รู้ว่าไม่สะดวกให้รบกวน
แต่คุณหนูสี่ผู้นี้ยังเล็กนักไม่รู้ความ ทั้งนางยังเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ ไม่รู้จักดูสีหน้าคนอื่นแม้แต่น้อย นางว่านกล่าวเตือนนางอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ฮูหยินน้อยกำลังยุ่งเจ้าค่ะ วันนี้ทั้งเข้าคารวะผู้ใหญ่และต้องทำความรู้จักกับบ่าวไพร่ จนยามนี้จึงเพิ่งมีเวลาได้พัก หากคุณหนูสี่จะมาคุยกับฮูหยินน้อย อีกสองวันค่อยมาเถิดเจ้าค่ะ!”
“ก็ข้ามาแล้วนี่” เสิ่นจั้งหนิ่งยังคงมีลูกไม้ “อีกอย่างท่านอาว่านรู้ได้อย่างไรว่าพี่สะใภ้สามไม่อยากพบข้า? เข้าจะไปรายงานพี่สะใภ้สาม!”
ภายในห้อง เสิ่นจั้งเฟิงกุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “จั้งหนิงถูกตามใจจนเสียคนแล้วจริงๆ เอาแต่ก่อเรื่อง!” เขาเพิ่งจะแต่งงานวันที่สอง คนทั้งบ้านต่างรู้กันในทีว่าจะไม่มารบกวน แต่น้องสาวที่มีนิสัยเอาแต่ใจมาแต่เล็กผู้นี้กลับมาหาโดยไม่สนใจเรื่องใด ได้ยินเสียงว่านางว่านก็ยังแทบจะกันนางไว้ไม่ได้แล้ว
เสิ่นจั้งเฟิงอดจะคับแค้นใจไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งกลับหัวเราะออกมา พลางผลักเขาอย่างได้ใจว่า “เจ้ายังไม่รีบปล่อยข้าอีก?”
“มีหรือจะง่ายปานนั้น?” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินกลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วว่า “ดีชั่วท่านอาทั้งสามก็อยู่ข้างนอก ทั้งยังมีสาวใช้อีก จั้งหนิงจะยังบุกเขามาได้หรือ?” เขาเอื้อมมือไปหยิกแก้มของภรรยา “นอกจากเจ้าจูบข้าสักสองสามหน หาไม่แล้วต่อให้จั้งหนิงโวยวายอยู่ข้างนอกอย่างไร เจ้าก็อย่าหวังได้ออกไปทักทายนางเชียว!”
“…เจ้าไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะเอาหรือไร!” เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาและกัดฟันอยู่พักหนึ่ง พลางกล่าวอย่างมีน้ำโห
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ไม่กลัว ดีชั่วอย่างไรก็เป็นเราสองคนถูกหัวเราะเยาะด้วยกัน! มีอิ๋งเอ๋อร์อยู่ด้วยกับสามี สามีต้องกังวลสิ่งใด?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบ
คราวนี้ข้างนอกคล้ายว่านางว่านจะพูดบางสิ่งที่ทำให้เสิ่นจั้งหนิงไม่พอใจขึ้นมา “ไม่สน ไม่สน ไม่สน! ข้าจะพบพี่สะใภ้สาม! เมื่อวานพี่สะใภ้สามยังบอกว่ากลัวจะเชิญข้ามาไม่ได้เลย! ยามนี้ข้ามาแล้ว พี่สะใภ้สามกลับไม่ออกมา นี่มันเป็นเหตุผลใดกัน? หรือว่าจะเป็นดังพี่สะใภ้รองพูดเช่นนั้น ว่าความจริงแล้วพี่สะใภ้สามไม่ชอบข้า?! คำพูดเมื่อวานเพียงจงใจหลอกข้าเท่านั้น?”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งยังแง่งอนกับเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ เมื่อได้ยินคำสีหน้าก็พลันเปลี่ยน เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วถามว่า “พี่สะใภ้รองเคยพูดเช่นนี้รึ?”
“เมื่อคืนหลังเจ้าออกไป พี่สะใภ้รองพูดล้อเล่นสองสามประโยค ไม่คิดว่าจั้งหนิงกลับจดจำเอาไว้เสียแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งจัดเครื่องประดับทองบนม้วยผม กล่าวพลางมองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงว่า “เจ้าคงจักรู้ว่าข้าไปล่วงเกินพี่สะใภ้รองที่ใด?”
