ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 14 ครอบครัวเป็นสุขได้อยู่พร้อมหน้า
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าจูบข้าหนหนึ่ง ข้าก็จะบอกเจ้า!”
เว่ยฉางอิ๋งหยิกแขนเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง ยิ้มแล้วเอ็ดว่า “กำลังพูดธุระกันอยู่แท้ๆ! เจ้านี่ไม่ตั้งใจเลย!” พูดนั้นพูดไปดังนั้น แต่ก็ยังทำตามคำเขา โน้มตัวเข้าไป แล้วจูบข้างปอยผมของเขา เสิ่นจั้งเฟิงอาศัยจังหวะนี้โอบตัวนางไว้ …สองคนแนบชิดกันอยู่สักพัก เสิ่นจั้งเฟิงจึงถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ดีชั่วอีกสองวันเติ้งจงฉีก็จะไม่อยู่ที่ซีเหลียงแล้ว หยิวเจี่ยก็ให้เขาหยุดเพียงไม่กี่วันนี้เท่านั้น นี่เป็นเพราะว่ายังต้องรอฟังความเคลื่อนไหวของทางพวกตี๋ …รอให้บาดแผลข้าหายดีแล้ว เจ้าก็ส่งคุณหนูตวนมู่กลับเมืองหลวงไปเสียเถิด ซีเหลียงหนาวเหน็บนัก คุณหนูมีตระกูลเช่นนางเกรงว่าจะทนอยู่ได้ไม่นาน อีกประการแม้จะเจ้าอยู่ที่นี่ แต่คุณหนูตวนมู่ก็ยังไม่ออกเรือน หากอาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้วแต่นางยังไม่กลับไปเมืองหลวง ก็จะทำให้เกิดคำครหาเอาได้”
“นี่เป็นความคิดใดกัน” เว่ยฉางอิ๋งใช้นิ้วเชยคางเขาขึ้นมา เอ็ดไปว่า “ต่อให้ข้าไม่ขอคำชี้แนะจากเจ้า แล้วจะคิดไม่ถึงว่าหรือว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือแยกพวกเขาออกจากกันก่อน? เจ้าหลอกข้านี่!”
เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นประคองปิ่นหยกที่ข้างปอยผมของนาง ซึ่งตอนแอบอิงกันเมื่อครู่นี้ถูกชนโดนจนตอนนี้เกือบจะหลุดออกมาจากมวยผม ยิ้มพลางว่า “เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ยามนี้อิ๋งเอ๋อร์มีกิจยุ่งนัก วันหนึ่งสามีได้เห็นเจ้าเพียงครั้ง ยามนี้เห็นเจ้าอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีแก่ใจไปคิดเรื่องอื่นได้ที่ใด? พวกเราพูดถึงเรื่องของเราสักน้อยไม่ได้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งกลับถูกเขาพูดเสียงจนใจอ่อน กล่าวว่า “ยามนี้พวกเราก็อยู่ที่นี่แล้ว จะมีเรื่องใดอีก? ข้าเพียงหวังให้เจ้าหายไวๆ …ส่วนกวงเอ๋อร์นั้น ยามนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสิ่นซูกวงย่อมอยู่สุขสบายดี
คนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่นของท่านอาของเขาก็คือคุณชายแปดเสิ่นเหลี่ยนเหิงที่อายุสิบสองปีแล้ว เมื่อสองปีก่อนก็ย้ายจากเรือนหลังไปอยู่ลำพังที่เรือนทางด้านหน้าแล้ว มารดาของเสิ่นเหลี่ยนเหิงยังมีชีวิตอยู่ เรื่องที่ควรจะอบรมสั่งสอนบุตรชายนางย่อมไม่มีทางไม่ใส่ใจ ฮูหยินซูจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอันใดกับเสิ่นเหลี่ยนเหิง นางจึงใช้เวลาว่างอยู่กับเสิ่นซูกวง
ด้วยการดูแลอย่างเอาใจใส่พิถีพิถันของท่านย่า เวลานี้เสิ่นซูกวงยังอายุไม่ครบปียิ่งโตก็ยิ่งรูปงามน่ารัก พอดวงตาดำขลับบนใบหน้าขาวๆ กรอกไปมา แล้วยิ้มหวานๆ ให้ผู้คน ฮูหยินซูเห็นแล้วก็ใจอ่อนระทวยเป็นธารน้ำ วันนี้ฮูหยินซูอุ้มเขาออกมาเป็นพิเศษเพื่อชมดอกไห่ถังกระถางหนึ่งที่ดูแลอย่างดีอยู่ในห้องอุ่น ดอกสีแดงสดดึงดูดความสนใจของเด็กเล็กยิ่งนัก เพียงแต่เด็กเล็กยังไม่รู้ประสา จึงมิใช่คนที่จะทะนุถนอมดอกไม้ …เสิ่นซูกวงร้องอ้อแอ้ออกมาพลางยื่นมือออกไปดึงทึ้งดอกไม้งามๆ กระถางหนึ่งจนยับเยินไปหมด ฮูหยินซูก็มิได้เคืองโกรธ กลับเอ่ยกับบ่าวข้างกายอย่างกระตือรือร้นว่า “คล้ายว่ากวงเอ๋อร์จะแรงเยอะขึ้นแล้ว?”
