ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 18-2 สามีภรรยาโต้เถียงกัน
หรือว่าราชบัลลังก์เว่ยจะถูกตระกูลเซินทำลายหมดสิ้นรวดเร็วเพียงนี้?
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มไม่ส่งเสียง กล่าวว่า “ฮ่องเต้ไม่ทรงไถ่ถามถึงราชกิจ จึงเสมือนมีโรคภัยเล็กน้อยมากมายในรัชสมัยนี้ และหลายสิบปีมานี้ก็กลายมาเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้องค์รัชทายาททรงปัญญามีวรยุทธ์เก่งกล้า หวังจะรักษาโรคร้ายเหล่านี้ นอกจากความสามารถแล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีสวรรค์ช่วยห้าส่วน แต่เจ้าดูองค์รัชทายาทในยามนี้ว่าเขาทรงปัญญามีวรยุทธ์เก่งกล้าที่ใด? หากจะนับกันจริงๆ เขายังเทียบฮ่องเต้ไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ! ต่อให้ยามนี้องค์รัชทายาทไม่อาจสืบทอดราชบัลลังก์ได้ ในบรรดาพระราชโอรสของฮ่องเต้นั้นมีองค์ชายใหญ่ที่กตัญญูอ่อนน้อมเป็นที่สุด องค์ชายหกและองค์ชายสี่ทรงปัญญาหลักแหลม แต่ยามนี้ทั้งสามพระองค์ก็สิ้นพระชนม์แล้ว ในบรรดาท่านอ๋องในยามนี้ ผู้ที่มีคุณธรรมกตัญญูก็พอจะมีอยู่ แต่หากว่ากันเรื่องความสามารถจะพลิกฟื้นบ้านเมืองแล้ว …กลับไม่มีสักคนที่ทำได้!”
เขายิ้มเรียบๆ กล่าวว่า “ได้ยินมาว่าในบรรดาพระราชนัดดาของฮ่องเต้ เซินหลินพระโอรสขององค์รัชทายาทยังเล็กแต่เฉลียวฉลาดนัก ทว่าเซินหลินเพิ่งจะอายุเท่าใด? ฮ่องเต้ทรงมีทายาทตั้งมากมาย หากเกิดความผิดพลาดใดกับองค์รัชทายาท แล้วจะถึงคราวเขามาสืบทอดตำแหน่งได้อย่างไร? หากจะเอ่ยอย่างยอมถอยให้สักหมื่นก้าว ต่อให้เขารับสืบทอดราชบัลลังก์ …ยุวกษัตริย์ประชาเคลือบแคลง ต่อให้เซินหลินฉลาดเพียงใดแต่ยามนี้ก็เป็นเพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น! จะปกครองดูแลเรื่องต่างๆ ได้ที่ใด! มีแต่จะทำให้ต้าเว่ยยิ่งไม่สงบเท่านั้น!”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจเอ่ยว่า “ดูองค์ชายและพระราชนัดดาในยามนี้ ในสามชั่วอายุคนล้วนไม่มีผู้ใดที่จะสร้างความรุ่งโรจน์กลับมาได้! อิ๋งเอ๋อร์เจ้าว่าให้ชาวบ้านทั่วแผ่นดินท้องไร้อาหาร ไร้เสื้อผ้าห่อกาย…เกรงว่าเพียงสามวันพวกเขาก็ล้วนรอไม่ไหวแล้ว จึงต้องขึ้นเขาบากหน้าไปขอพึ่งพากองโจรเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด แล้วจะรออีกสามชั่วอายุคนได้หรือ?! ยิ่งไปกว่านั้นในรุ่นที่สี่ของราชสกุลเซินก็จะต้องมีบุคคลที่พิเศษล้ำเลิศเท่านั้น จึงจะสามารถเปลี่ยนหนทางไปสู่ความเสื่อมโทรมนี้กลับมาได้?”