เสิ่นจั้งเฟิงไต่ตรองสักพักแล้วว่า “เจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา แล้วจักไปล่วงเกินพี่สะใภ้รองเรื่องใดได้? ข้าคิดว่าบางทีอาจมีคนจงใจยุยง…ไป พวกเราออกไปถามจั้งหนิงดู”
เมื่อเห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ออกมา เสิ่นจ้งหนิงที่เดิมทียังเอะอะอยู่ข้างนอกก็พลันกระทืบเท้า ทิ้งพวกของนางว่านเอาไว้ แล้วปรี่เข้ามาโอดครวญว่า “พี่ชายสาม พี่สะใภ้สาม นี่พวกท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้ามาตั้งนานแล้ว ท่านอาว่านก็ไม่ยอมให้ข้าเข้าไป!”
“เสิ่นจั้งเฟิงมองนางพลางขมวดคิ้ว กล่าวว่า “พวกเรากำลังปรึกษากันว่าจะจัดเรือนนี้เช่นใด…ยามนี้เจ้ามาที่นี่ทำสิ่งใด?” แล้วมองไปยังเสิ่นซูเหยียนที่ถูกแม้นมกอดอยู่ในอก พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นว่า “ซูเหยียน เหตุใดเจ้าจึงถูกท่านอาหญิงสี่หลอกมาเสียแล้ว?”
เสิ่นซูเหยียนยังไม่ทันพูดสิ่งใด เสิ่นจั้งหนิงก็กล่าวอย่างน้อยใจไปว่า “พวกเรามาดูพี่สะใภ้สาม แล้วข้าก็นัดกับพี่สะใภ้สามเอาไว้แล้วด้วย!”
เว่ยฉางอิ๋งอยากจะกุมขมับ คิดในใจว่าเพียงคำพูดตามมารยาทประโยคหนึ่งเมื่อคืนนี้ ข้าไปนัดเจ้าให้มาหายามใด? เสิ่นจั้งเฟิงเข้าใจนิสัยเจ้าอารมณ์ของน้องสาวผู้นี้ยิ่ง จึงทอดถอนใจพลางว่า “เจ้าอย่าหาข้ออ้างส่งเดชเชียว! เข้าไปนั่งข้างในก่อน”
เมื่อนั่งลงแล้ว เสิ่นจั้งหนิงมองค้อนใส่เสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง เสิ่นซูเหยียนก็วิ่งเข้าไปหาเว่ยฉางอิ๋ง สาวน้อยนางนี้น่ารักนัก แม้มารดาของนางคล้ายจะไม่ชอบใจเว่ยฉางอิ๋งเท่าใด แต่เมื่อถูกดวงตากลมโตดังลูกองุ่นดำจ้องเอาจ้องเอา เว่ยฉางอิ๋งก็อดจะเอื้อมมือไปอุ้มนางไม่ได้ “ซูเหยียนทานของว่างสักหน่อยหรือไม่?”
เสิ่นซูเยียนรับขนมถั่วแขกกวนไว้ในมือหนึ่งชิ้น แล้วกัดคำเล็กๆ ไปตามมารยาทคำหนึ่ง ว่าแล้วก็มองนางแล้วหันหน้าไปมองเสิ่นจั้งหนิงด้วยท่าทีไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรเช่นนั้น
เสิ่นจั้งหนิงคอยส่งสายตาให้นาง เสิ่นจั้งเฟิงกลับพูดออกมาว่า “เจ้าพาซูเหยียนมาหาพี่สะใภ้สามของเจ้าด้วยเรื่องใดกันแน่?”
