ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 2 สาวใช้งามหร่วนอวี้
ขบวนมาถึงหน้าประตูเมืองเว่ยฉางอิ๋งและกู้โหรวจางก็เปลี่ยนกลับมาสวมชุดสตรีบนรถม้า ต่างสำรวจดูความเรียบร้อยให้กันและกัน ตั้งสติและวางตัวเป็นฮูหยินและคุณหนูสูงศักดิ์ที่สำรวมสงบเสงี่ยมนั่งรออยู่อย่างเงียบๆ
สักพักจากนั้นก็ได้ยินเสียงเสิ่นเตี๋ยและบ่าวคนสนิทของกู้ซีเหนียนและเติ้งจงฉีเอ่ยทักทายผ่านม่านหน้าต่าง และบอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงได้รับบาดเจ็บ ต้องนอนอยู่บนตั่งลุกขึ้นไม่ไหว กู้ซีเหนียนและกู้อี้หรานกลับไปคอยเฝ้าระวังในที่มั่นของตน มีเพียงเติ้งจงฉีที่รู้ว่าน้องสาวเดินทางไกลมาพันลี้พร้อมกับขบวนของเว่ยฉางอิ๋ง จึงขอลากับผู้บังคับบัญชาเพื่อมาต้อนรับนาง
ทั้งสองฝ่ายทักทายกันผ่านม่านหน้าต่างรถสองสามคำ ก็ได้ยินจากข้างนอกว่า เสิ่นจั้งฮุยทักทายกับเติ้งจงฉีตามมารยาทพักหนึ่ง เสิ่นจั้งฮุยจึงบังคับม้ามาที่ข้างรถเพื่อรายงานพี่สะใภ้ว่า “คุณชายเติ้งบอกว่า ทางคฤหาสน์หลักของเราตระเตรียมห้องไว้พร้อมแล้ว สามารถไปได้ในยามนี้เลยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งตอบรับไปว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ไปกันเลยเถิด”
คฤหาสน์หลักซึ่งอยู่ในถิ่นฐานเดิมของตระกูลเสิ่น มีอาณาบริเวณกว้างขวาง กระทั่งกว้างกว่ารุ่ยอวี่ถังเสียอีก
เมื่อรถม้าเข้าไปในบริเวณเรือน เว่ยฉางอิ๋งรีบลงมาจากรถก่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสิ่งที่ควรจะเป็นตัวอาคารที่จัดเรียบร้อยเป็นระเบียบ ก็กลับถูกหิมะปกคลุมสูงหนาเป็นภูเขาจนที่แทบจะขึ้นไปถึงบนฟ้า
ที่นี่ก็คือหมิงเพ่ยถัง สิ่งปลูกสร้างไม่งดงามละเอียดพิถีพิถันเท่ารุ่ยอวี่ถัง ทว่ามีกลิ่นไอโบราณอย่างมาก
เมื่อเดินตามระเบียงทางเดินไปที่โถงทางด้านหลัง ระหว่างทางมองออกว่ามีหลายแห่งที่มีการซ่อมบำรุงและดูแลรักษาอย่างประณีต …ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนหลักของตระกูลเสิ่น …ทว่าก็ยังมีอีกหลายแห่งที่มีร่องรอยของความลำบากยากเข็ญจนไม่อาจซ่อมแซมได้ ดูประหนึ่งเป็นรอยดาบและกระบี่ที่เห็นอย่างชัดเจนหลายแห่ง
บุตรหลานตระกูลเสิ่นไม่มีทางไม่มีเรื่องใดทำก็เอาดาบเอากระบี่มาฟัน คฤหาสน์หลักของตนเอง เมื่อนึกย้อนกลับไปตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง คฤหาสน์หลักหลังนี้ก็เหมือนกับของตระกูลหลิวแห่งตงหูที่เคยถูกตีแตกและต้องต่อสู้จนสุดชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน
ท้องฟ้ากำลังมืดลง หิมะก้อนใหญ่ๆ หล่นร่วงลงมา ยามนี้ไม่มีลมแต่กลับเยือกเย็นจนน่าประหลาด
