ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 24 พ่อแม่บุญธรรม (2)
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนชั่วยาม จึงบอกว่า “แม่บุญธรรม?”
“ก่อนจะมาซีเหลียงก็คำนับพ่อแม่สามีของพี่เว่ยเป็นพ่อแม่บุญธรรมแล้ว เพียงแต่ครั้งนั้นยังไม่ทันประกาศเรื่องนี้ออกไปเท่านั้น” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นั่นเพราะข้าต้องรักษาสามีพี่เว่ยด้วยตนเอง และท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมก็ฝากความหวังไว้กับสามีพี่เว่ยอย่างยิ่ง หากข้าทำการเลอะเลือนเพราะพี่สาวแท้ๆ โดยมิได้สนใจตระกูลตวนมู่ แล้วมาลงมือกับสามีพี่เว่ยสักหน …ท่านว่าตระกูลเสิ่นจะทำเช่นใด?”
เว่ยฉางอิ๋งถูกนางพูดเสียจนเกือบจะกระโดดโหยงขึ้นมา ทว่าพอคิดดูคราวหนึ่งก็นั่งกลับลงไป แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ยามเจ้ารักษาท่านพี่ ข้าก็ล้วนอยู่ด้วยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยาก็ล้วนเป็นข้าให้คนไปต้มมา! อยู่ต่อหน้าข้า แล้วเจ้าจะทำสิ่งใดได้? หากเจ้าไม่ห่วงชีวิตแล้ว ก็จะไม่สงสารพี่หญิงใหญ่และหลานชายของเจ้าที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงหรอกหรือ?”
“พี่เว่ย ท่านนี่ช่างไม่รู้เรื่องการแพทย์เลยจริงๆ! หรือนึกว่าสามีพี่เว่ยเขามีร่างกายแข็งแรง หากลงไม้ลงมือเพียงน้อยนิดในยาที่สั่งให้ไปแล้วจักทำอันใดเขาไม่ได้?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยถึงเรื่องการแพทย์ก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด นางแอบยิ้มแล้วว่า “เรื่องอื่นข้าก็จะไม่เอ่ยแล้ว หรือพี่เว่ยนึกว่ายาที่ข้าใช้แช่เสื้อผ้าจะมีเพียงโลหิตสิบราตรีชนิดเดียว? ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเสื้อผ้าข้าเท่านั้นจึงจะออกฤทธิ์?”
นางแย้มยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เพราะข้าไม่ได้ลงมือ หาไม่แล้ว พี่เว่ยแม้ท่านจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศเกินคนไม่แพ้รูปโฉมของท่าน แต่หากข้าคิดจะล้มท่านจริงๆ น่ะหรือ…ก็ไม่ยากเลยจริงๆ!”
“ต่อให้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับบิดาในตระกูลจะไม่แน่นแฟ้น จึงไม่ไยดีว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว ตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วจะลงเอยเช่นใด แต่เจ้าก็ยังอายุเพียงน้อยๆ ทั้งยังมีพี่สาวและหลานชายให้ต้องห่วงไย อย่างไรก็คงไม่ถึงกับมองเห็นพวกเขาตายอย่างไม่รู้สึกรู้สากระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งไม่ถูกนางยั่วให้โกรธแต่อย่างใด แล้วเอ่ยไปด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “ต่อให้ฮ่องเต้ไม่กล้าตรัสกับเจ้าอย่างชัดแจ้งว่าให้เจ้าลงมือดังว่ากับท่านพี่ยามเจ้ารักษาเขา แต่อย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์! ขอเพียงไม่ได้มึนงงจนเลอะเลือน เมื่อรู้ว่าไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงให้สัญญาใดกับเจ้า แต่หากสามีข้าเกิดเรื่องใดด้วยน้ำมือเจ้า ทั้งเจ้าและบิดาของเจ้าก็จะไม่มีวันมีจุดจบที่ดีแน่! ตระกูลเสิ่นและ ตระกูลตวนมู่ต้องมาห้ำหั่นกันจนเจ้าตายข้าม้วย…ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงยินดีปรีดาเพียงใด! อีกประการ พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องทางนั้น ก็ไม่แน่ว่าฮ่องเต้จะทรงสามารถตัดใจจัดการกับพระนัดดาแท้ๆ ของตนเองได้ เมื่อล่วงเกินตระกูลเสิ่นของข้า ฮ่องเต้ก็ย่อมไม่อาจปกป้องไช่อ๋องแม่ลูกเอาไว้ได้แน่! ด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยนี้ก็ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องมีพ่อแม่บุญธรรมขึ้นมาอีกคู่หนึ่งแล้ว!”