แววตาเขาหนักอึ้งดังยามราตรี ค่อยๆ ส่ายหน้า “แม้แต่ข้าซึ่งเป็นบุตรหลาน ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีอาภรณ์แพรพรรณอาหารชั้นเลิศก็ยังไม่เชื่อเลย แล้วประสาอะไรกับชาวบ้านที่กำลังอยู่ภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเหล่านั้น?! ใจประชาสั่นคลอน ราชสำนักเว่ยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างหนักแล้ว ประสาอะไรกับทางเหนือมีพวกหรง ตะวันตกมีชาวชิวตี๋?! ในสถานการณ์ที่ภายในน่าเป็นห่วงภายนอกมีภัยรุกราน หากมิใช่ต้าเว่ยกำลังจะล่มสลายแล้วจะเป็นสิ่งใด!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปโดยไม่ทันคิดว่า “แล้วเจ้าหมายถึงสิ่งใด?”
“ภายในสิบปีนี้ ภายในแคว้นต้องเกิดการจลาจลใหญ่” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเสียงหนัก “กิจการต่างๆ ของตระกูลสูงศักดิ์ของเราครอบคลุมอยู่ทั่วแคว้น คนในตระกูลมีนับพันนับหมื่น หากคิดแต่เพียงจะสะบัดแขนเสื้อนั่งดูดายอยู่เฉยย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! ข้าต้องพยายามฉวยทุกโอกาสที่จะจัดการพวกชิวตี๋ ไม่ต้องพูดถึงว่าบ้านเมืองจะล่มสลาย อย่างน้อยก็ต้องสังหารจนพวกมันเตลิดไปไกล ให้ในสิบปีนี้ไม่กำลังมารุกรานอีก เพื่อปกป้องซีเหลียงให้สงบสุขเอาไว้เป็นการชั่วคราว!”
เขาพ่นลมหายใจออกมา แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินว่า “เมื่อทำเช่นนี้แล้ว นอกจากสามารถเพิ่มความชอบเพื่อเลื่อนตำแหน่ง ก็ยังสามารถฉกฉวยอำนาจในกองทัพ และยังทำให้ถิ่นฐานเดิมของตระกูลเสิ่นของเราไร้เรื่องให้ต้องพะวงหลัง เพื่อจะได้มีกำลังเหลือมามุ่งมั่นรับมือกับการจลาจลใหญ่ครานี้!”
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญอย่างรวดเร็วโดยไม่เอ่ยคำใด
เสิ่นจั้งเฟิงลูบมวยผมของภรรยาอย่างอ่อนโยน เอ่ยเบาๆ ไปว่า “ฉะนั้นข้าจึงไม่อาจปล่อยมู่ซิวเอ่อร์เอาไว้ได้ คนผู้นี้องอาจเก่งกล้าเป็นจอมวางแผน มีใจทะเยอทะยาน เป็นภัยคุมคามที่ใหญ่หลวงนัก! หากไม่กำจัดเขาเสีย แม้พวกตี๋จะหลบไปไกลถึงทะเลทรายไกลโพ้น ข้าก็ยังไม่อาจวางใจได้!”
“ยามไม่สงบชีวิตคนด้อยค่าดังใบหญ้า ฐานะที่เคยมีในยามสงบล้วนไร้ค่าจะไปเอ่ยถึง ไร้อำนาจ ไร้ฐานันดร แล้วเข้าจะปกป้องเจ้าและกวงเอ๋อร์ให้ปลอดภัยได้อย่างไร?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเบาๆ ว่า “อิ๋งเอ๋อร์คนดี อย่าขวางข้าเลย ให้เข้าไปเถิด!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบกุมมือเขาไว้ กล่าวว่า “แต่พวกเราคือตระกูลสูงศักดิ์! ยามนี้ ตระกูลของเรายังไม่มีฐานันดรและอำนาจเพียงพอหรือ?”
“ยามนี้เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าเหล่าผู้อาวุโสหาได้ให้ความนับถือตระกูลสายหลักของเราอย่างจริงใจไปเสียทุกคน?” เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วไปไล้คิ้วนาง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ยามนี้พวกเขายังไม่มีโอกาส จึงไม่อาจไม่ก้มหัวให้! แต่หากวันใดแผ่นดินวุ่นวายขึ้นมา มีหรือพวกเขาจะไม่คิดการเป็นอื่น? สายเลือด….ตระกูลสายหลักไม่อาจสลับสับเปลี่ยนได้ ทว่าตำแหน่งประมุข ราชบัลลังก์ที่สืบทอดกันมา กลับมิใช่ไม่อาจเปลี่ยนสายเปลี่ยนตระกูลมารับช่วงต่อได้!”