ครั้งอยู่นอกเมือง เว่ยฉางอิ๋งยังหัวร่อต่อกระซิกกับกู้โหรวจางไปสองสามคำ แต่พอมาถึงที่นี่ กลับรู้สึกประหนึ่งว่าใจเหมือนมีไฟเผาเช่นนั้น ร้อนใจอยากจะไปเยี่ยมสามี คนที่ตระกูลเสิ่นในสายหลักเหลือไว้ให้อยู่ดูแลคฤหาสน์หลักของหมิงเพ่ยถังทั้งสองคนนั้น เมื่อนับไปแล้วเว่ยฉางอิ๋งควรจะเรียกขานพวกเขาว่าอาและอาสะใภ้ พวกเขาเชิญให้ทุกคนนั่งพักที่โถงทางด้านหลังสักหน่อย ดื่มน้ำชาร้อนบรรเทาความหนาวเย็นแล้วค่อยไปพบกับเสิ่นจั้งเฟิงที่ด้านหลัง แต่นางกลับไม่ฟังเข้าหู ยืนกรานจะไปดูว่า เสิ่นจั้งเฟิงไม่เป็นไรแล้วจึงจะวางใจ
ท่านอาเสิ่นฉู่ผู้นั้นและภรรยาแซ่โจวของเขาทัดทานนางไม่ไหว จึงได้แต่สั่งให้คนนำทางนางไป ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ยอมดื่มชาแล้วค่อยไป ข้างฝ่ายเสิ่นจั้งฮุยนั้น ประการแรกเขาไม่สะดวกจะรออยู่กับพวกของกู้โหรวจาง ประการที่สองเขาก็เป็นห่วงพี่ชายจึงรีบขอขมาและตามไปด้วย
เมื่อไปถึงเรือนที่เสิ่นจั้งเฟิงพักอยู่ ลำพังแค่มองเห็นในลานบ้านที่กว้างใหญ่มีต้นไม้ใหญ่งดงามเรียงรายกันอยู่เป็นทิวแถว เพราะมีหิมะหนาห่อหุ้มทั้งต้นเอาไว้จนหมดจึงแยกแยะไม่ออกว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด … แต่ยามนี้ก็ไม่มีผู้ใดมีแก่ใจจะไปให้ความสนใจแล้ว หากแต่พากันสาวเท้าเร็วๆ ไปตามระเบียบทางเดิน
เว่ยฉางอิ๋งถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออกแล้วก้าวเข้าไปในประตู ยังไม่ทันคิดเลยว่าเมื่อได้เจอกับสามีแล้วควรจะพูดสิ่งใด …กลับมองเห็นว่าข้างนอกมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังรับใช้รินน้ำชาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋ง เสิ่นจั้งฮุยและคนทั้งกลุ่มทยอยกันเข้ามา มีทั้งเสียงฝีเท้าและเสียงติงตังของเครื่องประดับ หญิงสาวผู้นี้จึงรีบทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง แล้วชี้เข้าไปในห้อง ทั้งดวงตาก็แสดงแววตำหนิกล่าวโทษออกมา
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะได้มาพบกับสามีอีกครั้งหลังจากแยกจากกัน จึงทั้งรู้สึกยินดีทั้งเป็นห่วงเขา และกำลังร้อนอกร้อนใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับมาเห็นว่าข้างนอกห้องที่สามีพักรักษาตัวมีหญิงสาวหน้าตางดงามอยู่ผู้หนึ่ง นางจึงตั้งป้อมระแวดระวังตัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณ …และหันไปสังเกตดูนาง เด็กสาวผู้นี้อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้างดงามก็ยังแล้วไป ประเด็นคือนางสวมเสื้อผ้างดงามยิ่งนัก