ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 98 รับแขก
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าการต้อนรับแขกกลุ่มนี้ของสามีเป็นเรื่องที่มีความกดดันมาก เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเองก็คำนึงถึงประเด็นนี้ และไม่ได้มีท่าทีให้ภรรยาอยู่ต่อนานนัก เมื่อพบปะกันเสร็จแล้ว จึงเชิญทุกคนเข้าไปดื่มชาในโถงกลาง
รอจนทุกคนเข้าไปนั่งในห้องเรียบร้อยแล้ว จึงส่งสายตาให้เว่ยฉางอิ๋ง เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเข้าใจแล้วจึงลุกขึ้นขอขมาทุกคนว่า “ในบ่อน้ำข้างหลังมีผลไม้แช่เอาไว้ เวลานี้พอดีนำมาทานกับเครื่องดื่มแช่เย็นบรรเทาความร้อน เชิญทุกท่านนั่งรอสักครู่ ดื่มน้ำชาไปก่อน ข้าจะไปเตรียมมาให้ทุกท่าน”
แน่นอนว่าพวกของหลินซีสวินย่อมต้องเอ่ยคำเกรงใจไปสองสามประโยคว่าให้นางไม่ต้องลำบาก เว่ยฉางอิ๋งอาศัยเหตุผลว่าพวกเขาล้วนมาเยี่ยมเสิ่นจั้งเฟิงเป็นการเฉพาะไม่อาจเพิกเฉยดูดายได้ จึงยืนกรานว่าจะไปจัดการดูแลหใ
เมื่อออกห่างจากเรือนด้านหน้าและผ่านประตูวงพระจันทร์ไป เว่ยฉางอิ๋งก็โล่งอกขึ้นมาทันใดและเอ่ยกับจูหลานว่า “เจ้าไปเรียกให้พวกเขาเอาผลไม้ที่แช่อยูในบ่อน้ำมาหันให้งดงามสักหน่อย แล้วส่งไปข้างหน้า”
แล้วสั่งความอีกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องไปเองเล่า ให้ใครสักคนไปข้างหน้า เรียกสาวใช้ที่อยู่ในระเบียบทางเดินไปเอาให้ที่ประตูวงพระจันทร์” เหนียนเซิงย้าวอยู่ด้วย คราก่อนที่เขามาก็เสียลู่จูให้เขาไปแล้ว เวลานี้จึงไม่อยากต้องยกพวกของจูหลานให้ไปอีก
จูหลานหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “ข้าน้อยทราบเจ้าค่ะ วันนี้ท่านเหนียนผู้นั้นก็มาด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “ทุกคนต้องระวังสักหน่อย อย่าให้เขาเห็นเข้าเล่า หากไปขอกับท่านพี่ ท่านพี่ปฏิบัติกับเขาดังแขกสำคัญเสมอมา ทั้งเรียกขานเขาว่าท่าน จึงไม่อาจหักหน้าเขาได้โดยง่าย”
“ฮูหยินน้อยโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ วันนี้พอท่านเหนียนผู้นี้มา เสิ่นจวี้ที่อยู่ข้างหน้าก็วิ่งมาบอกกับจูสือโดยเฉพาะ พวกเราล้วนรู้แล้ว จึงพากันอยู่ห่างจากประตูวงพระจันทร์เข้าไว้เจ้าค่ะ!” จูหลานแย้มยิ้มรับประกัน
ไม่คิดว่านางเฮ่อที่อยู่ข้างๆ เพราะนางเป็นป้าแท้ๆ ของจูสือ จึงสัมผัสได้อย่างว่องไวว่า “เสิ่นจวี้วิ่งมาบอกจู้สือหรือ? เหตุใดเขาจึงไม่ไปบอกผู้อื่น แต่กลับมาบอกกับจูสือเล่า?”