“ซูเหยียนได้ยินว่าในบ้านของพี่สะใภ้สามมีหนังสือล้ำค่าอยู่นับไม่ถ้วน จึงคิดจะมาขอยืมพี่สะใภ้สามไปดูสักสองเล่มเจ้าค่ะ” เสิ่นจั้งหนิงเห็นเสิ่นซูเหยียนอ้ำอึ้ง ตนจึงพูดออกไปเองเสียเลย
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว แม้นางจะไม่นับว่าเป็นคนขี้โมโห แต่เพิ่งจะเข้าบ้านมาได้วันที่สอง น้องสามีตัวน้อยและหลานสาวของสามีก็ร่วมมือกับเข้ามาขอสินติดตัวนางถึงที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ต้องรู้สึกโกรธขึ้นมา โชคดีที่เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยปากตำหนิเสิ่นจั้งหนิงไปเสียก่อน “นั่นเป็นตระกูลเว่ยมีหนังสือเลื่องชื่อล้ำค่ามากมาย แล้วเกี่ยวกับพี่สะใภ้สามของเจ้าเรื่องใด? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ในสินติดตัวของพี่สะใภ้สามของพวกเจ้ามีของเหล่านั้น ก็นับว่าเป็นของของพี่สะใภ้สามของพวกเจ้า มีหรือจะยอมให้เจ้าบอกว่าจะยืมก็ยืมได้?”
เสิ่นจั้งหนิงทำปากจู๋ “ดูเอาเถิด พี่ชายสามท่านดุถึงเพียงนี้! ข้าถามพี่สะใภ้สามต่างหาก!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยอารมณ์ราบเรียบว่า “กลับบังเอิญเสียจริง ข้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา ของกระจัดกระจายไปหมด ยังมิทันได้รื้อค้นออกมา เกรงว่าคงจะหาไม่พบในเวลาอันสั้น”
เสิ่นจั้งหนิงได้ยินก็ผิดหวังอย่างยิ่ง กล่าวว่า “แล้วเมื่อใดจะจัดเสร็จเล่าเจ้าคะ?”
ไม่ยอมเลิกรากันจริงๆ !
เว่ยฉางอิ๋งถูกเอาใจมาแต่เล็ก เรื่องที่นางไม่ยินยอม แต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้ารบเร้านาง ทว่าหากเป็นพี่สาวน้องสาวของตน นางก็จะเอ่ยปากตำหนิไปเสียนานแล้ว แต่น้องสามีตัวน้อยผู้นี้กลับไม่อาจทำการตื้นเขินเช่นนั้นได้ “ก็คงต้องรอให้จัดเก็บเรือนเสร็จแล้ว… ก็ยังไม่แน่”
“เช่นนั้นเมื่อพี่สะใภ้สามจัดเก็บเรียบร้อยแล้วก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ?” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างมัดมือชก
เว่ยฉางอิ๋งมองเสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดสักพัก จึงว่า “ซูเหยียนมีร่างกายค่อนข้างอ่อนแอมาโดยตลอด หากออกมานานเกินไปก็เกรงว่าพี่สะใภ้รองจะไม่วางใจ ท่านอาว่านท่านไปส่งนางกลับบ้านสองเสียก่อนเถิด”
เสิ่นจั้งหนิงเอ่ยว่า “ซูเหยียน นาง…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงถลึงตาใส่ แม้เสิ่นจั้งหนิงจะเอาแต่ใจ แต่อย่างไรก็ยังเคารพและเกรงกลัวพี่ชาย จึงได้แต่ทำปากจู่และเงียบเสียงไป
กลายเป็นเสิ่นซูเหยียนเองที่ร้อนรนขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยเสียงเด็กน้อยๆ ว่า “ท่านอาสะใภ้สาม ข้ายังไม่อยากกลับ”
“อย่าดื้อ” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางเอาบ๊วยส้มใส่มือนาง “วันนี้ลมแรง เจ้ากลับไปสวมเสื้ออีกชั้น รอสักพักอาสามจะไปรับเจ้ามาเล่นกับอาสะใภ้สาม”
แม่นมของเสิ่นซูเหยียนไม่กล้าโต้แย้งเขา ซึ่งความจริงแล้วตอนนี้เป็นช่วงเดือนสี่ที่มีอากาศสบายที่สุด อากาศมีแต่จะร้อนขึ้นและต้องเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของฤดูร้อน มิได้มีเหตุผลใดต้องไปสวมเสื้อผ้าอีกชั้น นางจึงรู้อยู่ในทีและทั้งปะเหลาะทั้งหลอกล่อให้เสิ่นซูเหยียนไป
รอจนหลานสาวและบ่าวของบ้านสองไปแล้ว นางหวงก็แอบดึงเว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง นางจึงรู้สึกตัวและยืนขึ้น กล่าวว่า “ข้ารู้สึกเหนื่อย จะเข้าไปนอนสักพัก จั้งหนิงเจ้าจะได้คุยกับพี่ชายสามของเจ้า” ไม่รอให้พี่น้องตระกูลเสิ่นรับคำ นางก็หันหลังเข้าไปภายในห้อง
พวกของนางหวง และนางเฮ่อจึงพากันถอยออกไปด้วย
เมื่อเห็นว่าคนไปกันหมดแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงมองมาที่น้องสาว “เจ้าจ้องจะเอาสินติดตัวพี่สะใภ้สามทำสิ่งใดกัน?”
