ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 11 สงบข้อพิพาท (1)
แรกเริ่มเป็นตวนมู่ซินเหมี่ยวด่าทอสนมเอกเติ้งอย่างหนัก แม้เติ้งจงฉีจะยังคงมีท่าทีใจกว้าง และทั้งเพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นหญิงจึงไม่ยอมโต้เถียงกับนาง ทว่าเขาเป็นหลานชายแท้ๆ ทั้งยังได้รับบุญคุณใหญ่หลวงจากท่านอา แม้จะรู้ว่าว่าสนมเอกเติ้งบีบบังคับตวนมู่ซินเหมี่ยวมาจริงๆ แต่ย่อมต้องออกปากพูดแทนสนมเอก
….ทั้งสองฝ่ายจึงโต้เถียงกันขึ้นมา ยิ่งเถียงก็ยิ่งรุนแรง เรื่องที่ควรพูดไม่ควรพูดก็ล้วนระบายออกมาจดหมดขอเพียงให้สะใจเป็นพอ
เว่ยฉางอิ๋งจะเข้ามาพูดแทรกช่วยไกล่เกลี่ยก็ยังไม่มีผู้ใดสนใจ ภายหลังนางจึงนั่งลงที่ที่นั่งรอง สงบคำ และนั่งดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ ไปเสียเลย
ทั้งทักษะการแพทย์ นิสัยใจคอและฝีปากของตวนมู่ซินเหมี่ยวล้วนได้รับการถ่ายทอดมาจากจี้ชวี่ปิ้งอาจารย์ของนาง นางจึงมีปากคอเราะร้ายดังงูพิษ เอ่ยอย่างเจ็บแสบรุนแรงไปว่า “สนมเอกมีความทุกข์? นางมีความทุกข์ใหญ่โตนักนะ! ครั้งนั้นพระโอรสของนางตายแล้ว ทั้งที่รู้ว่ามิได้เกี่ยวข้องกับบ้านท่านปู่ของอาจารย์ข้าแม้แต่น้อย แต่เป็นอดีตฮองเฮาเฉียนทำต่างหาก! นางไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเฉียน จึงได้มาลงกับบ้านท่านปู่ของอาจารย์ข้า! ยามนี้ท่านอาจารย์เหลือเพียงตัวคนเดียวลำพัง นี่ล้วนต้องกราบไหว้สนมเอกที่ประทานมาให้! สนมเอกมีความทุกข์ แล้วความทุกข์ของอาจารย์ข้าจะนับกันอย่างไร?! จะบอกว่าสมน้ำหน้าบ้านอาจารย์ข้าแล้วเช่นนั้นรึ?!”
เติ้งจงฉีจึงบอกว่า “ความรักลึกซึ้งของแม่ลูก คุณหนูตวนมู่แปดยังไม่เคยเป็นแม่คน คงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ แม้ข้าน้อยจะไม่เคยแต่งงาน ทว่าก็เลี้ยงดูวานวานซึ่งเป็นน้องสาวมาจนโต กลับเข้าใจความเจ็บปวดเช่นนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ที่ปีนั้นท่านอาพาลไปโกรธท่านปู่ของอาจารย์ท่าน ก็ทำลงไปด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวัง ยิ่งไปกว่านั้นท่านปู่ของอาจารย์ท่านไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายหกจริงแท้แน่หรือ?”
“เจ็บปวดสิ้นหวัง?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่ใยดี “หากนางเติ้งเจ็บปวดสิ้นหวังจริงๆ แล้วล่ะก็ ดีชั่วครั้งนั้นบุตรชายของนางเฉียน พี่เขยใหญ่ของข้าก็ยังอายุไม่มาก นางเป็นสนมเอกย่อมไม่มีทางไม่เคยพบ! ยอมสละชีวิตเข้าแลกทำให้พี่เขยใหญ่ของข้าตายไป ก็มิใช่เป็นการแก้แค้นให้แก่ลูกชายของนางแล้วรึ? นางลุ่มหลงเกียรติยศความมั่งคั่งแต่กลับไร้ความกล้าหาญ แล้วจะโทษผู้ใดได้? สมกับที่พวกเจ้าเป็นอาหลานกันจริงๆ หน้าไม่อายเช่นเดียวกัน!”