นางกวาดตาไปยังตวนมู่ซินเหมี่ยวคราวหนึ่ง “นี่มันเรื่องใดกันแน่?
ในเมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวกล้าเอาจดหมายออกมา ครานี้ก็ไม่ได้ปิดบังอันใดอีก “ข้าเดินทางไกลพันลี้มารักษาสามีพี่เว่ย และยังเป็นเพราะงานที่ฮ่องเต้ทรงบอกเป็นนัยกับสนมเอกเติ้งด้วย แม้จะบอกว่าสนมเอกไม่ได้ให้ข้าทำบางสิ่งยามรักษาให้สามีพี่เว่ย แต่ว่านะ…ข้าก็ถูกดึงมาเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้แล้ว คนที่บ้านข้าจะไม่เป็นกังวลได้ที่ใด?”
นางพ่นลมหายคำหนึ่ง “นี่เห็นหรือไม่เล่า เมื่อยอมรับพ่อแม่บุญธรรม และรับบุญคุณที่ช่วยรักษาสามีพี่เว่ย ก็สามารถแลกกับคำสัญญาจากพวกเขาว่าจะปกป้องดูแลพี่หญิงใหญ่และหลานชายของข้าในทันใด แม้ตอนนั้นจะยังไม่มีเรื่องของอิ่งเอ๋อร์ ทว่าทุกคนก็สามารถวางใจได้สักน้อยแล้ว!”
“เรื่องที่เจ้ามาเป็นบุตรีบุญธรรมของตระกูลเสิ่นนี้ …ที่เมืองหลวงพอมีคนรู้บ้างหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
ตวนมู่ซินเหมี่ยวบอกว่า “ข้าก็ไม่ได้คุ้นเคยกับแม่บุญธรรม จะไปรู้ได้อย่างไรว่าแม่บุญธรรมจะทำเช่นใด? แต่แม่เลี้ยงข้าผู้นั้นอาจอาศัยช่วงที่ไปมาหาสู่กับผู้คนในเทศกาลปีใหม่กระจายเรื่องนี้ออกไปก็เป็นได้ หากนางทำเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าเวลานี้ทุกบ้านในเมืองหลวงก็คงรู้กันหมดแล้วกระมัง”
เว่ยฉางอิ๋งอดตื่นตกใจไม่ได้ กล่าวว่า “ฮูหยินโจว?”
นางพลันใคร่ครวญในใจ “ทางแม่สามีข้านั้นก็ยังพอทำเนา เพราะไม่ว่าจะทำเช่นใด ท้ายสุดแล้วก็ล้วนต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อสามีข้า แต่ที่มารดา….มารดาของเจ้าทำเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าบิดาเจ้ามีความเห็นเช่นใด?”