เสิ่นจั้งหนิงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กล่าวว่า “ไม่ใช่สักหน่อย! ซูเหยียนชอบของเหล่านี้ ข้าจึงมากับนาง ลองถามดูเท่านั้น”
“คำพูดเช่นนี้เจ้าเอาไว้หลอกท่านแม่เถิด” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มออกมาพลางว่า “เจ้านึกว่าเจ้าไม่พูดแล้วข้าจะไม่มีหนทางรึ? ให้ข้าคิดดู…” เขาหรี่ตา “นับแต่ปีก่อน เจ้าก็เล่นกับคุณหนูตระกูลหลิวสองสามคนนั้นเข้าขากันไม่เลวเลย?”
เสิ่นจั้งหนิงกระทืบเท้าขึ้นมาทันใด “พี่ชายสาม ท่านคิดว่าไปถึงที่ใดแล้ว? เข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงของนางอดจะสูงขึ้นมาไม่ได้ “ปีก่อนตอนพี่สะใภ้สามยังไม่เข้าบ้าน เพื่อส่งเสริมหลิวซีสวิน บ้านตระกูลหลิวจงใจให้ร้ายพี่สะใภ้สาม หวังให้พี่ชายสามต้องว้าวุ่นใจ และไม่อาจทำงานต่อหน้าพระพักตร์ได้ต่อไป… ตลอดเวลามานี้ข้าก็เอาแต่คิดหาวิธีแก้แค้นให้ท่าน แต่ท่านกลับคิดว่าจะไปช่วยตระกูลหลิวรึ?!”
เว่ยฉางอิ๋งที่อ้างว่าจะไปนอนสักพัก ความจริงแล้วกลับกำลังถือถ้วยน้ำชาเอาหูแนบประตูแอบฟังอยู่พลางขบริมฝีปาก น้องสามีตัวน้อยผู้นี้…ดูไปแล้วคล้ายมิได้เอาแต่ใจ เจ้าเล่ห์เพทุบาย และไม่รู้ความถึงเพียงนั้นกระมัง?
“เรื่องของตระกูลหลิวมีพวกเราจัดการอยู่แล้ว เจ้าจักมายุ่งย่ามสิ่งใด?” เสิ่นจั้งเฟิงกลับมิได้สั่นคลอนด้วยเหตุนี้ แล้วกล่าวว่า “อีกประการเจ้าคิดจะแก้แค้นตระกูลหลิว แล้วพี่สะใภ้สามของเจ้าเพิ่งจะเข้าบ้าน เจ้าก็มาขอสินติดตัวนางทำสิ่งใด นี่เพราะพี่สะใภ้สามของเจ้าใจดีหรอกนะ! หากเป็นพี่สะใภ้ที่เถรตรงสักหน่อย ไม่เอาเรื่องไปฟ้องท่านแม่ก็แปลกแล้ว! สินติดตัวของพี่สะใภ้สามของเจ้าแม้แต่ข้าและท่านพ่อท่านแม่ก็ล้วนไม่เอ่ยปากถามแม้สักคำ แต่เจ้ากลับ…”
เสิ่นจั้งหนิงเห็นว่าตนเองเกือบจะถูกมองว่าวางแผนช่วงชิงสินติดตัวของพี่สะใภ้ทั้งยังถูกมองว่าไปอยู่ข้างศัตรู จึงรีบร้อนกล่าวว่า “มิได้เป็นเช่นนั้น พี่ชายสามท่านฟังข้าพูดนะ! ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อออกหน้าแทนท่านและพี่สะใภ้สาม!”