แววตาเขาเย็นยะเยือกลง “ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าสนับสนุนให้เจ้าเข้ามาควบคุมทุกอย่างในหมิงเพ่ยถังให้ได้อย่างรวดเร็วเด็ดขาด เพราะยามนี้เวลาของเราเหลือไม่มากแล้ว! เจ้าข้ายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว! เดิมทีท่านพ่อท่านแม่และท่านอาก็ล้วนอยู่ในวัยฉกรรจ์ หากอยู่ในยามรุ่งเรืองสงบสุข พวกเราก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเร่งร้อน พวกผู้ใหญ่ก็จะค่อยๆ กล่อมเกลาบ่มเพาะพวกเราอย่างเต็มกำลัง แต่สถานการณ์ยามนี้ไม่สู้ดี พวกเราจึงไม่อาจไม่เตรียมตัวให้พร้อมเผชิญกับความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะอย่างไรเสียเมื่อถึงยามนั้นจริงๆ พวกผู้ใหญ่ก็ใช่จะว่างมาห่วงพวกเรา ตำแหน่งประมุข ตระกูลเสิ่นนั้น มีสายใดบ้างในตระกูลที่ไม่หมายปอง?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งงันเนิ่นนาน แล้วเอ่ยเบาๆ ไปว่า “เช่นนั้น…”
นางกลับนิ่งไปพักหนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างยากเย็นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เอาน้อง ซินเหมี่ยวไปด้วย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด”
“จะได้อย่างไร?” เสิ่นจั้งเฟิงฟังออกว่าน้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และเป็นห่วงตน พลันก้มลงจูบที่แก้มนาง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ยังไม่ต้องเอ่ยว่า ตำบลตงเหอกันดาร ทั้งยังมีอันตราย คุณหนูตวนมู่แปดก็หาใช่บ่าวในบ้านเรา หากจะให้นางไปที่ใดก็ต้องถามไถ่ความสมัครใจของนางก่อน หากนางไม่ยินยอมจะไป หรือพวกเรายังจะมัดเอาตัวนางไปได้? ว่าแต่เพียงเรื่องที่นางเป็นหญิง นอกจากนางโลมในค่ายทหารแล้ว แต่ไรมาก็ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไป ประสาอะไรกับผู้ที่ติดตามข้ามา”
เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งจิตใจสับสนว้าวุ่นนัก และไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี ได้ฟังสามีพูดจึงเพิ่งสำนึกได้ว่าสิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นจริงดังว่า เพื่อแต่ในใจกลัดกลุ้มนัก นิ่งอึ้งอยู่เป็นนานจึงเอ่ยออกไปอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เอายาไปด้วย อย่าให้ขาดตกบกพร่อง บอกให้เสิ่นเตี๋ยคอยเอาใจใส่สักหน่อย ต้องต้มให้เจ้าตรงตามเวลา และเจ้าเองก็ต้องดื่มยาตามเวลา อย่าเกี่ยงว่ายาขม”
ครานี้เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มรับ แล้วยื่นนิ้วไปบีบปลายจมูกนาง ยิ้มน้อยๆ “เกี่ยงว่ายาขม? ข้าเคยเกี่ยงว่ายาขมมาก่อนหรือ? ข้าก็หาใช่เด็กเล็กๆ สามขวบไม่ ยังต้องให้เสิ่นเตี๋ยมากล่อมให้ข้าดื่มยาให้ได้?” เขาจงใจเอ่ยล้อเล่นเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แต่แม้เขาจะเอ่ยดังนี้แต่ เว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่อาจวางใจให้เขาไปตำบลตงเหอได้ ความกังวลในใจนี้ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจวางลงได้เลย เวลานี้หาได้มีแก่ใจล้อเล่นกับเขาไม่