“ก็มิใช่หรือเจ้าคะ? สองวันก่อนคุณหนูหลานคนโตเด็ดดอกกุหลาบในห้องอุ่นมาดอกหนึ่ง แล้วริดหนามออกให้คุณชายหลายรองเล่น คุณชายหลานรองดึงตั้งนานจึงดึงดอกกุหลาบจนหลุดได้ เวลานี้มือแต่ละข้างกลับดึงทึ้งดอกไห่ถังได้ทีละดอกแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเถายิ้มพลางล้อเล่นว่า “ข้าน้อยว่า ต่อไปจนคุณชายหลานรองรู้ความแล้วดอกไม้สดที่เรือนฮูหยินคงไม่อยู่ครบได้นานเท่าใดแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูหัวเราะพลางว่า “ดีชั่วก็เพียงแค่ดอกไม้ไม่กี่กระถาง ถ้าเขาชอบ ก็ให้เขาขย้ำตามใจ”
กำลังจะพูดต่อ เสิ่นเซวียนก็เดินสะบัดแขนเสื้อเข้ามาจากข้างนอก
ทุกคนรีบคารวะประมุขตระกูล เสิ่นเซวียนบอกว่าไม่ต้องคารวะ แล้วเข้ามาในโถง เอื้อมมือไปรับหลานชายมา พออุ้มได้ก็เอ่ยอย่างพอใจว่า “หนักขึ้นอีกหน่อยแล้ว”
ฮูหยินซูเอ็ดเขาว่า “ท่านเพิ่งกลับมาจากข้างนอก บนตัวมีแต่ฝุ่น ระวังจะทำให้ กวงเอ๋อร์ไม่สบายเอา!”
“บุตรหลานตระกูลเสิ่นของข้าจะอ่อนแอเพียงนี้ได้อย่างไร?” เสิ่นเซวียนไม่ยี่หร่ะ อุ้มหลานชายไว้ในอกด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งก็ล้วงของจากในแขนเสื้อออกมา กล่าวว่า “วันนี้เดินผ่านร้านช่าง แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าสั่งให้พวกเขาทำของเล่นเล็กๆ ให้ รอกวงเอ๋อร์โตอีกสักหน่อยจึงจะใช้ได้”
ฮูหยินซูนึกว่าเป็นของเล่นใด ไม่คิดว่าเสิ่นเซวียนกลับดึงดาบไม้ยาวครึ่งฉื่อออกมาเล่มหนึ่ง …แม้จะเป็นดาบไม้ แต่งานที่ทำออกมาก็ประณีตงดงามนัก ทำออกมาเหมือนกับกระบี่ ‘ลู่หู’ ที่ถูก ‘มอบให้’ เว่ยฉางอิ๋งเล่มนั้นไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้นยังคู่กับปลอกกระบี่ที่เหมือนกันด้วย
“เวลานี้แม่ของกวงเอ๋อร์ก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ท่านนำกระบี่เล่มนี้มาให้กวงเอ๋อร์ นางก็ไม่ได้เห็นแล้วจะเข้าใจความหมายของท่านได้อย่างได้?” ฮูหยินซูเข้าใจเจตนาของสามีอย่างชัดเจน แล้วมองไปที่บ่าวข้างกายคราวหนึ่ง เพื่อสั่งให้คนออกไปให้หมด จึงเอ่ยอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีว่า “อีกประการหนึ่งกระบี่ ‘ลู่หู’ ก็ให้ไปแล้ว คราวนี้ท่านจะไปขอกลับมา ไม่ห่วงหน้าตาของคนเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นนั้นหรือ?”