นางตวาดเสียงดังขึ้นมาขัดคำที่เติ้งจงฉีกำลังจะพูดจนเขาต้องถอยกลับไป แล้วเอ่ยเสียงสูงว่า “แล้วที่บอกว่าท่านปู่ของอาจารย์ข้าเกี่ยวพันกับการสิ้นพระชนม์ของ องค์ชายหก …มิใช่ว่าก่อนหน้านั้นเป็นตระกูลเติ้งที่ส่งนางเฉียนเข้าวังเป็นฮองเฮา แล้วกังวลว่าหากนางเฉียนตั้งท้องแล้วจะส่งผลเสียต่อองค์ชายใหญ่ จึงวางยาเป็นหมันให้แก่นางเฉียน ต่อมาภายหลังนางเฉียนได้พบกับท่านปู่ของอาจารย์ข้าในวัง จึงใช้ฝีมือล้ำเลิศดังชุบชีวิตคนช่วยให้นางมีองค์ชายสี่ออกมาได้? เดิมทีท่านปู่ของอาจารย์ข้าก็เป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง การตรวจรักษาให้แก่ฮองเฮาและสนมก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขาอยู่แล้ว! แล้วนางเติ้งจะไม่เคยไปขอรับการรักษาจากท่านปู่ของอาจารย์ข้าเลยเชียวหรือ?! เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้!”
“โสมทองหยกขาวเป็นของที่นางเฉียนจะหามาได้เองหรือ?” ต่อให้เติ้งจงฉีเป็นคนจิตใจดีเพียงใด แต่เมื่อถูกนางด่าทอมาดังนั้นก็ทำให้แสดงท่ามีโมโหโกรธาออกมา เขาเอ่ยอย่างเย็นเฉียบไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีโสมทองหยกขาวก็เป็นตัวยารักษาชีวิตชั้นเลิศที่ผลิตอยู่ที่เป่ยหรง ต่อให้สำหรับพวกชนชั้นสูงของพวกหรงแล้วก็ยังนับว่าเป็นของดีหายาก การที่สามารถนำของชนิดนี้มาทำเป็นยาพิษได้ หากมิได้คำชี้แนะจากจี้อิงแล้ว ลำพังแค่นางเฉียนจะทำได้อย่างไร! ท่านอาของข้าพาลไปโกรธจี้อิง …แท้จริงแล้วเพียงแค่พาลไปโกรธเช่นนั้นเองหรือ!”
เขาเอ่ยเสียงหนัก ค่อยๆ พูดทีละคำว่า “ข้ากลับยิ่งสงสัยในเรื่องหนึ่ง ทุกคนต่างรู้กันดีว่าครานั้นจี้อิงเป็นคนของนางเฉียน ที่บอกว่าจี้อิงสมคบกับสนมฮั่วทำร้ายองค์ชายหก นางเฉียนก็เพียงทิ้งรถเพื่อรักษาคนขับเท่านั้น ว่ากันตามหลักแล้วท่านหมอเทวดาจี้เคียดแค้นชิงชังตระกูลเติ้งเพียงนั้น ก็ไม่น่าจะกล่าวโทษชิงชังนางเฉียนจึงจะถูก! แต่กลับรับคุณหนูตวนมู่ท่านเป็นศิษย์? แม้คุณหนูตวนมู่จะไม่ได้แซ่เฉียน แต่ที่ท่านร่ำเรียนวิชาแพทย์ก็มิใช่เพื่อพี่สาวและหลานชายของท่าน ซึ่งคนหนึ่งคือสะใภ้ของนางเฉียน และคนหนึ่งก็หลานชายของนางเฉียนหรอกหรือ?!”