“หือ?”
“ก็เพราะสินติดตัวของพี่สะใภ้สามนั้น นอกจากพี่สะใภ้สามแล้ว แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราก็ล้วนไม่ควรไปไถ่ถามถึง ดังนั้นพี่ชายสามท่านลองคิดดูเถิด หากของล้ำค่าในสินติดตัวนี้ตกไปอยู่ในมือของคนบ้านหลิว เช่นนั้นบ้านหลิว…เฮอะๆ จะบอกกับพวกเราว่าอย่างไร?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามไปด้วยหน้าตาเรียบเฉยว่า “คนเจ้าเล่ห์เช่นเจ้า จักมาเล่นวางแผนยัดเยียดของโจรสิ่งใดกัน?”
“ฟังข้าพูดให้จบ!” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านยังมิทันฟังจบเลย แล้วจักรู้ได้อย่างไรว่าความคิดนี้ของข้าไม่ดี? อ่ะ… ข้าและซูเหยียนยืมหนังสือล้ำค่าโบราณซึ่งเป็นสินติดตัวของพี่สะใภ้สามมาจากพี่สะใภ้สาม จากนั้น หนังสือโบราณนี้ก็กลับไปอยู่ที่บ้านหลิวโดยไม่รู้สาเหตุ”
เสิ่นจั้งเฟิงรอสักพักจึงถามว่า “แล้วจากนั้น?”
“ไม่มีแล้ว เพียงเท่านี้” เสิ่นจั้งหนิงตอบไปอย่างหน้าระรื่น “เมื่อความจริงถูกเปิดเผย พวกเราก็สามารถไปทวงถามความยุติธรรมที่ตระกูลหลิวได้แล้ว!”
เสิ่นจั้งเฟิงพ่นลมหายใจออกมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าถามเจ้า แล้วหนังสือโบราณจู่ๆ จะไปอยู่ที่ตระกูลหลิวอย่างไม่มีสาเหตุได้อย่างไร?”
“น้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้ใหญ่ก็มิใช่ว่ามาอยู่ที่บ้านเราสักพักหรอกหรือเจ้าคะ? รอจนนางกลับไป พวกเราก็แอบเอาของไปยัดใส่ไว้ในของของนาง ก็มิใช่เรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ?”
“เช่นนั้นยามนางกลับไปจะไม่พบเห็นหรือ?”
“ดังนั้นพวกเราก็ต้องตามนางไป รอจนนางเข้าไปในบ้านหลิว พวกเราก็กลุ้มรุมเข้าใส่! แล้วชี้ชัดไปว่าเขาขโมยของ!”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจแล้วว่า “แล้วพี่สะใภ้ใหญ่เล่า?”
“พี่สะใภ้ใหญ่เข้าบ้านเราแล้ว เช่นนั้นย่อมเป็นคนของบ้านเรา อีกประการหนึ่งคุณหนูตระกูลหลิวที่มาพักในจวนของเราก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ ก็เป็นเพียงน้องสาวร่วมตระกูลผู้หนึ่งเท่านั้น หากพี่สะใภ้ใหญ่ยังรู้สึกไม่พอใจ อย่างมากข้าก็แค่ไปขอรับผิด อย่างไรเสียมีพี่ชายใหญ่อยู่ พี่สะใภ้ใหญ่จะตีข้าให้ตายได้อย่างไร?” เสิ่นจั้งหนิงเผยท่าทีออกมาว่าตนเป็นที่รักใคร่ยิ่งและยืนยันแน่ชัดว่าจะต่อต้านตระกูลหลิว
แล้วยังกล่าวอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายสามต้องรู้ว่าเหตุใดต้องใช้สินติดตัวของพี่สะใภ้สามมาเป็นเหยื่อล้อ?”