สีหน้าของจูหลานเปลี่ยนไปทันใด เพิ่งรู้สึกว่าตนเองพลั้งปาก จึงลนลานทำทีปกปิดไปว่า “ท่านอาเฮ่อ เป็นดังนี้เจ้าค่ะ ตอนนั้นเสิ่นจวี้ไม่กล้าอยู่ในเรือนหลังของพวกเรานานนัก ตอนนั้นจูสือกำลังให้อาหารพวกชุ่ยหลี่ว์เอ๋อร์อยู่ จึงได้พบกันพอดี นางจึงเข้าไปถามเขาว่ามีเรื่องใด เสิ่นจวี้จึงบอกกับจูสือเจ้าค่ะ”
คำอธิบายนี้กลับสมเหตุสมผล ทว่าสีหน้าที่ไม่ปกติตอนจูสือตอบนั้น แม้พยายามไม่แสดงอาการอย่างสุดกำลังแล้ว ทว่าก็ยังยากจะปิดบังพวกท่านอาเช่นนางหวงและนางเฮ่อได้ นางเฮ่อกำลังจะร้องถามต่อไปในทันใด… แต่กลับถูกนางหวงแอบดึงแขนเสื้อพลางขมวดคิ้วใส่จึงสงบปากไว้ นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “พวกเรารู้แล้ว เจ้าไปจัดการเรื่องที่ฮูหยินน้อยสั่งเถิด”
เมื่อให้จูหลานไปแล้ว นางเฮ่อจึงว่า “เสิ่นจวี้นั่น…”
“เสิ่นจวี้ได้รับความไว้วางใจจากคุณชายมาก และอยู่ในฐานะที่สำคัญกันไปคนละอย่างกับเสิ่นเตี๋ย” นางหวงเอ่ยเสียงเบาว่า “อีกประการก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นดังเจ้าคิดเสมอไป พวกเราคอยดูไปเสียก่อน เมื่อดูชัดเจนแล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร หาไม่แล้วหากเรื่องเป็นเพียงการคาดเดาของจูหลาน แต่พวกเรากลับทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ก็จักทำให้คนเยาะเอาได้”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็บอกว่า “จูสืออยู่กับข้าทุกวัน ไม่เคยเห็นนางสนใจเสิ่นจวี้มาก่อน อย่างไรก็ดูให้แน่ชัดก่อนค่อยกว่ากันเถิด”
ดีชั่วอย่างไรทั้งจูสือและเสิ่นจวี้ก็ล้วนเป็นบ่าวในบ้านตน เรื่องของพวกเขาทั้งสองจะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องนี้ล้วนอยู่ในความควบคุมของเว่ยฉางอิ๋ง เวลานี้ในเรือนมีแขก เว่ยฉางอิ๋งยิ่งจำเป็นต้องดูแลแขกคนทางเรือนชั้นข้างหน้าให้ดี จึงเรียกฉินเกอและเยี่ยนเกอมา “พวกเจ้าสองคนไปยกน้ำบ๊วยดำที่แขวนอยู่ในบ่อน้ำขึ้นมา แล้วส่งไปข้างหน้า และไปถ่ายทอดคำว่าข้าขอเชิญพวกเขาทุกคนอยู่ทานอาหาร สอบถามดูว่าทุกคนมีสิ่งใดไม่ทานบ้างหรือไม่ จักได้ให้ห้องครัวของเราคอยระวัง” แม้สาวใช้ทั้งสองจะเป็นบ่าวคนสนิท ทว่ามีหน้าตาธรรมดา หากไปข้างหน้ากลับไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเหนียนเซิงย้าวขอเอาไป
ปรากฏว่าฉินเกอและเยี่ยนเกอรับคำสั่งไปแล้ว อีกพักใหญ่ต่อมาก็กลับมารายงานอย่างปลอดภัยจริงๆ “แขกสองสามท่านปฏิเสธในตอนแรก ภายหลังคุณชายเชื้อเชิญอยู่หลายคราถึงยอมรับปากเจ้าค่ะ”
“รู้เรื่องรสชาติที่พวกเขาชอบและสิ่งที่พวกเขาไม่กินหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า เพราะเรื่องที่ทุกคนอยู่ทานข้าวนั่นเป็นสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เพราะตอนที่กู้หน่ายเจิงถูกลากให้เดินไปก่อนหน้านี้ เขาก็ร้องตะโกนตลอดทางว่าเขาจะอยู่ดื่มกินเสียก่อน เห็นได้ว่าครั้งพวกเขามานั้นเกรงว่าจะหารือกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะทานอาหารอยู่ในเรือนจินถง
อย่างไรเสียอากาศก็ร้อนออกเพียงนี้ เหล่าชายหนุ่มแน่นพวกนี้โดยทั่วไปแล้วไม่ห่วงจะมานั่งรถหรือเกี้ยว โดยมากแล้วล้วนขี่ม้ามา จึงไม่อาจใช้น้ำแข็งได้เหมือนในรถม้า ในเมื่อมาที่เรือนจินถงแล้ว หากไม่ทานข้าวที่นี่แล้วกลับไปทั้งอากาศร้อนอบอ้าว แล้วจะยังมีความยากอาหารอยู่ได้ที่ใด?