ตามที่นางได้ฟังมา ด้วยเหตุที่โจวเยวี่ยกวง แม่เลี้ยงของตวนมู่ซินเหมี่ยวมีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่ ครั้งนางแต่งเข้าบ้านมาก็มีลูกเลี้ยงทั้งชายหญิงหลายคนที่อายุมากกว่านางเสียอีก ทั้งในเรือนหลังก็ยังมีเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด แม้นางจะอ่อนกว่าสามีหลายสิบปีแต่ก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของบิดาของตวนมู่ซินเหมี่ยวอย่างมาก ทว่าหนทางที่นางเข้ามาปกครองเรือนก็สาหัสยิ่งนัก
เริ่มแรกนั้นโจวเยวี่ยกวางอาศัยการรับตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ไปอยู่ข้างนอกหลายปีกลับมา จึงสามารถหาข้ออ้างทวงถามโทษจากบรรดาอนุและลูกเลี้ยงทั้งหลายในเรือนหลังในข้อหาว่าโหดร้ายต่อบุตรสาวคนเล็กของภรรยาคนก่อน นางใช้เรื่องนี้มาช่วยเสริมส่งว่าตนเองซึ่งเป็นภรรยาที่แต่งงานเข้ามาใหม่รักใคร่เอาใจใส่บุตรสาวจากภรรยาคนก่อน จนได้ชื่อว่าประเสริฐดีงาม ภายหลังฐานะของนางจึงค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา
ทว่าโจวเยวี่ยกวงกลับไม่ใคร่มีวาสนาเรื่องทายาท จนบัดนี้ก็ยังไม่มีบุตรของตน จึงไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้คอยเป็นแรงหนุนให้ตน หากจะบอกว่าฐานะของนางไม่มั่นคง แต่ภายในตระกูลตวนมู่นางก็เป็นฮูหยินผู้ปกครองบ้านอย่างเต็มศักดิ์และสิทธิ์ หากจะบอกว่าไม่มั่นคง ทว่าไม่ว่านางจะทำการใดก็ระมัดระวัง ละเอียดรอบคอบและถือเรื่องปรองดองเป็นสำคัญ หาได้กล้าชี้ขาดเรื่องใดตามใจดังคนระดับฮูหยินซูไม่
ต่อให้เป็นชาวบ้านร้านตลาดที่คำนับพ่อแม่บุญธรรม นอกเสียจากบิดามารดาทั้งสองฝ่ายไม่คัดค้านหรืออยู่ห่างไกลกันเกินไปจนไม่อาจบอกกล่าวได้ทัน หาไม่แล้วอย่างไรก็ต้องสอบถามความเห็นของบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายก่อนจึงจะได้
ประสาอะไรที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคุณหนูมีตระกูลเช่นนี้ แม้ว่าด้วยฐานะของเสิ่นเซวียนสามีภรรยาแล้ว การมาเป็นพ่อแม่บุญธรรมของนางก็มิได้เป็นการลบหลู่นางแต่อย่างใด ทว่า…บิดามารดาของตวนมู่ซินเหมี่ยวยังอยู่ทั้งคู่ แม้ว่าโจวเยวี่ยกวงจะเป็นแม่เลี้ยง แต่อย่างไรก็เป็นแม่ที่ถูกต้อง นางยังอยู่ดี แล้วจะไปคำนับเสิ่นเซวียนสามีภรราเป็นพ่อแม่บุญธรรมทำสิ่งใด?
ที่สำคัญที่สุดก็คือตระกูลตวนมู่กลับยังรับปากเสียด้วย? ตระกูลตวนมู่เพิ่งจะเริ่มเก็บเนื้อเก็บตัวเมื่อตอนที่องค์ชายสี่สูญเสียพระราชอำนาจนี่เอง!
ยามนี้ตระกูลเสิ่นก็กำลังอยู่ในภาวะที่ถูกโจมตีได้โดยง่าย แล้วเหตุใดตระกูลตวนมู่จะบุ่มบ่ามให้บุตรีจากภรรยาเอกในสายหลักของตนไปเป็นบุตรีบุญธรรมของประมุขตระกูลเสิ่นสามีภรรยากันเล่า?
หากไม่ได้รับอนุญาตจากบิดาของตวนมู่ซินเหมี่ยว หรือว่าโจวเยวี่ยกวงจะตัดสินใจเองลำพัง? เช่นนั้นแล้วนางก็กล้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! ต่อให้ขืนอาศัยฐานะของเสิ่นเซวียนสามีภรรยามาบังหน้า เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ตระกูลตวนมู่เกิดรู้สึกระดากอายขึ้นมา แม้จะออกมาบอกว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องหรือไม่ก็ไม่ได้มีการตัดสินใจดังนี้ แต่โดยส่วนตัวก็จะต้องไม่ปล่อยโจวเยวี่ยกวงไว้แน่!