เสื้อส้างหรูคอป้ายสีส้มแดงอ่อนปักลายกิ่งก้านดอกเหมย คอเสื้อเผยให้เห็นเสื้อตัวในสีชมพูราวหนึ่งชุ่น เอวคาดแถบผ้า ท่อนล่างคาดกระโปรงหลิวซานฉวินจีบรอบสีเหลืองสดดอกอิงเฉ่า มวยผมทรงก้นหอยคู่ ปักปิ่นเงิน ต่างหูมุข งดงามจับตาไปทั้งตัว … ซึ่งแม้แต่สาวใช้ระดับหม่านโหลวที่ปรนนิบัติตรงหน้าฮูหยินซูในจวนราชครูในเมืองหลวงจะได้แต่งกายด้วยชุดใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้ ก็ต่อเมื่อถึงวันเทศกาลเท่านั้น
เห็นชัดว่ามิใช่สาวใช้ธรรมดาทั่วไป
ความร้อนอกร้อนใจของเว่ยฉางอิ๋งสงบลงเล็กน้อย แววตาก็เยือกเย็นลงด้วย …นางมองออกว่าสาวใช้ผู้นี้ไม่เหมือนคนที่มาปรนนิบัติอย่างตรงไปตรงมาเท่าใดนัก บ่าวที่ติดตามมาก็รู้สึกอยู่ในใจ นางเฮ่อเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเฉียบว่า “เจ้าเป็นผู้ใด? เหตุใดจึงมาอยู่ที่เรือนคุณชายเรา?”
“โธ่เอ๊ย ก็บอกให้พวกเจ้าเสียงเบาๆ สักหน่อย ไยไม่ยอมฟัง? ระวังจะรบกวนคุณชาย…” และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาวใช้ที่ดูแลรับใช้อยู่ที่นี่ได้ยินว่านางเฮ่อเสียงดังเกินไปหน่อยหรือไม่ จึงรีบเอานิ้วมาทาบไว้ที่ริมฝีปาก แล้วกล่าวโทษขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกเกินจริง
“พี่สามอยู่ข้างในรึ?” เสิ่นจั้งฮุยเองก็สัมผัสได้ถึงสาเหตุที่จู่ๆ พี่สะใภ้ก็หยุดเดินและไม่พูดจา เพียงแต่เขาเป็นชาย รู้สึกว่าสาวใช้เหล่านี้หาได้ควรค่าจะไปเสียเวลาด้วย จึงเอ่ยขัดคำเด็กสาวผู้นั้นไปอย่างรำคาญใจ กล่าวว่า “นี่คือ พี่สะใภ้สามของข้า! เจ้ามันไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ พูดจาอย่างไรกัน!”
ในเมื่อมีการตระเตรียมหมิงเพ่ยถังแห่งนี้ไว้สำหรับการมาถึงของพวกเว่ยฉางอิ๋งแล้ว สาวใช้ผู้นี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิงที่เร่งเดินทางมาด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา …ความจริงแล้ว ในเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะคาดเดาฐานะของเว่ยฉางอิ๋งได้ แต่เมื่อได้ฟังคำนี้แล้วนางจึงเพิ่งจะแสร้งตื่นตกใจและขอขมาขึ้นมาว่า “ข้าน้อยสมควรตายจริงๆ! ที่แท้เป็นฮูหยินน้อยสามมาหรือนี่? ข้าน้อยหร่วนอวี้ คารวะ…”
เมื่อถูกเสิ่นจั้งฮุยเตือนสติ เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกว่าไยต้องไปถือสาหาความกับสาวใช้ตัวน้อยๆ เพียงคนหนึ่ง หากไม่ได้รับอนุญาตจากเสิ่นจั้งเฟิง คนเช่นนี้หรือจะมาใกล้ตัวเขาได้?
จึงสะบัดแขนเสื้อ แล้วเอ่ยไปอย่างเย็นชาว่า “หุบปากของเจ้าเสีย! รอข้าไปพบท่านพี่ก่อนแล้วค่อยมาถามเจ้า!”
