ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 1-2 โฉมงามในพายุหิมะ
เติ้งวานวานที่นั่งอยู่ข้างในสุดค่อยๆ หรี่ตาลง บนตัวนางห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อขนจิ้งจอกสีขาวจนตัวพองเหมือนก้อนหิมะ เพียงแค่มองก็รู้สึกอุ่นนักแล้ว ทว่าเมื่อพายุหิมะพัดเข้ามานางก็ยังอดจะไอไปสองสามครั้งไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งรีบบอกจูหลานที่เฝ้าอยู่ข้างประตูว่า “รีบกดปิดม่านเอาไว้ให้ดีๆ”
จูหลานรีบตอบว่า “กดไว้ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“อะเฮอะๆ…ขอบคุณพี่หญิงเว่ยมากเจ้าค่ะ ร่างกายข้านี้ก็ไม่ได้ความจริงๆ ทุกวันก็อยู่แต่ในรถม้าแต่ก็ยังต้องความหนาวจนจับไข้ กลับเป็นพี่หญิงทั้งสองท่านที่ทุกวันล้วนขี่ม้าอยู่ข้างนอกสักพัก แต่กลับยิ่งสุขภาพแข็งแรง” เติ้งวานวานเอาผ้ามาบังริมฝีปากไว้ ไอไปสองสามครั้ง เอ่ยพลางแย้มยิ้ม
กู้โหรวจางเอ่ยออกไปอย่างปากไวใจเร็วว่า “วันๆ เอาแต่อยู่ในรถม้า อุดอู้จนจะป่วยอยู่แล้ว ออกไปเดินเล่นกลับสบายสักหน่อย เสียดายก็แต่วานวานเจ้าขี้ขลาด ไมกล้าเรียนขี่ม้า …ดีที่จะเข้าในตัวเมืองซีเหลียงในยามนี้แล้ว ภายหลังข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวให้ทั่ว เจ้าจะต้องหายได้ไวเป็นแน่”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยังจะไปเที่ยวให้ทั่วอีกหรือ? พวกเจ้าคงไม่ได้ลืมไปกระมังว่าข้างหลังฉากกันลมยังมีอีกท่านหนึ่งนอนอยู่ แม้ตลอดทางนี้จะให้พวกเราตื่นตกใจกันใหญ่ แต่พอลงจากรถแล้ว อาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ของวานวานนี้ ไม่ว่าอย่างไรเมื่อถึงมือก็รักษาได้หมดแน่นอน!”
ทั้งสามคนพากันหัวเราะขึ้นมา เหตุผลก็มิใช่ใดอื่น เพราะคนที่นอนอยู่หลังฉากกันลม เป็นถึงศิษย์เพียงคนเดียวของจี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่อแห่งเขตทะเล นางก็คือ ตวนมู่ซินเหมี่ยว คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ผู้มิใช่แค่เอาแต่นอนอยู่หลังฉากกันลมเท่านั้น ความจริงแล้วนับแต่ออกจากชานเมืองมานางก็นอนอยู่เช่นนี้แล้ว …สาเหตุน่ะหรือ ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า….นางเมารถม้า
ตอนแรกนั้น ตวนมู่ซินเหมี่ยวยังอาศัยวาตนเป็นหมอจึงแอบกินยาระงับอาการเอาไว้เพื่อมิให้ผู้อื่นดูออก แต่ยิ่งออกห่างจากเมืองหลวง หนทางก็ยิ่งเดินทางลำบาก รถม้าก็ยิ่งกระเทือนขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดแล้วมีวันหนึ่งตวนมู่ซินเหมี่ยวทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงอาเจียนแทบเป็นแทบตายอยู่บนรถ เมื่ออาเจียนหมดแล้วก็หายใจรวยรินแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง … ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งตกอกตกใจจนต้องสั่งคนไปบอกกับเสิ่นจั้งฮุยให้ต้องหยุดเดินทางหนึ่งวันเพื่อได้นางได้พัก