“อีกประเดี๋ยวข้าไปถามน้องซินเหมี่ยวดูว่ามียาใดที่เจ้าจะต้องใช้อีกบ้าง…” นิ่งงันไปครึ่งค้อนชั่วยาม เว่ยฉางอิ๋งบิดผ้าเช็ดหน้าในมือหลายหน จึงเอ่ยออกมาอย่างอึกอักคำหนึ่ง
ในสมองของนางยังคงไม่หยุดคิดหาวิธีตระเตรียมสิ่งต่างๆ ให้เสิ่นจั้งเฟิง แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่ครอบคลุมพอ …จึงอดจะพูดออกไปไม่ได้ว่า “ไม่อย่างนั้น ข้าไปกับเจ้าเถิด?”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะลั่นบอกว่า “ค่ายทหารไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไป…”
“ข้าไม่ไปค่ายทหารกับเจ้า ข้าจะรอพบเจ้าอยู่ที่ตัวตำบลตงเหอ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างจริงจัง “ก่อนนี้เสิ่นฉู่สามีภรรยาก็มิใช่ถูกส่งให้ไปอยู่ที่นั้น? ในเมื่อที่นั่นก็มีชาวบ้านทั่วไปอาศัยอยู่ ข้าก็ไปหาบ้านสักหลังอยู่กับเจ้า อย่างมากข้าก็ไม่เข้าไปในเขตค่ายทหารของพวกเจ้า”
“ตำบลตงเหอนั่น เจ้ายังไม่เคยไปมาก่อน….” เมื่อคิดถึงตำบลชายแดนที่ผุพัง ด้วยเป็นตำบลที่ถูกไฟสงครามรุกรานมาติดต่อกันหลายปี จนแทบจะเหลือบ้านเรือนแค่หลังสองหลังที่ไม่มีหิมะไม่มีฝนรั่วลงมาเท่านั้น เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ กล่าวว่า “ไม่ได้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าที่นั่นไม่มีที่เหมาะให้เจ้าอยู่ ว่ากันแต่เรื่องที่พวกเราสองคนล้วนไปที่ตำบลตงเหอกันหมด แล้วหมิงเพ่ยถังทางนี้จะทำอย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เสิ่นหยิวอี่สามีภรรยาทำงานได้ไม่เลว”
“หากเจ้าไม่อยู่คอยควบคุมที่นี่ พวกเขาก็จะไม่ทำการใดในทันที” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ เอ่ยเตือนนาง “พวกเขาเป็นคนที่เจ้าสนับสนุนให้ขึ้นมา รากฐานของเจ้าในหมิงเพ่ยถังยังตื้นเขินเกินไป ยังไม่มีบารมีจนถึงขั้นที่เมื่อเจ้าไม่ได้อยู่ในหมิงเพ่ยถังแล้วทุกคนในหมิงเพ่ยถังจะยังคงไม่กล้าละเลยต่อกฎระเบียบที่เจ้ากำหนดเอาไว้และคนที่เจ้าสนับสนุน! อีกประการหนึ่ง นอกจากเทียบเชิญงานเลี้ยงวันสิ้นปีที่เจ้าส่งออกไปแล้ว หากข้าไม่ได้มาร่วมงานก็ยังให้น้องชายสี่มาเป็นตัวแทนได้ แต่เจ้าจะไม่มาร่วมงานได้อย่างไร?”
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งหรือจะมีแก่ใจไปคิดถึงงานเลี้ยงสิ้นปีอันใด? คนเหล่านั้นรวมกันแล้วยังเทียบไม่ได้กับนิ้วก้อยของสามีนางเลย! นางเอ่ยไปอย่างไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ช่างหัวว่าพวกเขาจะทำอย่างไร! หาไม่แล้วก็ให้ภรรยาของเสิ่นหยิวอี่อออกไปต้อนรับ ไม่ก็ให้พวกเขาจัดการกันตามสบายเถิด! พวกเขาจะเทียบกับเจ้าได้ที่ใด?”
“คำนี้ข้าชอบฟังนัก” เสิ่นจั้งเฟิงลูบใบหน้านาง เอ่ยอย่างอ่อนโยนทว่ายืนกรานอย่างหนักแน่นว่า “ทว่าเจ้าก็ไปไม่ได้อยู่ดี …ที่นี่จำเป็นต้องให้เจ้าคอยควบคุมดูแล เพื่อมิให้ยามที่ข้ากำลังยุ่งกับการศึก แล้วหากในตระกูลมีความเคลื่อนไหวใดแต่กลับไม่รู้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ…” เขาเอ่ยเสียงเบา “หากข้าเกิดเรื่องใดขึ้นมา พวกเราก็ไม่อาจไม่เหลือสักคนไว้คอยดูแลกวงเอ๋อร์!”
____________________