เสิ่นเซวียนแค่นเสียงหึๆ กล่าวว่า “เจ้าสามไอ้เจ้าลูกไม่รักดี! เห็นขี้ดีกว่าไส้! หวังแต่ว่าหลานจะไม่เอาเยี่ยงเขาเป็นดี” แล้วว่า “ข้าก็ไม่ได้ทำให้สะใภ้สามดู เพียงแค่ทำเอาไว้ให้กวงเอ๋อร์เล่นตอนโตสักหน่อยเท่านั้น”
ฮูหยินซูบอกว่า “แล้วไยท่านต้องทำเหมือนกับ ‘ลู่หู’ ไม่มีผิดเช่นนี้?”
“คนเป็นปู่เช่นข้ายามนี้ให้กระบี่เล่มนี้กับกวงเอ๋อร์เอาไว้ รอกวงเอ๋อร์โตแล้ว ก็จะต้องกตัญญูต่อปู่เช่นข้าสักหน่อยกระมัง?” เสิ่นเซวียนเอ่ยด้วยความหวังเต็มเปี่ยม “วันหน้าข้าก็จะรอให้เขานำกระบี่ ‘ลู่หู’ มากตัญญูต่อข้า นั่นหาใช่ว่าข้าไปขอเอาคืนจากสะใภ้! แต่เป็นหลานกตัญญูต่อข้าต่างหาก!”
ฮูหยินซูหมดคำพูด “ยามนี้กวงเอ๋อร์ยังไม่สูงเท่ากระบี่ ‘ลู่หู’ เสียด้วยซ้ำ!” ท่านฉวยโอกาสตอนที่สะใภ้ไม่อยู่จึงต้องเอาหลานมาเลี้ยงเองวางแผนการเช่นนี้ คิดการไว้ล่วงหน้าหลายปีก็เพื่อกระบี่เล่มเดียว ท่านไม่อายรึ?
“รอจาเขาอายุสามขวบห้าขวบ พ่อแม่เขาก็คงจะกลับมาแล้ว ถึงยามนั้นก็บอกให้เขาไปขอมา” เสิ่นเซวียนรู้สึกว่าความคิดนี้ดีไม่เบา เขาตอบฮูหยินซูไปพลาง แล้วยื่นกระบี่ไม้ใส่มือหลานชายไปพลาง แต่น่าเสียดายที่เสิ่นซูกวงสนใจหนวดเคราของเขามากกว่า นอกจากจะไม่ถือกระบี่เอาไว้ กลับคว้าหมับเคราของเขาแล้วออกแรงดึงขึ้นมา …ทำเอาเสิ่นเซวียนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วรีบเก็บกระบี่ไม้เข้าไปในแขนเสื้ออย่างร้อนรน กำลังจะดึงเคราออกจากมือหลานชาย แต่คราวนี้ฮูหยินซูกลับร้อนใจเสียแล้ว พลันร้องด่าทอขึ้นว่า “มือไม้ท่านให้มันเบาๆ หน่อย! อย่าทำให้กวงเอ๋อร์เจ็บเสียเล่า!”
เมื่อถูกภรรยาต่อว่าด้วยกลัวว่าหากเขาทำหนักมือไปก็จะทำให้กวงเอ๋อร์บาดเจ็บ เสิ่นเซวียนจึงได้แต่ต้องระวังแล้วระวังอีก จึงสามารถแย่งเคราใต้คางของตนออกจากมือของหลานชายได้ …รอจนฮูหยินซูอุ้มเสิ่นซูกวงที่ยังคงร้องอ้อแอ้ไม่ยินยอมออกไป เสิ่นเซวียนก็รู้สึกแต่ว่าใต้คางเจ็บแสบไปหมด เมื่อมองเห็นว่าในมือของหลานชายยังคงกำเครายาวๆ ทั้งเส้นไว้หลายเส้น เสิ่นเซวียนกลับต้องสูดหายใจลึก เอาผ้ามากุมไว้ที่ใต้คางโอดครวญไปว่า “เด็กคนนี้มันแรงมากจริงๆ!”