ด้วยลำดับตระกูลเช่นตระกูลโจวแห่งซีหลินนี้ หากโจวเยวี่ยกวงเกิดมาตายโดยฉับพลัน ตระกูลโจวก็ทำได้เพียงเชื่อคำของตระกูลตวนมู่แล้ว
เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เคลือบแคลง และเคลือบแคลงเสียอย่างยิ่ง
ภายใต้สายตาแห่งความเคลือบแคลงเช่นนี้ของนาง กลับเพียงได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านพ่อข้าก็เห็นด้วยแล้วนะ! ข้าก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง เมื่อเข้าพิธีคำนับพ่อแม่บุญธรรมแล้ว หรือว่ายังต้องให้ท่านพ่อมาคอยจัดการด้วยตนเองเสียให้ได้? ให้แม่เลี้ยงข้าไปบอกกับคนข้างนอกสักหน่อยเป็นพอแล้ว”
“ฟังคำเจ้าว่ากลับดูทำการลวกๆ อย่างประหลาด?” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน และในใจกลับมีความคิดบางอย่างว่า ดูท่าตระกูลตวนมู่คงสงสัยว่าฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะยืมมีดฆ่าคนแล้ว …นั่นเพราะ หากเป็นบุตรหลานคนอื่นก็ยังแล้วไป และปีนี้ก็มิใช่สาเหตุสลักสำคัญอันใด ด้วยมีบุตรหลานที่หักหลักตระกูลให้เห็นกันอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรหลานที่เกิดจากภรรยาเอกในสายหลักที่ได้รับเกียรติจากตระกูลเลย
ทว่าด้วยเหตุผลต่างๆ นานาทำให้คุณหนูตวนมู่แปดผู้นี้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคนในตระกูลเลยแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์ของนางกับบิดาก็ยังไม่ใกล้ชิดเท่านางกับโจวเยวี่ยกวงแม่เลี้ยงของนางเสียด้วยซ้ำ! ในใต้หล้านี้นอกจากตวนมู่เวยเหมี่ยวแม่ลูก ซึ่งเป็นพี่สาวและหลานชายแท้ๆ ของนางและจี้ชวี่ปิ้งผู้อาจารย์แล้ว ความเป็นตายของคนนอกนั้นนางหาได้เก็บมาใส่ใจไม่!
แต่ตวนมู่เวยเหมี่ยวแม่ลูกก็ดันเป็นพระสุณิสาและพระนัดดาของฮ่องเต้ ผู้ใดจะรู้ว่าเพื่อพี่สาวและหลานชายแล้วตวนมู่ซินเหมี่ยวจะทำการเลอะเลือนหรือไม่ …นี่เกรงว่าตระกูลตวนมู่จะเก็บเนื้อเก็บตัวเกินไป จนถูกฮ่องเต้มองว่ารังแกได้โดยง่าย …เห็นหรือไม่เล่า พระประสงค์ของฮ่องเต้ก็คือให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวมาหาข่าวคราวที่ซีเหลียงไปให้ แต่ตระกูลตวนมู่กลับมอบบุตรีจากภรรยาเอกให้ไปเป็นบุตรีบุญธรรมของตระกูลเสิ่นเสียแล้ว…
ฮ่องเต้ท่านก็อย่างได้คิดจะมาลงมือกับบ้านเราเลย หากถูกบีบมากๆ เข้า แล้ว ตระกูลสูงศักดิ์ของพวกเราร่วมมือกันขึ้นมา ท่านก็ยิ่งไม่อาจบรรทมหลับได้มิใช่หรือ? ดีชั่วท่านก็เลอะเลือนมาตั้งหลายปีแล้ว พวกเราก็เพียงปิดบังคำครหานินทาของชาวบ้านร้านตลาดทั้งหมดเอาไว้ไม่ให้ท่านได้ทรงทราบเพื่อจะได้ไม่ไปทำลายพระเกษมสำราญของท่านในตำหนังหลังเท่านั้น เหล่าขุนนางคำนึงถึงท่านเพียงนี้ ท่านก็ไปประทับอยู่แต่ในตำหนักหลังกับบรรดาสนมกำนัลหน้าตางดงามและอายุสามารถเป็นหลานตาของท่านได้ไม่ดีหรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงใคร่ครวญพลางจิบน้ำชาที่เย็นชืดแล้วอึกหนึ่ง
ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองนางยิ้มๆ “มีอันใดต้องคิดมากอีก? หากท่านคิดมากเรื่องอื่น ต่อให้ท่านแม่บุญธรรมปิดบังพี่เว่ย ท่านย่าท่านอาหญิงของท่านก็ต้องส่งคนส่งจดหมายมารายงานท่านอยู่ดีมิใช่หรือ? ท่านมีญาติผู้ใหญ่ตั้งมากมาย!”