เติ้งจงฉีเอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “เมื่อครู่นี้คุณหนูตวนมู่ก็บอกเองแล้วนี่ว่า ยามนี้อาจารย์ของท่านเหลืออยู่ตัวคนเดียวลำพัง …จะว่าไปแล้วหากมิใช่นางเฉียนทำร้ายท่านอาของข้าก่อน สกุลจี้ก็มิต้องมีจุดจบเช่นทุกวันนี้แล้ว! นางเฉียนจึงคือตัวการของเรื่องร้ายนี้! แต่อาจารย์ของท่านกลับสามารถรับคุณหนูตวนมู่ท่านมาเป็นศิษย์ และเวลานี้ท่านอาของข้าก็มิได้จัดการอันใดต่อไช่อ๋องแม่ลูกและคุณหนูตวนมู่ แต่คุณหนูตวนมู่กลับหลอกใช้วานวานมาลงมือกับข้า” เขาเอ่ยเสียดสีไปว่า “สมกับเป็นน้องสาวแท้ๆ ของสะใภ้ที่นางเฉียนหมายตาไว้จริงๆ!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินคำ พลันเอ่ยอย่างเย็นชาไปว่า “ฉะนั้น ต้องรอท่านอาเจ้าผู้นั้นลงมือกับพี่สาวและหลานชายข้าก่อน ข้าจึงควรตอบโตรึ? เจ้าเห็นข้าเป็นคงโง่หรือไร?”
เติ้งจงฉีเอ่ยเย็นชาว่า “คุณหนูตวนมู่จิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ข้าไม่อาจเทียบได้จริงๆ!”
“ต่อให้เจ้ามีจิตใจเด็ดเดี่ยวดังว่า แล้วจะกล้าแตะต้องข้ารึ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยเยียดหยัน “บุตรหลานตระกูลใหญ่มีนับพันนับหมื่น ต่อให้เจ้ามีสนมเอกหนุนหลัง ทว่าในสายตาของทุกคนแล้ว ให้มีเจ้าสิบคนรวมกันก็ยังไม่สำคัญเท่าข้าที่เป็นผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวของท่านอาจารย์เลย พี่เว่ยอยู่ที่นี่ เจ้าลองถามนางดู ว่าระหว่างเจ้ากับข้า หากให้มีชีวิตรอดเพียงผู้เดียว นางจะเลือกผู้ใด?”
เติ้งจงฉีหันไปมองเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตามืดมนน่าหวั่นกลัวคราวหนึ่ง … เว่ยฉางอิ๋งที่นั่งอยู่ในที่นั่งรอส่งถ้วยชาให้แก่จูสือแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “น้องซินเหมี่ยว ที่สุดพวกเจ้าก็นึกถึงข้าขึ้นมาได้แล้ว ข้ารู้สึกซาบซึ้งเสียจริงๆ!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเม้มปาก กล่าวว่า “พี่เว่ย เมื่อครู่นี้ข้าละเลยท่านแล้ว ข้าเองก็รู้ว่าที่พี่รีบรุดมาครานี้หาใช่เพราะเป็นห่วงเติ้งจงฉีจริงๆ ทว่าเพราะที่แห่งนี้ก็คือหมิงเพ่ยถัง ท่านวางใจเถิด ข้ารู้จักควรไม่ควร ท่านดูสิ คนผู้นี้ทะเลาะกับข้าอยู่ครึ่งค่อนชั่วยามแล้วก็ยังมีชีวิตอยู่นี่? ข้ายังคงเก็บเขาไว้ไปเตือนสนมเอก ย่อมไม่ให้เขามาตายอยู่ที่นี่หรอก”
เว่ยฉางอิ๋งสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้เป็นห่วงคุณชายเติ้งจริงๆ?”