“ทายาทของบ้านเราจะอ่อนแอได้อย่างไร?” ฮูหยินซูยอกย้อน ใช้คำที่เขาเพิ่งจะพูดเมื่อครู่นี้ตอกกลับเขาไป แล้วกระเซ้าไปว่า “ท่านดูสิ ที่แท้ก็แม่ลูกสื่อใจถึงกัน! ท่านคิดว่ายามนี้กวงเอ๋อร์ยังเล็ก ไม่รู้ประสา แล้วคิดจะหลอกใช้เขาไปเอาของของแม่เขามา แต่กลับไม่คิดว่าแม้เขายังพูดไม่เป็น แต่ก็รู้ว่าท่านปู่ผู้นี้มีเจตนาไม่ดี จึงลงมือกับท่านแทนแม่ของเขาเสียเลย! ดูซิว่าวันหน้าท่านยังจะกล้าเป็นคนแก่กะโหลกกะลาวางแผนฮุบของของลูกหลานอีกหรือไม่!”
ฮูหยินซูจงใจวางท่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสามี ทั้งยังไปแตะที่แก้มของหลานชาย เอ่ยชมเขาอย่างเปรมปรีดิ์ว่า “กวงเอ๋อร์ทำดีมาก! วันหน้าผู้ใดกล้าแย่งของของพ่อแม่เจ้า เจ้าก็ควรจะจัดการเขาเช่นนี้!”
แม้เสิ่นซูกวงจะไม่เข้าใจว่าท่านปู่ท่านย่าพูดสิ่งใด แต่เด็กคนนี้เกิดมาก็ชอบยิ้มหัวเราะ เวลานี้จึงหัวเราะฮิๆ แล้วเขาไปหอมแก้มฮูหยินซูฟอดใหญ่ …กลับเหมือนเป็นการสนับสนุนคำพูดของฮูหยินซูเช่นนั้น
เสิ่นเซวียนกุมคางอยู่ด้วยท่าทีสลดหดหู่ พลันเอ่ยไปอย่างคับแค้นใจว่า “วางแผนฮุบของของลูกหลานอันใดกัน …กระบี่เล่มนั้นเดิมทีก็เป็นของข้า! น้องรองขอกับข้ามาตั้งหลายครั้งหลายคราข้าก็ยังตัดใจให้เขาไม่ได้ ไม่คิดว่าเจ้าสามไอ้ลูกไม่รักดีกลับขโมยออกไปได้! หากไม่เห็นแก่หน้าตา ข้าก็จะไปขอจากสะใภ้ของเจ้าสามกลับมาตั้งนานแล้ว!”
“ก็มิใช่กระบี่เพียงเล่มเดียวเท่านั้นรึ? ในคลังของบ้านเราก็มิใช่ว่าไม่มีของดี ท่านเอากระบี่เล่มอื่นไปแขวนไว้ในห้องหนังสือแทนไม่ได้รึ?” แม้ตระกูลซูจะเป็นตระกูลบู๊เช่นกัน แต่เดิมทีตัวฮูหยินซูก็ถูกอบรมสั่งสอนมาตามแบบฉบับของคุณหนูตระกูลใหญ่ และนางเองก็ไม่ชอบเรื่องฆ่าๆ ฟันๆ ตลอดมาจึงไม่ได้สนใจเรื่องกระบี่ ‘ลู่หู’ กลับรู้สึกว่าสามีก็อายุปูนนี้แล้ว แต่กลับเอาแต่คิดถึงกระบี่เล่มหนึ่งไม่ลืมเสียทีช่างน่าขันนัก พลางเอ่ยไปอย่างไม่ยี่หระ “เพื่อกระบี่เล่มเดียวก็ต่อว่าว่าเฟิงเอ๋อร์ไม่รักดี ทั้งเห็นขี้ดีกว่าไส้… สะใภ้ก็แต่งเข้าบ้านมาแล้ว ยังไม่นับว่าเป็นคนในบ้านเราอีกรึ? เรือนจินถงมิใช่อยู่ในพื้นที่ของบ้านเรารึ?”