นางคิดในใจว่า แม้สาวใช้ที่ชื่อว่าหร่วนอวี้ผู้นี้ยังคงสวมชุดของเด็กสาว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงอาจเปล่าเปลี่ยวในการเดินทางมาทำศึก ไม่แน่ว่าอาจแตะต้องนางไปแล้ว? เมื่อคิดได้ดังนี้ ความกังวลใจที่มีต่อ เสิ่นจั้งเฟิงก็ลดลงไปหลายส่วนจริงๆ นางจึงอยู่รอให้เสิ่นจั้งฮุยเข้าไปก่อนจึงตามเข้าไปในห้อง ทว่าเมื่อเข้าไปข้างในกลับอดตกตะลึงไม่ได้
ภายในห้องกลับไม่ได้มีเพียงเสิ่นจั้งเฟิงคนเดียว
มีผู้เฒ่ารูปร่างกำยำใบหน้าน่าเกรงขาม ทั้งเคราและผมขาวไปหมดกำลังถือไหสุรา นั่งชันขาอยู่บนเตียงเตา[1]ใต้หน้าต่างอย่างคึกคัก ยกสุราขึ้นดื่มคำแล้วก็คำเล่า
เมื่อมองเห็นเสิ่นจั้งฮุยและเว่ยฉางอิ๋ง ผู้เฒ่าผู้นี้ก็รีบกระโดดลงเตียงเตา แล้วเอ่ยถามว่า “เป็นท่านอาสี่ในตระกูลสายหลักและท่านอาสะใภ้สามใช่หรือไม่?”
“…” เสิ่นจั้งฮุยและ เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ฐานะของเขา เมื่อมองไปบนตั่งคนป่วย กลับเห็นว่ามุ้งถูกดึงลงมา เสิ่นจั้งเฟิงมีผ้าห่มนวมหุ้มตัวเอาไว้ มีเพียงใบหน้าซีดขาวที่พ้นผ้าห่มออกมา สองตาปิดสนิท คล้ายว่ากำลังนอนหลับอยู่ คนเจ็บนอนหลับสนิท ข้างนอกมีหญิงงามที่ไม่รู้จักกาลเทศะคนหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ก็ยังแล้วไป ผู้เฒ่าผู้นี้กลับยังดื่มสุราอยู่ตรงหน้าตั่งคนเจ็บด้วยอารมณ์ครึกครื้น นะ…นี่มันเรื่องเหลวไหลใดกัน?!
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ใด? เหตุใดจึงมาดื่มสุราอยู่ในห้องของท่านพี่!”
ผู้เฒ่าผู้นั้นรีบสวมรองเท้าอย่างร้อนรน กระแอมแล้วว่า “แม่ทัพ….เอ่อ หลาน เสิ่นหยิวเจี่ย เป็นบุตรหลานในสายข้างเคียงของตระกูลเสิ่น ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพซีเหลียงขอรับ”
ที่แท้เป็นหลานชายในตระกูลทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาของสามีในเวลาเดียวกัน!
เว่ยฉางอิ๋งมองไปบนตั่งนอน กลับเห็นว่ามีคนพูดจากันสักพักแล้ว แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ตื่น รู้สึกสงสัยในใจ จึงกล่าวว่า “ที่แท้คือ….” เจ้าหมอนี่เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและหลานของสามี เวลานี้ก็ไม่ใช่ในที่ทำงาน หากจะเรียกขานตำแหน่งก็ไม่เหมาะ หากเรียกว่าหลาน… ลำพังแค่ผมขาวทั้งหัวของเขาก็เรียกขานแทบไม่ออกแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงถามเสียงเบาๆ ไปอย่างคลุมเครือว่า “ยามนี้ท่านพี่เป็นเช่นใดหรือ?”