แม้ก่อนนี้จะถูกกู้หน่ายเจิงทำเสียบรรยากาศ แต่เวลานี้กู้หน่ายเจิงก็ถูกกู้อี้หรานลากไปแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆ กู้บรรยากาศที่เสียไปกลับคืนมา และย่อมทำตามแผนที่เคยวางเอาไว้ก่อนหน้านี้
ฉินเกอบอกว่า “คุณชายหลิวสิบหกบอกแทนทุกคนว่าไม่ได้มีสิ่งใดที่ไม่ทานเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นให้ทำรสจัดสักหน่อยเป็นดีเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “แล้วคนอื่นเล่า?” แขกที่มาในวันนี้ นอกจากเหนียนเซิงย้าวแล้วล้วนเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ ต่อให้เนียนเซิงย้าวได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากเสิ่นจั้งเฟิง จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แล้วจะบอกว่าแต่ละคนไม่ใช่คนพิถีพิถันเรื่องอาหารได้อย่างไร? อาจมีคนสองคนที่ไม่เรื่องมาก แต่วันนี้มีแขกถึงแปดคน แล้วรสนิยมเรื่องอาหารจะเหมือนกันไปหมดได้อย่างไร?
“ภายหลังคุณชายหลิวสิบหกเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า ‘พวกเรามาโดยไม่ได้รับเชิญ ก็เป็นการสร้างความลำบากให้น้องสะใภ้แล้ว แล้วจักกล้าเรื่องมาอีกได้อย่างไร’ คุณชายท่านอื่นนอกนั้นจึงล้วนบอกว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องอาหารแล้วเจ้าค่ะ” เยียนเกอเอ่ยพลางกลั้นหัวเราะ
เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “หากพวกเขาต่างพากันบอกเช่นนี้แต่แรกแล้วก็ไม่เป็นไร แต่นี่เขากลับบอกความต้องการของตนไปก่อนแล้วค่อยเสนอแนะเช่นนี้…” นางหัวเราะลั่นพลางส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่อาจฟังเขาได้ทั้งหมด หลิวซีสวินเป็นชาวตงหู ที่นั่นหนาวเย็นและเขาก็ดูเป็นคนใจนักเลงกล้าได้กล้าเสีย หากจะทานอาหารที่มีรสสักหน่อยก็ไม่แปลก ข้าดูลูกผู้น้องทั้งสองของบ้านซูและคุณชายเติ้ง หลิวยิ้วเจ้าและเผยไค่ล้วนเป็นคนละเอียดอ่อน เกรงว่าจะชอบอาหารที่มีรสเบาๆ สักหน่อย ส่วนกู้เวยผู้นั้นแม้จะไม่ตื่นเต้นเวลาอยู่ต่อหน้าสตรีจนพูดไม่ออกเหมือนกับเผยไค่ ทว่าเมื่อข้าได้พบกับเขาทั้งสองครั้ง เขาก็ดูเป็นคนเงียบยิ่งนัก ข้าคิดว่าส่วนของเขาควรทำอย่างประณีตและตั้งใจสักหน่อยเป็นดี ส่วนท่านเหนียนผู้นั้นแม้ดูแล้วจะมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ทว่านิสัยกลับ… อาหารของเขาก็ทำให้กลางๆ สักหน่อย เพื่อมิให้คอยหาข้ออ้างเดี๋ยวขอน้ำเดี๋ยวขอเกลือมาหาเศษหาเลยกับสาวใช้ของเรา!”