ไม่รอให้เสิ่นจั้งเฟิงตอบ นางก็อธิบายอย่างได้อกได้ใจว่า “นี่ก็ด้วยพี่สะใภ้สามเพิ่งจะเข้าบ้าน แล้วเหนือนางก็มีพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองอยู่ หากไม่ใช่ว่าของของพี่สะใภ้สามถูกขโมย แล้วพี่สะใภ้สามจะมีวิธีใดไปเรียกร้องความยุติธรรมที่บ้านหลิวเล่า? ข้าได้ยินมาว่า บนถนนหลวงครานั้น ต่อหน้าคนร้ายทั้งหลาย เมื่อพี่สะใภ้สามชักกระบี่ออกก็เป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่วฟ้าดิน! ไล่ล่าสังหารจนพวกโจรนับร้อยต้องหนีเตลิด! ยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารหัวหน้าคนร้ายอีกด้วย! มีพี่สะใภ้สามอยู่ หนนี้พวกตระกูลหลิวถึงคราวซวยแน่แท้แล้ว! ใครใช้ให้พวกเขาวางแผนทำร้ายพี่ชายสาม!”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบคาง พึมพำว่า “แล้วที่เจ้าคอยดึงซูเหยียนเข้ามาเอี่ยวด้วยอยู่ตลอดเวลา ก็เพื่อ?”
“แน่นอนว่าต้องลากพี่สะใภ้รองมาลงน้ำด้วย!” เสิ่นจั้งหนิงหน้าบานเป็นกระด้ง กล่าวว่า “น้ำยิ่งขุ่นจะได้จับปลาง่ายๆ…ไม่ๆๆ ไม่ได้พูดแบบนี้ กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก! แผนการของข้าก็คือหากท่านแม่รู้เรื่องเข้า ก็จะต้องตีข้าอย่างแน่นอน! แต่พี่สามท่านดูเอาเถิด! เมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่พี่สะใภ้ใหญ่จนถึงพี่สะใภ้รองและพี่สะใภ้สาม ทั้งยังมีซูเหยียน ทุกคนล้วนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจนหมด! หรือท่านแม่จะตีไปเสียทุกคน? หากไม่ตีทุกคน แล้วจะถือสิทธิ์ใดมาตีเพียงข้าผู้เดียวเล่า? พี่ชายสามท่านว่าความคิดที่ข้าจะออกหน้าจัดการให้ท่านนี้ดีหรือไม่?”
ยังมิทันสิ้นเสียงนาง พลันได้ยินเสียงเพล้งมาจากข้างในห้องหนหนึ่ง คล้ายมีบางสิ่งตกลงพื้น…
“ไม่ต้องดูหรอก คงเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าลุกขึ้นมารินชา แล้วคงไม่ทันระวังชนถ้วยชาตก” เสิ่งจั้งเฟิงถอนหายใจ จากนั้นก็ตบโต๊ะไปหนหนึ่ง ขึ้นเสียงว่า “ยามนี้ให้เจ้ากลับไปเรือนของเจ้าเสียดีๆ แล้วไปคัด ‘ตำราความลับทั้งหก[1]’ ให้ข้าสิบรอบ!”
เสิ่นจั้งหนิงที่เดิมทีกำลังได้อกได้ใจพลันเบิกตากว้าง แล้วถามอย่างน้อยใจว่า “เพราะเหตุใด?!”
“ไม่คัด?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเยาะ “ถวนเยวี่ยเข้ามา เอาความคิดส่งเดชเหล่านี้ของคุณหนูสี่ไปบอกแก่ฮูหยินให้หมด!”
เมื่อเห็นเสิ่นจั้งหนิงมีน้ำตาคลอตา รู้สึกน้อยใจนักหนา เขาจึงแค่นเสียงออกมา แล้วว่า “แผนการทั้งหมดเหลวไหลน่าขัน มีช่องโหว่นับร้อย นี่เป็นแผนการยัดเยียดของโจรที่ชัดเจนเสียจนทำให้คนยากจะหลงเชื่อ เจ้ายังมาได้อกได้ใจไปเอง…แล้ววันหน้าจะไปต่อสู้กับผู้ใดได้? ทำให้บ้านเราขายหน้าเป็นที่สุด! บอกให้เจ้าตั้งใจอ่านหนังสือเจ้าก็ไม่ฟัง…รีบไปคัด!”
________________________________
[1] ตำราความลับทั้งหก มีชื่อเรียกว่า ‘ลิ่วเทา’ หรือ ‘ไท่กงลิ่วเทา’ เป็นตำราที่ว่าด้วยศาสตร์พิชัยสงครามทั้งหก