สักพักหนึ่ง ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงโบกมือพลางหัวเราะ แล้วอธิบายถึงสาเหตุว่า “ข้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง เดินทางไกลพันลี้มาถึงซีเหลียงเพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บให้ชายที่แต่งงานแล้วทั้งยังไม่มีความเกี่ยงข้องใดกับข้าแม้แต่น้อย ต่อให้มี่พี่เว่ยซึ่งเป็นภรรยาเอกอยู่ด้วย ทว่าด้วยฐานของข้าและต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ก็นับว่าทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงมิใช่หรือ? ฉะนั้นแม่เลี้ยงข้าจึงบอกว่าการที่ข้าต้องเข้าห้องนอนของบุรุษโดยที่ไม่มีฐานะอันใด นี่มันเป็นเรื่องใดกัน? ทว่าวิชาแพทย์ของข้าก็ไม่ได้ดีจนถึงขั้นแม้แต่คนก็ยังไม่ได้พบก็สามารถรักษาได้แล้ว หาไม่จะวิ่งโร่มาถึงซีเหลียงทำสิ่งใด?”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจแล้ว “ฉะนั้นแม่เลี้ยงเจ้าจึงเสนอว่าให้เจ้าทำพิธีคำนับพ่อแม่บุญธรรมเสีย?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มาพลางว่า “หาไม่แล้ว คนที่วันๆ เอาแต่สนใจเรื่องวิชาแพทย์และศาสตร์ยาเช่นข้า จะคิดความคิดๆ ออกว่าต้องไปดึงประมุขตระกูลเสิ่นที่เป็นดังธงคุ้มครองใหญ่โตทั้งสองมาคุ้มครองพี่สาวและหลานชายได้ที่ใด?”
ฮูหยินโจวที่มาแต่งเป็นภรรยาคนที่สองของตระกูลตวนมู่ผู้นี้ไม่นับว่ามีชื่อเสียงเท่าใดนักในบรรดาสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง แม้ผู้ใหญ่ของแต่ละตระกูลส่วนใหญ่แล้วล้วนมองเห็นอยู่ในสายตาว่านางหว่านล้อมตวนมู่ซินเหมี่ยวเพื่อใช้มารับมืออนุและบุตรของอนุทุกคนจนสามารถได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงที่ประเสริฐก็ตามที ทว่านี่ก็เป็นเรื่องในเรือนหลังของนางเท่านั้น ผู้ที่มาเป็นภรรยาเอกในบ้านใหญ่โตต่างๆ ผู้ใดจะไม่สรรหากลวิธีต่างๆ มาจัดการดังนี้บ้าง?