คำพูดนี้ทำเอาตวนมู่ซินเหมี่ยวสะดุ้ง เติ้งจงฉีก็ค่อยๆ มีสีหน้าบ่งบอกถึงความซาบซึ้งใจ พลันเงยหน้าขึ้นมามองนางคราวหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว อยากเอ่ยปากแต่ก็สงบคำไว้ ได้ยินเพียงเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหากคุณชายเติ้งมีภารกิจในซีเหลียง แล้วบ้านสามีข้าจะทูลกับฮ่องเต้และอธิบายกับตระกูลเติ้งได้อย่างไร ว่ากันแต่เพียงไมตรีส่วนตัว คุณชายเติ้งเคยช่วยชีวิตข้าไว้ที่เขาไผ่น้อยคราหนึ่ง ข้าเองก็ไม่อาจลืมได้”
“เรื่องที่เขาไผ่น้อย จะว่าไปแล้วทั้งข้าและพี่กู้ก็มีส่วนรับผิดชอบด้วยขอรับ” เติ้งจงฉีเอ่ยเบาๆ “หากมิใช่เพราะจู่ๆ พวกข้าขึ้นเขาไป ท่าน…พี่สะใภ้ก็มิต้องหลบหลีกพวกเราและไปนั่งพักที่ศาลาไผ่หลังกระท่อม และย่อมไม่ต้องเจอกับงูเขียวหางไหม้ตัวนั้นแล้ว”
“คุณชายเติ้งมิทราบ เดิมทีไม่มีศาลาไผ่นั้น เป็นน้องชายข้าให้คนไปสร้างขึ้นมาก่อนหน้านั้นไม่นาน เดิมทีเอาไว้ให้เขาได้มีที่อ่านหนังสือที่หลังกระท่อม” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้องชายข้าตั้งใจเล่าเรียน เคยเรียนแต่เพียงท่าสัตว์ทั้งห้ามาชุดหนึ่งที่เอาไว้ออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วฝีไม้ลายมือก็นับไม่ได้ว่าแคล่วคล่องว่องไว งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นมีสีเดียวกับศาลาไผ่ ยามข้าและสาวใช้เข้าไปในศาลาก็ยังมองไม่เห็น ฉะนั้นหากน้องชายและบ่าวของเขาเข้าไปต้องไม่สังเกตเห็นเป็นแน่ หากวันนั้นข้ามิได้หลบเลี่ยงคุณชายและคุณชายกู้ แล้วไปนั่งพักที่ศาลาไผ่สักครู่ และได้รับการช่วยเหลือจากคุณชาย ทว่างูเขียวหางไหม้ตัวนั้นยังคงอยู่ภายในนั้น ภายหลังน้องชายข้าก็ต้องไปอ่านหนังสือที่นั่น หากได้รับอันตรายขึ้นมา ผลที่จะตามมาก็หนักหนาจนคาดไม่ถึง! ฉะนั้นข้าจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของคุณชายยิ่งนัก”
เติ้งจงฉีเอ่ยปากอย่างค่อนข้างอึกอักว่า “เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“สำหรับคุณชายแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าท่านแม่ข้ากลับซาบซึ้งใจต่อคุณชายอย่างล้นเหลือ” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟังพลันเดือดร้อนรำคาญใจ จึงบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่เว่ย ท่านซาบซึ้งที่เติ้งจงฉีเคยช่วยชีวิตท่าน แต่เรื่องที่พวกเราศิษย์อาจารย์เคยช่วยเหลือ ตระกูลเว่ยของพวกท่านก็มิใช่ไม่น้อยกระมัง? ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเจียงเจิงครูฝึกของท่าน ว่ากันแต่ครั้งท่านคลอดบุตร ข้าก็ไปเฝ้าอยู่นอกห้องคลอดแทนอาจารย์ แม้จะไม่ได้ช่วยเรื่องใด แต่อย่างไรก็นับว่าเป็นน้ำจิตน้ำใจเช่นกัน ท่านอย่างได้คิดว่าข้ากำลังลำเลิกบุญคุณ แต่ในเมื่อท่านจะคิดถึงความดีของเติ้งจงฉี ก็ไม่ควรลืมที่ข้าดีต่อท่าน แล้วลำเอียงไปข้างเข้ากระมัง?”