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งค่อนข้างไม่กล้าพานางเดินทางต่อไปด้วยแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าก็เพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวอับอายจนขุ่นเคืองหรือว่าเพราะสาเหตุอื่นใด นางกลับยืนกรานจะไปต่อเสียอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรนางก็เป็นศิษย์ของจี้ชวี่ปิ้ง แม้เมารถจะทรมาน แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็มิใช่ว่าไม่มีวิธีอื่น เพียงเพราะนางต้องการจะปิดบังหูตาของทุกคนก่อนนี้จึงไม่ใช่วิธีนี้เท่านั้น ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้กันหมดแล้ว นางจึงไม่เอาแต่ห่วงหน้าตาอีกต่อไป …จึงดื่มยานอนหลับลงไปเสียเลย อื่ม และหลับไปเสีย
ครั้นแล้ว ผู้ถ่ายทอดวิชาเพียงผู้เดียวของท่านหมอเทวดา ที่ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ามีความน่าเกรงขามไปทั่วทุกสารทิศในเมืองหลวง ไม่ว่าอย่างไรทุกคนล้วนไม่กล้าล่วงเกินนาง กระทั่งฮองเฮากู้พบนางก็ยังต้องยิ้มให้ผู้นี้ จึงนอนหลับอยู่ตลอดทางจนถึงซีเหลียงเช่นนี้
กลับกัน เติ้งวานวานที่ดูแล้วอ่อนแอขี้ขลาด ร่างกายก็บอบบาง ตลอดทางหากไม่หนาวจนสั่นก็เอาแต่ไอกลับอดทนมาได้ แม้จะไม่กล้าไปหัดขี้ม้าเหมือนกับพวกของเว่ยฉางอิ๋งและกู้โหรวจาง แต่ก็ได้มองเห็นภูเขาแม่น้ำที่เดินทางผ่านมาเช่นกันด้วยการอาศัยมองจากหน้าต่างรถ
…จะว่าไปแล้ว เหตุใดเว่ยฉางอิ๋งเดินทางมาตะวันตกคราวนี้ต้องพาสามท่านนี้มาด้วย เรื่องมันก็ยาว
เมื่อข่าวเรื่องชัยชนะครั้งใหญ่ที่ซีเหลียงและข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกชิวตี๋เกือบต้องตายแพร่ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ปรากฏว่าฮ่องเต้ก็ยินดีปรีดายิ่งนัก เพียงแต่…หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็ตำหนิคนที่มารายงานข่าวว่า “ราชองครักษ์ที่เดินทางไปซีเหลียงมีทั้งหมดสี่คน แล้วเหตุใดในรายงานชัยชนะครานี้จึงเห็นแต่เพียงเสิ่นจั้งเฟิงคนเดียวและแม่ทัพประจำซีเหลียง เสิ่นหยิวเจี่ยเท่านั้น?”
ผู้มารายงานจึงอธิบายว่า “นั่นเพราะชัยชนะครานี้เป็นท่านนายกองเสิ่นไม่เสียดายเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ และดำเนินการ่วมกันท่านแม่ทัพเสิ่นจึงสำเร็จได้ ท่านนายกองกู้ทั้งสองและนายกองเติ้งไปเฝ้าระวังอยู่ที่อื่น ไม่ได้มาร่วมด้วยพะยะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังคำจึงเอ่ยอย่างใจเย็นประโยคหนึ่งว่า “เป็นดังนี้ก็ดี ก่อนหน้านี้ราชองครักษ์ทั้งหมดที่ไปตงหูก็ล้วนบาดเจ็บไม่เบา ข้ารู้สึกปวดใจนัก ไม่คิดว่าที่ซีเหลียงกลับมีข่าวดีมาจริงๆ” จากนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก แล้วให้บำเหน็จรางวัลไปตามธรรมเนียม …แต่เมื่อคำนี้แพร่ออกไปพลันมีข่าวลือขึ้นในเมืองหลวงว่า เพื่อให้ เสิ่นจั้งเฟิงได้รับความชอบเพียงคนเดียว ตระกูลเสิ่นไม่เพียงไม่เอ่ยถึงความชอบของกู้อี้หราน กู้ซีเหนียน และเติ้งจงฉีทั้งสามคน แต่ยังปกปิดเรื่องการบาดเจ็บของพวกเขาไว้อีกด้วยเช่นนั้นเช่นนี้…
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป แต่ละบ้านจึงมีท่าทีคลุมเครือนัก ตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงระงับโทสะเอาไว้ ส่วนตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงเป็นเพราะเดิมทีก็มิได้สนใจความเป็นตายของเติ้งจงฉีอยู่แล้ว ฉะนั้นผู้ที่อำนาจตัดสินใจของสองตระกูลนี้ล้วนโต้แย้งข่าวลือนี้ …แต่เติ้งวานวานที่มีกันสองพี่น้องกับพี่ชายมาแต่ไรกลับไม่ยอมวางใจ จึงไปสอบถามกับสนมเอกเติ้ง