เสิ่นเซวียนฮึดฮัดทั้งถอนหายใจว่า “เจ้าเป็นสตรีจึงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ กระบี่เล่มนั้นเป็นกระบี่ที่ข้าตีออกมาด้วยตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่ม หากสะใภ้ของเจ้าสามยอมแลกล่ะก็ กระบี่เลื่องชื่อในคลังข้าก็จะให้นางเลือกเอาได้ตามใจ!”
“ข้าไม่เข้าใจ” ฮูหยินซูแค่นเสียงหึไปคำหนึ่ง อุ้มหลานชายพลางกล่อมเขาว่า “เด็กดีเชื่อฟังย่านะ วันหน้าหากท่านปู่อุ้มเจ้าอีก เจ้าก็ดึงเคราเขาอีกสักสองสามหน! ดูซิว่าเขายังกล้ารังแกย่าเจ้าอีกหรือไม่!”
“…เจ้าอย่าสอนเรื่องไม่ดีให้เด็กสิ” เสิ่นเซวียนพลันเอ่ยออกมาด้วยความปวดหัว เมื่อเห็นว่าหลานชายถูกภรรยากล่อมแล้วพลันพยักหน้าไปอย่างงงงวยส่งเดช “ลูกเรามีหนิงเอ๋อร์คนเดียวก็ปวดหัวพอแล้ว อย่างไรก็ให้กวงเอ๋อร์เอาอย่างพ่อเขาเป็นดี”
ฮูหยินซูยิ้มหยัน “โอ๊ะ ยามนี้ท่านกลับรู้สึกว่าเฟิงเอ๋อร์ดีแล้วรึ? กลับไม่คิดดูเสียบ้างว่าหนิงเอ๋อร์นั้นล้วนเป็นผู้ใดเอาใจจนเสียคน!”
เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “แล้วเฟิงเอ๋อร์ก็มิใช่เป็นข้าสอนสั่งมารึ?”
สามีภรรยาเฒ่าต่อคำกันไปมาด้วยเรื่องของลูกๆ ไปสองสามคำ เมื่อเห็นว่า เสิ่นซูกวงถูกอุ้มไปอุ้มมาจนดูคล้ายว่าค่อนข้างเหนื่อยแล้ว พลันซบหัวลงที่ไหล่ของ ฮูหยินซู… ฮูหยินซูรีบเรียกแม่นมเถาเข้ามาแล้วพาเสิ่นซูกวงไปนอนเสีย
รอจนแม่นมเถาอุ้มเสิ่นซูกวงออกไปแล้ว สองสามีภรรยานั่งลงในโถงจึงเอ่ยเรื่องธุระกัน “เรื่องก่อนหน้านี้ราบรื่นหรือไม่?”
เรื่องที่ฮูหยินซูเอ่ยถึงย่อมไม่ใช่เรื่องกิจตรงหน้าของเสิ่นเซวียน หากแต่เป็นเรื่องเปลี่ยนองค์รัชทายาท
เสิ่นเซวียนหรี่ตาลงเอ่ยว่า “กลับพอใชได้ …พระชายาองค์รัชทายาทกตัญญูเชื่อฟังฮองเฮากู้ยิ่งนัก และไม่อิจฉาริษยาพวกนางสนมในตำหนักตะวันออกเลยแม้แต่น้อย มีเมตตาและเอาใจใส่บุตรธิดาของอนุเป็นอย่างดี ไม่ว่าผู้ใดล้วนหาความผิดใดของนางไม่ได้ ฮองเฮาเองก็ยังทรงชมพระชายาองค์รัชทายาทว่าดีงามมีคุณธรรม”
ก่อนนี้มิใช่บอกว่าจะลงมือกับคนข้างกายขององค์รัชทายาท เพื่อให้ชื่อเสียงขององค์รัชทายาทเสื่อมเสียยับเยินจนไม่อาจไม่สละตำแหน่งให้แก่ผู้ที่เหมาะสมกว่าหรอกหรือ?” ฮูหยินซูเอ่ยถามอย่างสงสัย “ยามนี้ไยเปลี่ยนมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทเสียแล้ว?”
