ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 12-1 สงบข้อพิพาท (2)
“สนมเอกเติ้งเพียงผู้เดียวไม่เพียงพอไปสร้างความลำบากให้แก่พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋อง” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ประเด็นนี้ตัวสนมเอกเองก็ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับยังมาพูดกับน้องซินเหมี่ยวเจ้าดังนี้ น้องก็รู้ว่าแต่ไรมาสนมเอกเป็นคนที่ฉลาดเป็นที่สุด และน้องเองก็หาใช่คนที่ขี้ขลาดเช่นนั้น แล้วสนมเอกจะคิดว่าเพียงคำพูดเช่นนี้ของนางจะขู่ให้น้องกลัวได้อย่างไร? สนมเอกจะคิดไม่ถึงว่าหากไม่อาจขู่น้องได้ แล้วยามน้องเคืองโกรธขึ้นมาก็จะอาศัยจังหวะที่คุณชายเติ้งพี่น้องล้วนอยู่ที่ซีเหลียงมาลงมือเสีย เหมือนกับที่เกิดในวันนี้เช่นนั้นหรือ?
สีหน้าของตวนมู่ซินเหมี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “พี่เว่ย ท่านหมายความว่า …?”
“หากมิใช่ว่าสนมเอกมีคนหนุนหลัง ย่อมสามารถขู่ให้น้องกลัวได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะไปลงมือกับคุณชายเติ้งและวานวาน หรือไม่ก็ความจริงแล้วสนมเอกไม่ต้องการล่วงเกินน้อง แต่กลับไม่อาจไม่ทำดังนี้ได้” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างราบเรียบ
สีหน้าของตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันเขียวคล้ำทันใด!
นางจะฟังความหมายในคำพูดของเว่ยฉางอิ๋งไม่ออกได้อย่างไรว่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะสนมเอกมีคนหนุนหลัง หรือเพราะสนมเอกไม่อาจไม่พูดไปดังนั้น ด้วยฐานะของ สนมเอกแล้ว คนที่สามารถหนุนหลังสนมเอกได้ นอกเสียจากฮ่องเต้แล้วจะยังเป็นผู้ใดอีก? ด้วยฐานะเช่นสนมเอก นอกจากฮ่องเต้แล้วยังมีผู้ใดที่สามารถบีบให้นางไม่อาจไม่ออกหน้ามาแสดงตัวเป็นคนร้าย?
ดีชั่วอย่างไรเบื้องลึกของเรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับฮ่องเต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
เป็นดังคำของเว่ยฉางอิ๋ง หากเป็นเพียงสนมเอกที่ประสงค์ร้ายต่อพระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋อง ตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็ไม่ได้หวาดกลัวอันใดนักหนา หาไม่แล้ว ยังไม่ทันได้ทักทายสักคำก็มาลงมือวางยาพิษเติ้งจงฉีในทันใดเช่นนี้ โดยไม่กลัวจะทำให้ สนมเอกเคืองโกรธ เพราะต่อให้สนมเอกเคืองโกรธ ก็มิใช่ว่าคิดจะแก้แค้นก็จะสามารถมาแก้แค้นได้
ทว่าหากเป็นฮ่องเต้กลับไม่เหมือนกัน…
องค์ชายสี่สิ้นไปแล้ว พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องเป็นหญิงม่ายกับเด็กกำพร้า มารดาของตวนมู่เวยเหมี่ยวและตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เสียไปแล้ว ไร้พี่ชายน้องชายแท้ๆ คอยสนับสนุน แม้โจวเยวี่ยกวงแม่เลี้ยงของนางจะมีชื่อเสียงว่าดีงาม แต่อายุของโจวเยวี่ยกวงก็ยังอ่อนกว่าตวนมู่เวยเหมี่ยวสองปี ซึ่งแน่นอนว่าคนทั้งสองที่เรียกขานกันว่าแม่ลูกจึงไม่เคยได้พบกันมาก่อน แล้วจะสามารถมาเอาใจใส่ดูแลลูกเลี้ยงอย่างจริงใจได้สักเท่าใดกัน?
ตวนมู่เวยเหมี่ยวสามารถเฝ้าอยู่แต่ในเรือนไม่ออกไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะอ้างว้างก็ดี โดดเดี่ยวก็ช่าง ดีชั่วก็สามารถปิดประตูแล้วใช้ชีวิตของตนอยู่อย่างสงบ ไม่จำเป็นต้องทนดูสีหน้าผู้ใด …แม้หลายปีมานี้จะไม่มีผู้ใดสรรเสริญเยินยอ ทว่าด้วยบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานมาให้จึงไม่มีคนไปหาเรื่องพวกนาง พูดได้ว่าชีวิตที่สงบสุขของสองแม่ลูกนี้ล้วนเป็นฮ่องเต้พระราชทานมาให้
เมื่อฮ่องเต้พระราชทานให้ได้ แล้วจะเอากลับไปไม่ได้หรือ?
หากฮ่องเต้จะเอากลับไป นั่นก็เป็นพระสุณิสา[1]ของฮ่องเต้ และพระนัดดาของฮ่องเต้ ก็เหมือนกับจี้อ๋องที่ถูกปลดเป็นสามัญคนก่อนหน้านี้เช่นนั้น ฮ่องเต้จะทรงสั่งสอนพระโอรสและพระนัดดาของพระองค์ แล้วผู้อื่นจะพูดสิ่งใดได้เล่า? ตวนมู่สิ่งรีบร้อนไปเก็บเนื้อเก็บตัวก็ยังไม่ทันเลย แล้วจะมีแก่ใจไปดูแลหลานตาที่แต่งออกไปตั้งนมนานแล้วได้ที่ใด ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่ที่รักใคร่ตวนมู่เวยเหมี่ยวก็กลับเสียไปแล้ว…
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาดวงตาของตวนมู่ซินเหมี่ยวก็แทบจะแดงก่ำแล้ว นางมองไปทางเว่ยฉางอิ๋ง เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “พี่เว่ยจะสอนสั่งข้าได้หรือไม่?”
“จะว่าไปแล้วครานี้น้องซินเหมี่ยวก็พลอยรับเคราะห์อย่างไร้ความผิด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางถอนหายใจ “เดิมทีที่ซีเหลียงแห่งนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับน้อง แต่กลับดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย! ทว่าข้าคิดว่าไม่ว่าจะเป็นข้าหรือท่านพี่ ก็ทำการทุกสิ่งอย่างองอาจเปิดเผยตลอดมา หากซีเหลียงเกิดเรื่องใด แล้วมีข่าวคราวไปถึงทางเมืองหลวงก็มิได้เป็นอันใด”
เดิมทีที่นางทำการอึกทึกครึกโครมเพียงนี้ก็เพราะต้องการสร้างฐานอำนาจให้แก่เสิ่นจั้งเฟิง และเพื่อให้ฮ่องเต้วางพระทัยด้วยว่าภายในหมิงเพ่ยถังเกิดการต่อสู้ภายในขึ้นมาแล้ว ย่อมไม่มีเวลาไปคุกคามราชบัลลังก์แล้ว เช่นนั้นฮ่องเต้ท่านก็จงไปเสวยน้ำจันทน์หาความสำราญกับบรรดาสนมที่ตำหนักหลังอย่างสบายพระทัยเถิด! ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าตระกูลสูงศักดิ์จะมีอำนาจแข็งแกร่งและมาสั่นคลอนแผ่นดินของราชสกุลเซินของท่านแล้ว!
อีกประการเรื่องที่นางทำทั้งหมดเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเพียงนี้ แล้วทางเมืองหลวงจะไม่รู้ได้อย่างไร? หากจะมีตวนมู่ซินเหมี่ยว เป็นผู้สอดแนมขึ้นมาอีกสักคน นางก็ล้วนไม่รู้สึกอันใด ดีชั่วเรื่องที่สำคัญจริงๆ คนที่ไม่ควรได้รู้ก็จะไม่มีทางให้ได้รู้อยู่แล้ว!
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเดินทางมาที่นี่ในฐานะที่นางเป็นหมอเท่านั้น หากจะบอกว่านางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเสิ่น ก็มิได้ใกล้ชิดถึงขั้นที่เข้านอกออกในได้ตามใจ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง แม้แต่เหตุผลจะขัดขวางไม่ให้นางล่วงรู้เรื่องที่เป็นความลับก็ยังไม่ต้องหาเลยด้วยซ้ำ
ความจริงแล้วการที่ส่งผู้สอดแนมเช่นนี้มากลับไม่ใคร่มีประโยชน์เท่าใดนัก ดีชั่วอย่างไรตระกูลเสิ่นก็ไม่ได้คิดจะยกทัพจากซีเหลียงเข้าโจมตีเมืองหลวง ตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็ไม่ได้ยินดีจะเดินเตร็ดเตร่เข้าออกซอกซอยเพื่อสืบหาข่าวอยู่ทุกวี่วัน ประโยชน์ที่พอจะได้จากนางก็เป็นเพียงหูตาที่ธรรมดาสามัญในแดนไกล ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วสามารถมองข้ามโดยไม่ต้องใส่ใจได้ สิ่งที่คุณหนูตวนมู่แปดผู้นี้ร่ำเรียนนอกจากกริยามารยาทของคุณหนูมีตระกูลแล้วก็คือวิชาแพทย์ หากใช่นักสืบ แล้วจะรับหน้าที่ของนักสืบได้ที่ใด? เห็นหรือไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันเอ่ยถามซึ่งหน้าเลย นางทะเลาะกับเติ้งจงฉีไปเรื่อยๆ ก็บอกออกมาเองเสียแล้ว
…เว่ยฉางอิ๋งคาดเอาเองตลอดมาว่าฮ่องเต้ทรางเตรียมตัวป้องกันตระกูลสูงศักดิ์จนกลายเป็นความเคยชินแล้ว พอมีที่ให้ต้องระแวง หากไม่หาเรื่องจัดการสักหน่อยก็จะไม่อาจวางพระทัยได้ ส่วนเรื่องที่ว่าที่แท้แล้วจะทรงจัดการได้ผลหรือไม่ จะถูกหรือจะผิด โดยมากแล้วเมื่อฮ่องเต้ทรงจัดการก็จะไม่ไปพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้ บางทีฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าตนเองฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก แม้ตระกูลสูงศักดิ์จะมีความทะเยอทะยานใหญ่หลวงแต่กลับไม่กล้าเพิกเฉยต่อผู้ทรงอำนาจสูงสุดเช่นพระองค์ เพียงแต่ว่าฮ่องเต้ก็ถอยเข้าไปอยู่ที่ตำหนักหลังนานปีแล้ว ไม่เอาพระทัยใส่ราชกิจต่างๆ หากวันหนึ่งทรงสนพระทัยในบางเรื่องขึ้นมา เรื่องนั้นก็จะต้องสำเร็จเป็นผล …ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่น่าสงสารที่ครานี้มาถึงคราวของนางพอดี ทั้งยังเอาไช่อ๋องแม่ลูกเข้ามาพัวพันโดยทางอ้อมอีกด้วย
ทว่า ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่สามารถเข้าใจพระทัยที่ซับซ้อนของฮ่องเต้ กลับคิดได้แต่เพียงเรื่องที่ตนต้องอัปยศอดสู นางขบฟัน “ข้าไม่ยอม! ข้ากลับมิได้รู้สึกแทนพี่เว่ย เพียงแต่ข้าทนรับกับชีวิตที่ถูกบีบให้ไปทำนั่นทำนี่เช่นนี้ไม่ได้จริงๆ !”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็จนปัญญา เอ่ยไปตามจริงว่า “นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ สมมติว่ามิใช่ท่านผู้นั้น …แต่เวลานี้ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นท่านผู้นั้น”
นอกเสียจากว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไม่ห่วงใยอาทรพระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋อง หาไม่แล้วนางก็จะไม่วันถูกข่มขู่ได้
เติ้งจงฉีที่อยู่อีกข้างพลันเอ่ยเบาๆ ออกมาว่า “ข้าคิดว่าฮ่องเต้ไม่น่าทรงทำอันใดกับไช่อ๋องแม่ลูก เพราะอย่างไรไช่อ๋องก็ทรงเป็นสายพระโลหิตของฮ่องเต้ อย่างมากก็เพียงแค่ถอดถอนพระยศเหมือนกับจี้อ๋องในครานี้เท่านั้น”
“หลานชายข้าผู้นั้นจะเหมือนกับจี้อ๋องได้อย่างไร?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเดือดร้อนรำคาญใจ “จี้อ๋อง…โอ๊ะ เวลานี้เป็นสามัญชนเซินเจียแล้ว ภรรยาเอกของก็เป็นพี่สามีของพี่เว่ยท่านด้วย! อาศัยตระกูลฝั่งภรรยาก็ยังเป็นคนมั่งคั่งอยู่สุขสบายไปจนแก่เฒ่าได้อย่างไม่ยากเย็น ลูกหลานในวันข้างหน้าอย่างน้อยๆ ในสองรุ่นนี้ อย่างไร ตระกูลเสิ่นก็ต้องคอยดูแล หลายชายข้าผู้นั้นนอกจากจะยังเล็กอยู่ พี่หญิงใหญ่ของข้า ….ทั้งท่านย่าและท่านแม่ก็ล้วนเสียไปแล้ว ท่านพ่อก็รักหลงพวกอนุและพวกพี่ชายน้องชายบุตรอนุ ทั้งยังเป็นดังที่เขาว่ากันว่าบุตรสาวแต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากประตู แล้วจะมีแก่ใจมาสนใจพวกเราได้สักเท่าใดกัน?”
เติ้งจงฉีเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “พระมารดาไช่อ๋องก็มีสินติดตัว ต่อให้ตระกูลตวนมู่ดูดายไม่สนใจ แต่ก็เพียงพอจะเป็นคนมั่งคั่งอยู่สุขสบายแล้ว”
———————————-
[1] พระสุณิสา แปลว่า ลูกสะใภ้ของกษัตริย์