เมื่อมองจากในประเด็นนี้ โจวเยวี่ยกวงก็เป็นสตรีชั้นสูงในบ้านใหญ่โตที่จัดว่ามีฝีมือในระดับกลางเท่านั้น อย่าได้เอ่ยว่าจะทัดเทียบกับคนชั้นฮูหยินที่แก่กว่ารุ่นหนึ่งเช่นแม่เฒ่าซ่ง ที่จนบัดนี้เมื่อเอ่ยนามขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวกันนักหนาได้ หรือต่อให้เป็นในรุ่นของฮูหยินซู หรือจางเสากวงมารดาของหลิวรั่วเหยียต่างก็ยังได้รับเสียงชมว่าฉลาดหลักแหลมกว่านางโข
ดังนี้เอง แม้เว่ยฉางอิ๋งจะรู้ว่ามีฮูหยินโจวผู้นี้อยู่ แต่ก็ไม่เคยให้ความสนใจมากมายนักมาก่อน
ครานี้ได้ฟังคำของตวนมู่ซินเหมี่ยว ก็รู้สึกประหลาดใจนัก และไล่เรียงถามไปว่า “แล้วมารดาเจ้าจะได้ประโยชน์ใดเล่า?”
โจวเยวี่ยกวงมิใช่แม้แท้ๆ ของตวนมู่ซินเหมี่ยว ยิ่งกับตวนมู่เวยเหมี่ยวที่โดยนามแล้วเป็นบุตรสาวคนโตของนาง นางก็ยังไม่เคยได้พบเสียด้วยซ้ำ …ครั้งโจวเยวี่ยกวงแต่งเข้าบ้านมานั้น ตวนมู่เวยเหมี่ยวก็เป็นพระมารดาท่านอ๋องแล้ว ครั้งนั้นก็เอาแต่ปิดประตูไม่ออกไปที่ใด จะยอมพบก็แต่ท่านย่าและน้องสาวแท้ๆ เท่านั้น ฉะนั้นความจริงแล้วแม่ลูกโดยนามคู่นี้จึงยังไม่เคยพบกันเลย …นางมาช่วยวางแผนดังนี้ให้แก่ลูกเลี้ยง ย่อมไม่มีทางเพียงเพื่อให้ตนเองได้ชื่อว่า ‘เอาใจใส่บุตรสาวของภรรยาคนก่อน’ หรอกกระมัง?
แต่แน่นอนว่า อาจเป็นไปได้เช่นกันว่าตระกูลตวนมู่ตัดสินใจเช่นนี้หลังจากที่ได้รู้ว่าสนมเอกเติ้งมาข่มขู่ตวนมู่ซินเหมี่ยว จึงให้โจวเยวี่ยกวงเป็นคนออกหน้ามาพูดกับลูกเลี้ยง หากเป็นดังนี้ ก็บ่งชัดว่าตระกูลตวนมู่ยังคงระมัดระวังฮ่องเต้อย่างมาก หากฮ่องเต้ไม่ได้ถูกโค่นล้ม แล้ววันใดกลับยิ่งทวีความเป็นอริกับตระกูลตวนมู่ขึ้นมา แต่ตระกูลตวนมู่ก็ยังสามารถพูดแก้สถานการณ์ได้ว่า ฮ่องเต้ท่านโปรดทอดพระเนตรดู นี่ล้วนเป็นเพราะฮูหยินบ้านเรารักใคร่บุตรสาว นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง มิได้รู้ความมากมาย ก็เพียงคิดจะปกป้องชื่อเสียงของบุตรสาว เมื่อได้ชื่อว่าเป็นบุตรีบุญธรรม คนเป็นน้องสาวเดินทางแสนไกลพันลี้ไปช่วยชีวิตพี่ชายก็ล้วนเป็นการสมควรแล้ว …หาได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในยามนี้หรือการบ้านการเมืองสักน้อยไม่!
ทว่า สัญชาตญาณของเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าเรื่องนี้กลับไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น … โจวเยวี่ยกวงมิใช่ฮูหยินผู้ปกครองบ้านที่เก่งกาจสามารถ และนางก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่า แม้ก่อนนี้นางไม่ได้คิดมากมายเพียงนี้ หรือเพราะมาก้าวก่ายอันใดไม่ได้ ที่นางมาบอกกล่าวกับลูกเลี้ยงเพราะล้วนได้รับคำสั่งจากสามีและคนในตระกูล ทว่านางจะไม่ฉวยโอกาสนี้หาประโยชน์ใส่ตัวสักน้อยได้อย่างไร?
______________