ฉินเกอรับคำแล้วออกไป เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพักจึงสั่งเยี่ยนเกอไปอีกว่า “เอาสุราอีกสักไหสองไห่ไปแขวนเพิ่มไว้ในบ่อน้ำอีก แม้จะมีหีบน้ำแข็งแล้ว แต่อาการร้อนเพียงนี้ หากทานน้ำแข็งมากไปก็จะไม่ดีต่อกระเพาะ เวลานี้พวกเขาก็กำลังดื่มเครื่องดื่มเย็นและผลไม้ที่แช่เย็นไว้แล้ว งานเลี้ยงตอนกลางคืนหากยังดื่มสุราที่แช่ในหีบน้ำแข็งอีกก็กลับไม่ใคร่ดี”
เว่ยฉางอิ๋งพิจารณาว่าแขกทั้งแปดคนน่าจะชอบดื่มสุราแตกต่างกันออกไป จึงสั่งไปเป็นพิเศษว่า “ดูไปแล้วคุณชายหลิวสิบหกคงจะชอบสุราแรงๆ แต่ในนั้นก็คงมีคนที่ดื่มไม่เก่งด้วย ดังนั้นนอกจากสุราฤทธิ์แรงแล้ว สุราที่ดื่มแล้วไม่เมาง่ายเช่นพวกสุราลิ้นจี่เขียวก็ให้เตรียมไว้สักหน่อยด้วย หากบ่อน้ำในเรือนเราไม่พอใช้ ก็ให้ไปขอยืมบ่อน้ำที่อื่นใช้”
เยี่ยนเกอและเจวี๋ยเกอไปจัดการพร้อมกัน
จูหลานที่ไปส่งผลไม้ที่เรือนชั้นหน้าก่อนหน้านี้วิ่งกลับมาอีก บอกว่า “ผลไม้ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ แต่พวกพี่ๆ ที่ดูแลรับใช้อยู่ข้างหน้าเพิ่งบอกมาว่าคุณชายกู้แห่งหงโจวผู้นั้นผลักผลไม้ที่นางส่งไปให้ออก ทั้งยังขมวดคิ้วด้วยเจ้าค่ะ”
“กู้เวย?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “หรือว่าเขาไม่ชอบผลไม้?”
“ข้าน้อยคิดว่าบางทีคุณชายกู้ผู้นี้จะไม่ชอบผลไม้ที่แช่เย็นมากระมังเจ้าคะ?” นางหวงเอ่ยเตือนว่า “ความจริงแล้วนายท่านรองของบ้านเราก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ ต่อให้อากาศร้อนเพียงใดก็จะไม่ทานผลไม้แช่เย็น แต่จักต้องทานผลไม้ที่วางไว้ปกติเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดสักพักจึงสั่งจูหลานว่า “ทำตามที่ท่านอาว่า เจ้าให้คนเอาผลไม้ที่ไม่แช่เย็นไปส่งให้อีกชุดหนึ่ง”
ครานี้จูหลานออกไปพักใหญ่ แล้วกลับมารายงานพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาหวงกล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ คุณชายกู้ผู้นั้นไม่ชอบทานผลไม้แช่เย็นจริงๆ ด้วย เมื่อนำของที่ไม่แช่เย็นไป เขาก็มีรอยยิ้มออกมาทันใด แล้วรีบหยิบมาทานเจ้าค่ะ”
แล้วบอกว่า “ได้ยินพี่ๆ ข้างหน้าบอกว่า แม้แต่คุณชายของเราก็ยังรู้สึกประหลาดใจ และบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่แท้คุณชายกู้ไม่ชอบทานผลไม้แช่เย็น เพราะก่อนหน้านี้กลับไม่เห็นได้สนใจเจ้าค่ะ”
“รสชาติที่ถูกใจทุกคนปรุงยากนักจริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งถอยหายใจครั้งหนึ่ง กู้เวยเป็นคนไม่พูดไม่จา แล้วผู้ใดจะมองหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของเขาออก ว่าระยะนี้เขาท้องไส้ไม่ดี แล้วจักได้เตรียมผลไม้ไม่แช่เย็นไว้ให้เขาแต่แรก? นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้อนรับแขกของสามีนับแต่นางแต่งเข้าบ้านมาเชียวนะ ย่อมไม่กล้าเพิกเฉยกับทุกสิ่ง แต่กลับต้องมาพบเจอกับแขกเช่นกู้เวยที่ยอมเสียมารยาทผลักผลไม้แช่เย็นไปไกลตัวแต่ไม่ยอมให้คำอธิบายสักคำ…
หากมิใช่เพราะนางหวงมีประสบการณ์ ครานี้เว่ยฉางอิ๋งก็คงจะไม่รู้จะดาดเดาว่าเหตุใดกู้เวยจึงทำเช่นนี้
เว่ยฉางอิ๋งส่ายหน้า เมื่อกู้หน่ายเจิงที่ดูแลยากที่สุดถูกกู้อี้หรานลากกลับไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่าตนเองต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน คนที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็ไม่นับว่าดูแลยากเลยจริงๆ เพราะอย่างไรเสียเมื่อเทียบกับกู้หน่ายเจิงที่พูดแค่ไม่กี่คำก็ทำให้เกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว แขกทั้งแปดคนในตอนนี้ก็ล้วนนับว่าดีงามยิ่งนัก
เว่ยฉางอิ๋งสั่งความไปอีกว่าให้คนไปดูแลในทุกๆ เรื่อง หากมีเรื่องผิดคาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอันใดก็ให้มารายงานทันที…
เมื่อจัดแจงเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงโล่งอกลงได้เสียที และเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วสอบถามนางหวงว่า “ท่านให้บุตรชายรอง สะใภ้รองและหลานสาวไปอยู่ที่คฤหาสน์จี้แล้ว เหตุใดจึงไม่บอกข้า?” คำถามนี้นางอยากรู้มาตั้งแต่ตอนได้ยินนางหวงแนะนำหนีเวยอีที่หน้าประตูคฤหาสน์จี้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นกำลังรีบร้อนให้จี้ชวี่ปิ้งตรวจดูเสิ่นจั้งเฟิง และไว้หน้านางหวงต่อหน้าทุกคนจึงไม่เอ่ยถามออกมาตรงๆ ในทันใด
นางหวงเตรียมตอบคำถามนี้เอาไว้นานแล้ว จึงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “นี่เป็นคำขอของท่านหมอเทวดาจี้เจ้าค่ะ”
“จี้ชวี่ปิ้ง?” เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง แล้วจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ตลกเสียจริงๆ ใช้คนของข้า แต่กลับไม่ให้บอกข้า?” ต่อให้นางใจดีเพียงใด ก็ไม่มีทางทนรับได้ …แม้แต่ฟังก็ยังไม่ฟังนาง แล้วจะยังนับว่าเป็นคนของนางอันใดได้?
นางหวงจึงว่า “ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว”
“ข้ามิได้ต้องการถามเอาผิดกับท่านอา” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางโบกมือ กล่าวว่า “ข้าหมายถึง ในเมื่อจี้ชวี่ปิ้งขอเช่นนี้แล้ว ทว่าวันนี้เขาก็เห็นด้วยว่าให้ข้าไปกับท่านพี่ และข้าไปครานี้ก็ต้องเห็นพวกของเวยเวย ท่านอาก็บอกกับข้าแล้วว่าเวยเวยเป็นหลานสาวของท่านอา ก็มิใช้ให้ข้ารู้เรื่องนี้แล้วหรอกหรือ?”
นางหวงเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ข้าน้อยคิดว่า บางทีท่านหมอเทวดาจี้ก็มิได้ถือสาจากใจจริงว่าจะให้ฮูหยินน้อยรับรู้เรื่องนี้หรือไม่ เพียงแต่เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะ” แล้วอธิบายอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับข้าน้อยว่าให้ผูกมัดจิตใจของท่านหมอเทวดาจี้เอาไว้ให้ดี ห้ามล่วงเกินโดยเด็ดขาด ดังนั้นเมื่อท่านหมอเทวดาจี้ขอว่าไม่ให้บอกกับฮูหยินน้อย ข้าน้อยจึงไม่ได้บอกตลอดมาเจ้าค่ะ”
____________________________________