สนมเอกเองก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ จึงไปสอบถามความคิดเห็นของฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว แล้วให้เหยาเถาไปที่ตระกูลเสิ่นเพื่อหารือกับคนบ้านเสิ่น ว่าอยากให้เติ้งวานวานไปซีเหลียงกับเว่ยฉางอิ๋งสักหน ด้วยเหตุผลว่าไปเยี่ยมพี่ชาย
ตระกูลเสิ่นรู้ว่าสาเหตุกว่าครึ่งเป็นเพราะฮ่องเต้ไม่วางพระทัย อยากให้ เว่ยฉางอิ๋งพาหูตาสักคนไปด้วย ทว่าบุตรีตระใหญ่ผู้หนึ่งที่ไม่ได้รับความสำคัญจากใน ตระกูล ทั้งยังไปที่ดินแดนที่มั่นของตระกูลเสิ่น หากยังไม่อาจจัดการดูแลนางได้ ตระกูลเสิ่นก็ไม่ต้องไปทำการใดแล้ว จึงได้ตอบรับไปอย่างสบายอกสบายใจ …ปรากฏว่าสนมเอกเติ้งก็เสนอแนะด้วย ‘เจตนาดี’ ไปอีกว่า ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงบาดเจ็บไม่น้อยและจี้ชวี่ปิ้งก็ไปที่เฟิ่งโจวแล้ว ไยไม่เชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวร่วมเดินทางไปซีเหลียงด้วย?
ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่เพียงเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของจี้ชวี่ปิ้ง แพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเล ตระกูลเสิ่นสามารถปล่อยให้เติ้งวานวานเกิดเรื่องที่ซีเหลียงได้อย่างไม่เป็นกังวล ทว่ากลับไม่อาจแตะต้องคนผู้นี้ได้ส่งเดช …ยังไม่ต้องเอ่ยว่าต้องหวาดกลัวทุกคนที่อยู่เบื้องหลังนางมาแก้แค้นหรือไม่เลย เฉพาะความสนิทสนมส่วนตัวของนางกับเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่ถูกคนปิดปากเอาได้ง่ายๆ แล้ว ทว่าพระมารดาไช่อ๋องพี่สาวร่วมท้องและไช่อ๋องหลานชายแท้ๆ ที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวให้ความสำคัญที่สุดล้วนอยู่ในเมืองหลวง จึงไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่เชื่อฟัง
ตระกูลเสิ่นสั่งให้เสิ่นจั้งฮุยคุ้มกันพี่สะใภ้บ้านลุงเดินทางไปตะวันตกเพื่อไปเยี่ยมสามี และพาคุณหนูทั้งสองร่วมทางไปด้วยพร้อมกัน …ปรากฏว่ารถม้ายังไม่ทันออกจากชานเมืองเลย กู้โหรวจางที่ทนร่ำเรียนจารีตประเพณีอยู่ในคฤหาสน์มาตั้งนานแล้วก็วางแผนปลอมตัวเป็นชายแอบตามมา …นางหาได้เป็นห่วงพวกพี่ชายของนาง แค่เพียงรู้สึกเบื่อ อยากไปร่วมสนุกที่ซีเหลียงด้วยเท่านั้น
เว่ยฉางอิ๋งให้คนส่งนางกลับไปหลายหน แต่ม้าที่นางขี่นั้นเป็นม้าพันลี้ที่ท่านตานางมอบให้ แม้แต่ม้าของเสิ่นจั้งฮุยก็ยังตามไม่ทัน เมื่อไล่ตามนางนางก็หนี ไม่ไล่นางนางก็ตามมา ดีชั่วอย่างไรรถม้าในขบวนของเว่ยฉางอิ๋งก็มีมากมาย จึงไม่อาจออกไปจากถนนใหญ่ได้ จึงไม่ต้องกลัวว่าหาร่องรอยไม่พบ
เป็นดังนี้อยู่หลายครั้ง พวกของเว่ยฉางอิ๋งก็ทั้งเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของทุกคนที่ซีเหลียง ไม่กล้าให้เสียเวลา จึงคิดว่าในเมื่อส่งนางกลับไปไม่ได้ หากปล่อยให้นางรั้งท้ายแล้วบังเอิญเกิดเรื่องใดขึ้นมา …มิสู้เชิญนางเข้ามาในรถม้าเสียเลยดีกว่า!
ครั้นแล้ว จึงรวมกันเป็นขบวนเช่นนี้นั่นเอง
________________