“ก็ด้วยพวกท่านทั้งสองฝั่งล้วนมีบุญคุณต่อข้า ข้าจึงทนเห็นพวกท่านมาห้ำหั่นกันไม่ได้ ฉะนั้นจึงละวางกิจต่างๆ ลงแล้วรีบมานี่อย่างไร” เว่ยฉางอิ๋งนั่งฟังอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม จึงคิดหาวิธีไกล่เกลี่ยเอาไว้นานแล้ว เวลานี้จึงบอกว่า “ความจริงแล้วพวกท่านทั้งสองล้วนมิได้มีความแค้นใดต่อกัน แล้วไยต้องเป็นเช่นนี้?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเคืองโกรธว่า “พี่เว่ยท่านพูดออกมาได้อย่างง่ายดายเกินไปแล้ว! ข้าและเติ้งจงฉีไม่มีความแค้นต่อกันรึ? สนมเอกเติ้งก็บอกกับข้าชัดเจนแล้วว่าให้ข้ามาช่วยสอดแนมให้นางในซีเหลียงให้ดีๆ! จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นของพวกท่านเช่นกันนะ …ข้าอยู่ที่ซีเหลียงจะมาสอดแนมเรื่องใด? ก็มิใช่ต้องนำเรื่องความเคลื่อนไหวของสามีพี่เว่ยรายงานขึ้นไปหรอกหรือ! ท่านไม่ช่วยข้าจัดการเติ้งจงฉี แล้วยังจะมาพูดเช่นนี้อีก!”
“ดีชั่ว ทั้งเรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูดยามอยู่ต่อหน้าผู้คน เมื่อครู่นี้พวกท่านล้วนพูดออกมาหมดแล้ว ข้าก็จะไม่พูดเรื่องอื่นอีก” เว่ยฉางอิ๋งโบกมือบอกให้นางสงบอารมณ์สักหน่อย แล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “เรื่องบุญคุณความแค้นนั้น ครั้งนั้นพวกเราล้วนไม่ได้อยู่ด้วย ที่รู้มาทั้งหมดล้วนเพียงได้ยินได้ฟังมา ทั้งเพราะความผูกพันโดยสายเลือดจึงยิ่งทำให้แต่ละฝ่ายมีอคติของตนเอง หากจะมาโต้เถียงกันเรื่องผิดถูก ข้าคิดว่าคงโต้เถียงกันไม่ผลใดหรอก และมิได้มีประโยชน์จริงแท้อันใดด้วย ฉะนั้นซินเหมียวเจ้าวางยาพิษคุณชายเติ้ง หากจะไล่เรียงกันไปจริงๆ ก็เพราะไม่วางใจ พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องใช่หรือไม่?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขบริมฝีปาก ไม่ส่งเสียง
แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็หันไปทางเติ้งจงฉี กล่าวว่า “คุณชายเติ้ง ข้ารู้ว่าท่านมีจิตใจกว้างขวางมาแต่ไร เมื่อครู่นี้ถูกซินเหมี่ยววางยา แต่ก็มิได้ตำหนิซินเหมี่ยวในเรื่องนี้ตรงๆ แต่กลับสงสารวานวานมากกว่า จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นข้าทำไม่ถูก หลายวันมานี้เอาแต่ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จึงละเลยท่านไป สำหรับเรื่องที่ท่านมาถูกวางยาพิษในคฤหาสน์ดั้งเดิมของตระกูลเสิ่นของข้า ข้าต้องขอขมาท่านก่อน!” ว่าพลางหันไปคำนับย่อตัวให้เขาคราวหนึ่ง
เติ้งจงฉีได้ยินนางว่า ‘ในคฤหาสน์ดั้งเดิมของตระกูลเสิ่นของข้า’ ภายในใจก็อดเศร้าสลดไม่ได้ เขาข่มเสียงถอนหายใจไว้ที่ริมฝีปาก แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่สะใภ้ไม่ต้องทำเช่นนี้” ว่าพลางเอื้อมมือไปประคองนางเบาๆ คราวหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว
เว่ยฉางอิ๋งยืนกรานจะโค้งตัวคำนับเขาให้เรียบร้อย เมื่อลุกขึ้นมาแล้วก็บอกกับ ตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “ฉะนั้นข้าต้องต่อว่าน้องซินเหมี่ยวว่าเจ้าเลอะเลือนแล้ว!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่ยอมใจว่า “ข้าเลอะเลือนเช่นใด? พี่เว่ยท่านอย่าเอาแต่ช่วยเติ้งจงฉีสิ!”