“เรียนท่านอาสะใภ้สาม” เสิ่นหยิวเจี่ยกลับเรียกขานตามลำดับอาวุโสของตระกูลออกมาได้ และกล่าวว่า “ท่านอาสามเสียเลือดมากเกินไป หลายวันมานี้ล้วนกำลังพักฟื้นขอรับ วันนี้หลานมาหารือเรื่องการศึกกับท่านอาสามตามปกติ ท่านอาสามฟังแล้วพึงพอใจนัก จึงกำนัลสุราซวงเหลียงไหหนึ่งให้หลานสร้างความสำราญ จนใจที่หลานยังไม่ทันพูดจบ ท่านอาสามอ่อนล้าแล้วจึงหลับไป หลาน…จึง…อยากดื่มให้หมดก่อน….ค่อยไป….เอ่อ…”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจแล้วว่า แม้เสิ่นจั้งเฟิงสามีของนางจะนอนพักรักษาตัวอยู่ แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องการศึก เสิ่นหยิวเจี่ยจึงมาหารือกับเขาทุกวัน คาดว่าเพราะวันนี้ได้ยินข่าวดีบางอย่าง ตนเองกำลังบาดเจ็บไม่อาจดื่มสุรา จึงให้คนนำสุราไหหนึ่งมามอบให้เสิ่นหยิวเจี่ย ปรากฏว่าเจ้าเสิ่นหยิวเจี่ยนี่ดื่มไปดื่มมาก็ไม่อยากไปแล้ว เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงอ่อนล้าหมดแรงจนผล็อยหลับไป นอกจากไม่ค่อยๆ ลอบออกไป แต่กลับคิดจะอยู่ในห้องที่สุมไฟเอาไว้จนอุ่น ดื่มสุราให้หมดแล้วค่อยไป…
ทุกคนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ในขณะที่สภาพการณ์กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงเอ่ยถามเบาๆ ของเสิ่นจั้งเฟิงจากบนตั่งนอนว่า “หยิวเจี่ย พวกน้องชายสี่เข้าเมืองมาแล้วหรือไม่?”
เสิ่นหยิวเจี่ยแอบร้องไชโยอยู่ในใจ รีบตอบเสียงดังไปว่า “ท่านอาสาม ท่านโปรดวางใจ ท่านอาสะใภ้สามและท่านอาสี่อยู่ที่นี่แล้วขอรับ!”
…เจ้าหมอนี่ร้องเสียงดังเพียงนี้ เสียงตะโกนนี่ทำให้ให้มุ้งบนตั่งถึงกับสั่นไหวน้อยๆ ทีเดียว เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงกำลังอ่อนแอ ถึงขั้นพูดไปๆ ก็ยังผล็อยหลับไปได้ เพียงคิดก็รู้แล้วว่าไม่ชอบเสียงดังอึกทึกเป็นที่สุด เว่ยฉางอิ๋งอดโมโหยกใหญ่ไม่ได้ ร้องติไปว่า “ข้าให้เจ้าเงียบเสียง!”
เมื่อไล่เสิ่นหยิวเจี่ยที่มีท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึมออกไปแล้ว เสิ่นจั้งฮุยก็ขืนยิ้มไปท่ามกลางสายตาเย็นเฉียบของพี่สะใภ้ แล้วสอบถามลูกผู้พี่ไปสองสามคำจึงขอตัวออกไปอย่างรวดเร็ว …เหลือไว้เพียงสามีภรรยาสองคน เสิ่นจั้งเฟิงจึงเอ่ยถามพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “เดินทางมาลำบากยิ่งกระมัง?”
