ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 13-2 บอกความลับ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เติ้งจงฉีจึงตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ทำเรื่องเสี่ยงเช่นวันนี้อีกแล้ว
ทว่าไม่คิดว่าแม้เขาจะพยายามเก็บซ่อนความในใจเอาไว้อย่างสุดกำลังแล้ว แต่ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังอยู่ในยามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจึงต้านทานเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ เมื่อมีเรื่องให้จับผิดเพียงเล็กน้อยก็มีคนเอาไปฟ้องกับเสิ่นจั้งเฟิงในทันใด “วันนี้ฮูหยินน้อยสนทนากับคุณชายเติ้งตามลำพังอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม แม้จะมีบ่าวอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ถูกจารีตธรรมเนียมนะขอรับ”
ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงตัดสินใจแล้วว่าจะสนับสนุนภรรยาให้เข้ามาจัดการดูแลหมิงเพ่ยถังให้เรียบร้อยได้โดยไว ย่อมไม่ไปสนใจเสียงลือเสียงเล่าอ้างเหล่านี้ จึงถามถึงต้นสายปลายเหตุไปอย่างเรียบๆ แล้วบอกว่า “ความรับผิดชอบในเรื่องนี้ควรเป็นน้องชายสี่ ยามนี้ทั้งเสียงจือและคุณหนูตวนมู่ล้วนเป็นแขกของหมิงเพ่ยถังของเรา เมื่อมาถูกทำร้ายในหมิงเพ่ยถังของเรา แม้คนที่ลงมือจะมิใช่คนของหมิงเพ่ยถัง หากแต่เป็นแขกอีกคนหนึ่ง แต่จะอย่างไรตระกูลเสิ่นของเราก็ต้องรับผิดชอบด้วย! น้องชายสี่เอาแต่ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกอยู่ทั้งวัน แล้วข้าก็ต้องอยู่พักรักษาตัวที่นี่ หากภรรยาข้าไม่ออกหน้าไปช่วยไกล่เกลี่ย หรือจะปล่อยให้พวกเขาทั้งสองฝ่ายสู้กันให้รู้เป็นรู้ตายในหมิงเพ่ยถังกัน?”
คนที่มาฟ้องจึงว่า “ฮูหยินน้อยไปไกล่เกลี่ยย่อมเป็นการสมควรแล้วขอรับ แต่ภายหลังเมื่อพี่น้องตระกูลเติ้งจากไป ฮูหยินน้อยก็ตามไปจนถึงในเรือนพักของคุณหนูเติ้งซึ่งหากว่ากันตามหลักแล้วก็สามารถเข้าใจได้ เพียงแต่เมื่อท่านหมอล้วนกลับไปหมดแล้ว ฮูหยินน้อยก็ยังไปสนทนากับคุณชายเติ้งอีกพักใหญ่จึงค่อยไปนะขอรับ ช่างเป็นการ… อยู่ต่อสายตาของทุกคน ย่อมต้องทำให้เกิดเสียงครหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ขอรับ”
“ในเมื่ออยู่ต่อสายตาของทุกคน ก็เห็นได้ว่าเป็นเพียงการเอ่ยปลอบขวัญทั่วไปเท่านั้น” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยไปเรียบๆ “พ่อแม่ของเสียงจือจากไปเร็ว เขาจึงรักใคร่สงสารน้องสาวนัก ประเด็นนี้มีผู้ใดในเมืองหลวงที่ไม่รู้บ้าง ยามนี้คุณหนูเติ้งตกอกตกใจยิ่งนัก เพียงคิดก็รู้ว่าพี่ชายเช่นเขาย่อมจิตใจไม่สงบ เดิมทีต้องให้เขามาเกิดเรื่องเพราะ คุณหนูตวนมู่ในหมิงเพ่ยถังก็เป็นเพราะตระกูลเสิ่นของเราดูแลแขกไม่ทั่วถึงแล้ว เมื่อส่งท่านหมอกลับแล้วไปขอขมาสักหน่อย ปลอบโยนสักคำสองคำ นี่ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว หรือว่าแม้แต่ความใจกว้างน้อยนิดนี้ ฮูหยินน้อยผู้ปกครองเรือนก็จะยังไม่มี? หรือเพราะเป็นพวกเจ้าคิดจะอาศัยเรื่องนี้มาบีบให้ภรรยาเข้าหลบอยู่แต่ในเรือน แล้วให้พวกเจ้าปิดหูปิดตามใจ?”
แล้วต่อว่าคนที่มาฟ้องว่า “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดแจ่มแจ้งเพียงนี้ แต่ภรรยาข้ายังไม่ว่างส่งคนมารายงานข้า พวกเจ้าก็วิ่งมาก่อนหน้าเสียแล้ว พวกเจ้าต้องรู้เรื่องในวันนี้นานแล้ว แต่กลับจงใจปิดบัง! แล้วจะเลี้ยงคนเช่นพวกเจ้าไว้ทำสิ่งใด? กลับไปก็เก็บข้าวของเสีย แล้วพาคนทั้งบ้านเจ้าย้ายออกไปด้วย ไม่ต้องอยู่ในหมิงเพ่ยถังอีกต่อไปแล้ว”
เพิ่งจะให้คนออกไป เว่ยฉางอิ๋งก็มาถึงพอดี เมื่อเข้ามาในห้องก็แย้มยิ้มและเอ่ยถามถึงอาการบาดเจ็บของเขาในวันนี้ แล้วสองสามีภรรยาก็เย้าหยอกกันสองสามคำจึงพูดเรื่องจริงจังกัน เว่ยฉางอิ๋งยกมือเอาปอยผมทัดหลังใบหู เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าคนออกไปจากเรือนเจ้า คล้ายว่าเป็นบ่าวที่เกิดในบ้านและอยู่แถบทิศตะวันออก?”
“ข้าให้พวกเขาย้ายออกไปแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยไปอย่างผ่อนคลาย “เจ้าหาคนอื่นมาทำงานแทนพวกเขาเถิด ดีชั่วบ่าวไพร่ในหมิงเพ่ยถังแห่งนี้ก็มีมากมายนัก”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ได้ถามถึงสาเหตุ กล่าวว่า “ได้” แล้วบอกอีกว่า “ซินเหมี่ยวและคุณชายเติ้งวิวาทกัน ซินเหมี่ยวบอกว่าก่อนจะมานางถูกสนมเอกบีบให้มาช่วยสอดแนม แม้แต่ไช่อ๋องแม่ลูกก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เวลานี้ซินเหมี่ยวเป็นทุกข์และขัดเคืองนักหนาแล้ว!”
แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังโดยคร่าวๆ ครั้งบ่าวที่เกิดในบ้านที่มาขอพบและบอกความลับก่อนหน้านี้ก็เล่าเรื่องต่างๆ ไปพอประมาณแล้ว …เสิ่นจั้งเฟิงฟังจนจบแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องความแค้นของทางฝั่งท่านหมอเทวดาและตระกูลเติ้งนั้นซับซ้อนยิ่งนัก ต่อให้เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝั่งรู้ แต่ความจริงแล้วก็ไม่ครบถ้วนทั้งหมด ทว่า สาเหตุที่ท่านหมอเทวดาจี้รับคุณหนูตวนมู่เป็นศิษย์ ข้ากลับพอจะรู้อยู่บ้าง”
“หือ?”
“ปีนั้นอดีตฮองเฮาเฉียนกลับไม่ได้ไม่ต้องการปกป้องจี้อิง ความจริงแล้วคือปกป้องไม่ได้” เสิ่นจั้งเฟิงอธิบายว่า “หลังจากคนทั้งบ้านของจี้อิงต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย นางเฉียนก็พยายามช่วยอย่างสุดกำลัง หาไม่แล้วตระกูลจี้ก็จะไม่ได้ถูกเนรเทศมาที่ซีเหลียง หากแต่จะต้องถูกส่งไปที่ตงหูตามความต้องการของสนมเอกเติ้ง นี่ต่างหากจึงเป็นสาเหตุว่าที่แม้ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะถือโทษนางเฉียนแต่กลับยอมรับตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นศิษย์”
ในเมื่อเขาเอ่ยถึงตงหู เว่ยฉางอิ๋งก็ฟังความหมายบางอย่างออก จึงบอกว่า “ที่แท้ก็ยังเป็นตระกูลหลิวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?”
“เพราะฮองเฮาพระองค์แรกของฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ตระกูลหลิวจึงส่งนางเฉียนเข้าวังเป็นฮองเฮาองค์ต่อมา ทว่าก็กลัวว่าหากนางเฉียนมีโอรสก็จะคุกคามอำนาจขององค์ชายใหญ่ จึงใช้กลวิธีบางอย่าง …ทว่าจี้อิงมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ นับแต่ก่อนองค์ชายสี่ลืมตาดูโลก ตระกูลหลิวก็ต้องการสังหารจี้อิงแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ประการแรกนางเฉียนรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณจี้อิง ประการที่สองด้วยเกรงกลัวว่าพิษกระเรียนระทมที่แม้แต่ตระกูลหลิวเองก็ยังแก้พิษไม่ได้แต่มีเพียงสายของจี้อิงที่ถอนพิษได้ นางจึงพยายามช่วยเหลือจี้อิง แต่ท้ายสุดก็ยังหลงลืมสนมซูเฟยแซ่ฮั่วที่เดิมทีไม่มีคนสนใจ ซึ่งถูกตระกูลหลิวหยิบยกเอาหลักฐานชิ้นสำคัญที่ว่ากันนั้นออกมาบีบจนจี้อิงต้องตาย ภรรยาและลูกหลานของเขาก็ต้องได้รับโทษไปด้วย หลังจากสนมฮั่วถูกตัดสินโทษตายด้วยข้อหานั้น นางเฉียนพยายามสุดกำลังจึงสามารถเปลี่ยนที่เนรเทศภรรยาและลูกบนของจี้อิงจากตงหูเป็นซีเหลียง ซึ่งตอนนั้นนางก็มาขอกับท่านพ่อท่านแม่ของเราเป็นการส่วนตัวให้ช่วยดูแลอยู่ลับๆ ด้วย ทว่าบ้านเราไม่ยอมถูกดึงเข้าไปพัวพันลึกเกินไป จึงกำชับเพียงคนจำนวนน้อยในตระกูลเท่านั้น แม้จะคอยช่วยดูแลอยู่บ้าง ทว่าก็ล้วนทำอย่างลับๆ ไม่ให้คนนอกล่วงรู้”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ที่แท้นับแต่สมัยจี้อิงก็สามารถถอนพิษของกระเรียนระทมได้แล้วหรือ? ข้าก็นึกว่าพิษนี้เป็นท่านหมอเทวดาจี้แก้ได้เสียอีก”
“พวกเขาปู่หลาน เป็นผู้ใดที่แก้พิษกระเรียนระทมได้ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ย “เพราะนับแต่ตระกูลหลิวได้ยาพิษฤทธิ์เย็นนี้มาจากเป่ยหรง จนบัดนี้ก็เพิ่งจะยืนยันได้ว่าจี้ชวี่ปิ้งแก้พิษได้แน่ๆ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน ครั้งนั้นเมื่อนางเฉียนเข้าวังมาหลายปีก็ไม่มีบุตรเสียที หลังจากนางตั้งครรภ์แล้วจึงรีบยกจี้อิงขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงทันที …ฉะนั้นภายหลัง นับแต่ข่าวเรื่อง จี้ชวี่ปิ้งสามารถถอนพิษกระเรียนระทมได้แพร่ออกไป แต่ละตระกูลล้วนคาดเดากันว่า ครั้งนั้นนางเฉียนก็น่าจะต้องพิษกระเรียนระทม ซึ่งตระกูลหลิวล้วนคิดว่าต่อให้นางรู้ก็ไม่อาจทำอันใดได้อยู่ดี แต่ตระกูลหลิวกลับไม่คิดว่าในตระกูลจี้ที่สืบทอดมานับร้อยปีจะมีแพทย์เลื่องชื่อติดต่อกันสองคน และสามารถหาหนทางถอนพิษของยาฤทธิ์เย็นนี้ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนางเฉียนมีบุตรชายแล้ว ก็หันมาเล่นงานองค์ชายใหญ่ในทันใด”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า เดิมทีนั้นอดีตฮองเฮาเฉียนผู้นี้ไม่น่าจะคิดการดังนี้ ทว่าหลังจากถูกตระกูลหลิววางยากระเรียนระทมแล้ว เพื่อระบายความแค้นในอกจึงต้องไปลงมือกับองค์ชายใหญ่เสีย
นางบอกว่า “เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเมื่อกาลก่อน… แต่คนที่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากลับเป็นพวกเขาทั้งสองฝ่าย ยามนี้แต่ละฝ่ายล้วน ยืนกรานในคำพูดของตนโต้แย้งกันไม่จบสิ้น ทั้งยังเป็นคนที่ไม่อาจสั่งให้คนออกไปได้ในทันใดด้วย ยามนี้จึงจับทั้งสองฝ่ายแยกกันไว้ชั่วขณะก่อน และเป็นเพราะวานวานยังคงสลบไม่ได้สติ คุณหนูผู้นี้แม้จะนิสัยดี ทว่าก็ผูกพันกับพี่ชายเสียอย่างยิ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นอีก …หากไม่งัดเอากฎเกณฑ์ออกมาควบคุม ข้ากลัวว่าวันหน้าหากละเลยแต่เพียงน้อยก็จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก อย่างไรก็ต้องจับตาดูพวกเขาไว้ไม่ให้คลาดสายตา?”
แล้วหันไปถาม เสิ่นจั้งเฟิงว่า “เจ้ามีความคิดใดหรือไม่?”
_______________