“โปรดให้ข้าพูดตรงๆ ซึ่งยังคงเป็นคำที่เอ่ยไปแล้ว คิดว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าทะเลาะกันรุนแรงจึงฟังไม่ได้ยิน ครานี้ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ลำพังแค่พระสนมเอกเพียงผู้เดียวก็ยังทำอันใดพระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องไม่ได้!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “น้องซินเหมี่ยวเจ้าวางยาพิษคุณชายเติ้ง ก็มิใช่เพราะต้องการใช้การนี้บีบไม่ให้ สนมเอกกล้าทำการร้ายใดอีก แต่น้องหญิงคิดจริงๆ หรือว่าลำพังอาศัยสนมเอกก็จะสร้างความลำบากให้แก่พี่สาวและหลานชายของเจ้าได้? หลานชายของเจ้าเป็นสายพระโลหิตของฮ่องเต้เชียวนะ! ยิ่งไม่ต้องบอกว่าองค์ฮองเฮาองค์ปัจจุบันดีงามเปี่ยมคุณธรรมเพียงใด แล้วจะไม่ดูแลสายพระโลหิตของฮ่องเต้เป็นอย่างดีได้ที่ใด จะปล่อยให้สนมเอกลงมือส่งเดชได้หรือ?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขมวดคิ้วกล่าวว่า “พี่เว่ยท่านกำลังบอกว่า สนมเอกกำลังขู่ให้ข้ากลัวหรือ?”
“ข้าไม่กล้าเอ่ยถึงอุปนิสัยของสนมเอกได้อย่างแน่ใจ เพราะอย่างไรข้าก็ไม่เคยพบกับสนมเอกมากเท่าใด แต่คุณชายเติ้งอยู่ที่นี่ น้องหญิงสามารถถามจากคุณชายเติ้งได้ว่าเหตุใดสนมเอกจึงพูดเช่นนั้นกับเจ้า?” เว่ยฉางอิ๋งอาศัยจังหวะที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกำลังนิ่งคิด พลันหันไปส่งสายตาให้แก่เติ้งจงฉีหนหนึ่ง
เติ้งจงฉีสะดุ้งอยู่น้อยๆ พลันก้มหน้าคิดสักพัก คล้ายมีความคิดบางอย่าง แล้วพยักหน้ารับเบาๆ
ยามนี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเอ่ยถามว่า “เติ้งจงฉี เจ้าคิดว่าท่านอาเจ้าเอาพี่หญิงใหญ่และหลานชายข้ามาขู่ข้าด้วยเหตุใด?”
“ท่านอาไม่ใคร่เหมือนคนที่จะทำการเช่นนี้” เติ้งจงฉีเอ่ยไปเรียบๆ
“นี่เจ้ากำลังบอกว่าข้าโกหกรึ!” ด้วยตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่สาวคนโตและหลานชาย กอปรกับอคติแต่เดิมของนางจึงชิงชังสนมเอกและคน ตระกูลเติ้งเป็นอย่างมาก ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคำพูดใดย่อมคิดไปในทางร้ายเสียก่อนเสมอ เมื่อได้ยินคราวนี้จึงบันดาลโทสะขึ้นทันใด!
เคราะห์ดีที่เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปคำหนึ่ง “สนมเอกเติ้งเป็นคนฉลาดหลักแหลม ทั้งวาจาและการกระทำของคนฉลาดหลักแหลมย่อมมีความหมายอยู่ภายใน!” จึงทำให้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวระงับโทสะเอาไว้ชั่วขณะ พลันสะบัดแขนเสื้อ กล่าวว่า “เช่นนั้นเป็นความหมายภายในอันใด?”
_____________