“คราก่อนนี้หูตาในตำหนักตะวันออกรายงานข่าวหนึ่งออกมา” เสิ่นเซวียนยิ้มพลางว่า “คล้ายว่าองค์รัชทายาทจะสนพระทัยแม่ยายและน้องของพระชายา”
ฮูหยินซูตกตะลึง กล่าวว่า “ภรรยาคนที่สองของหลิวไห้กับคุณหนูสิบเอ็ด ตระกูลหลิวน่ะหรือ?” นางขมวดคิ้วเข้ามา กล่าวว่า “สองแม่ลูกนี้งดงามจริงดังว่า คนเป็นลูกสาวนั้นไม่ต้องพูดถึง รูปโฉมของนางหาได้ด้อยว่าสะใภ้สามของเรา! แต่นางจางนั่นก็เป็นคนมีอายุแล้ว …องค์รัชทายาทนับวันจะยิ่งเลอะเลือนเสียจริงๆ!”
นางมีสีหน้าสะอิดสะเอียน “จากนั้นเล่า?”
“นางจางเองก็คล้ายว่าจะสัมผัสได้ ฉะนั้นเมื่อพระชายาองค์รัชทายาทล้มป่วยสองสามครั้งมานี้ แล้วเชิญให้นางพาบุตรสาวแท้ๆ ของนางไปเยี่ยม นางจึงไม่พาบุตรสาวไปด้วย แต่กลับรบเร้าให้หลิวไห้ไปด้วย” เสิ่นเซวียนเอ่ย “แต่ขอเพียงพระชายาองค์รัชทายาทยังเป็นคนปัจจุบันนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่องค์รัชทายาทสามารถแยกหลิวไห้ออกไปได้ แล้วทำให้นางจางสองแม่ลูกไม่อาจไม่เข้าไปในหลุมพรางของเขา …ผ่านไปอีกสักพักจึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เกิดเรื่อง”
เสิ่นเซวียนหรี่ตากล่าวว่า “โอกาสดีเช่นนี้ บ้านเราจึงไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงก่อเรื่องใดอีกแล้ว ฉะนั้นหลายวันมานี้ข้าจึงเก็บกวาดร่องรอยที่เคยเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้ไปเสีย แล้ววางแผนหาคนคอยจับตาเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อมีโอกาสก็ออกแรงผลักไปคราวหนึ่ง แม้เรื่องเหลวแหลกที่องค์รัชทายาทเคยทำไว้ก่อนหน้านี้จะมีมากมายนัก ทว่าหากเขา….แม่ยาย แล้วเรื่องเช่นนี้แพร่ออกไป เพื่อหน้าตาของตระกูลหลิวแล้ว เขาก็จะอยู่ในตำหนักตะวันออกอีกต่อไปไม่ได้”
ฮูหยินซูเอ่ยเสียงหนักไปว่า “กลัวแต่หลิวไห้จะขอย้ายตัวเองไปทำงานต่างเมือง หรือไม่ก็ส่งภรรยาและบุตรสาวกลับตงหูน่ะสิ!”
“เรื่องย้ายไปต่างเมืองนั้นข้าจะคอยกันเอาไว้ ดีชั่วสะใภ้สามที่พวกเราหมั้นหมายไว้นานแล้วก็มิใช่ว่าเคยถูกพวกเขาเล่นงานมาคราวหนึ่ง? ยามนี้ก็พอดีได้เอาคืน” เสิ่นเซวียนเอ่ยนิ่งๆ “ส่วนเรื่องจะส่งภรรยาและบุตรสาวกลับตงหูนั้น…อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้สมุหกลาโหมเพิ่งจะลงมือกับหลิวซีสวิน เวลานี้เวยหย่วนโหวมองสายของสมุหกลาโหมเป็นดังศัตรู คงมิใช่เพราะนางจางแม่ลูกเป็นสตรีสองคนแล้วจะละเว้นพวกนางไป ประเด็นนี้หลิวไห้ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เขารักใคร่นางจางแม่ลูกยิ่งนัก ไม่น่ากล้าส่งพวกนางไปอยู่ในมือของเวยหย่วนโหว”
เขาหรี่ตาแล้วว่า “ดีชั่ว ยามนี้ฮ่องเต้ก็ยังทรงพลานามัยสมบูรณ์ดี พวกเราก็ไม่ต้องร้อนใจนัก เรื่องเช่นนี้หากมีผู้อื่นทำแทนแล้ว ไยพวกเราต้องไปแก่งแย่งใครก่อนใครหลังเล่า?”
__________________