แม้ฮูหยินซูจะจงใจรายงานให้อาการบาดเจ็บของเขาหนักสักหน่อย แต่ดูไปแล้วยามนี้อาการบาดเจ็บของเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ได้น้อยกว่าที่รายงานต่อฮ่องเต้เลย คาดว่าเพราะกลัวว่าบิดามารดาจะเป็นห่วงเขาจึงจงใจบอกไปว่าไม่หนักหนาอันใด นับแต่เขาบาดเจ็บจนตอนนี้อย่างน้อยก็สามเดือนแล้ว เมื่อดูจากสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งของเสิ่นจั้งเฟิงก่อนหน้านี้ แต่เวลานี้เขากลับยังคงนอนอ่อนเพลียอยู่บนเตียงยากลุกไหว ก็สามารถจิตนาการได้ว่าแต่แรกนั้นจะต้องเป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน
มองดูใบหน้าซีดขาวของเขา สองคิ้วที่คุ้นเคยเต็มไปด้วยความอ่อนล้า แม้ดวงตาจะยังคงสดใส แต่ก็ไม่เฉียบคมดังก่อนเก่า …นี่หากว่าไม่ได้เห็นสาวใช้หน้าตาสะสวยข้างนอก เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้ว่าจะสงสารเขาไปอีกเท่าใด
แต่เมื่อได้ยินเขาถามในยามนี้ เว่ยฉางอิ๋งกลับนิ่งเงียบไปสักพักจึงบอกว่า “ก็ไม่เท่าใด เพียงแต่คิดว่าโชคดีที่ไม่ได้พากวงเอ๋อร์มาด้วย”
“กวงเอ๋อร์ยังเล็กนัก ยามนี้ต้องทนแรงกระเทือนไม่ไหวเป็นแน่” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเบาๆ ไปคำหนึ่ง นึกว่าความเงียบงันของภรรยาเป็นเพราะกังวลถึงบุตรชายคนโตที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวง เขาจึงพยายามเอื้อมมือออกมาจากในผ้าห่มนวมมากุมมือนางไว้ มือของทั้งสองคนต่างค่อนข้างเย็น …เว่ยฉางอิ๋งจึงกดมือเขากลับไปในผ้านวม แล้วเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ยามนี้ร่างกายเจ้าไม่ใคร่ดี อย่าให้ต้องความเย็น”
เสิ่นจั้งเฟิงปล่อยให้นางเอามือตนกลับเข้าไปในผ้านวม แต่ตอนที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะชักมือกลับ เขากลับใช้นิ้วเกาะกุมมือนางเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งยึดยื้อสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงยังคงบาดเจ็บไม่หายดี จึงปล่อยให้นางดึงมือออกไปนอกผ้านวมโดยง่าย … เขาเป็นคนละเอียดอ่อนมาแต่ไร เวลานี้มีหรือจะมองไม่ออกว่าภรรยาคลายมีเรื่องไม่พอใจตน? กำลังจะเอ่ยคำเว่ยฉางอิ๋งกลับถามถึงอาการบาดเจ็บของเขาขึ้นมา “ท่านแม่บอกว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าไม่ได้หนักหนานัก แต่ข้าเห็นว่าจนยามนี้เจ้าก็ยังอาการไม่ใคร่ดี? ไยต้องปิดข่าวด้วย?”
“ก็มิใช่” เสิ่นจั้งเฟิงขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยเสียงต่ำไปว่า “เจ้าขยับเข้ามาสักหน่อยข้าจะบอกกับเจ้า”
เว่ยฉางอิ๋งโน้มตัวลงไปตามคำเขา เสิ่นจั้งเฟิงอมยิ้มพลางยกหัวขึ้นมาจูบที่ตีนผมนางหนหนึ่ง …เว่ยฉางอิ๋งกลับมิได้ประหลาดใจที่เขาจะฉวยโอกาสลอบชมนาง เพียงเอ่ยเร่งไปอย่างสงบว่า “เป็นเรื่องใดกัน?”
“บนปอยผมเจ้ายังมีเกล็ดหิมะติดอยู่ สักพักจะให้คนเตรียมน้ำร้อนให้เจ้าอาบ จะได้ไม่หนาวเย็นเอา” เสิ่นจั้งเฟิงกำชับไปคำหนึ่ง จึงแย้มยิ้มพลางว่า “เดิมทีบาดแผลไม่นับว่าสาหัส ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งก็ลุกขึ้นได้แล้ว แต่กลับประเมินมู่ซิวเอ่อร์ต่ำเกินไป จึงถูกคนลอบเข้ามาทำร้ายในตัวเมือง ยามนี้จึงต้องลงไปนอนอีกแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งอดใจหายวาบไม่ได้ ร้องลั่นออกมาว่า “อะไรนะ?! คนร้ายถึงกับลอบเข้ามาสังหารเจ้าในหมิงเพ่ยถังเชียวรึ?!”
__________________________________
[1] เตียงเตา คือเตียงที่ก่อด้วยอิฐ ข้างล่างทำเป็นช่องเพื่อใส่ถ่านร้อนไว้ ใช้ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว