ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 25-2 จุดมุ่งหมาย
เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างหมดคำพูด “เจ้าไม่ต้องมีอารมณ์เพียงนี้….”
“นี่ท่านคงไม่ได้ไปบอกกับคนข้างนอกว่าข้าไม่คิดค่ารักษาหรอกนะ? แม้ท่านจะเป็นทั้งพี่สาวและเป็นพี่สะใภ้ของข้าด้วย แต่ข้าจะบอกกับท่านเอาไว้ก่อน …หากท่านกล้าไม่มาหารือกับข้าแล้วตัดหนทางความร่ำรวยของเขาเสีย ก็อย่ามาโทษว่าข้าจะสู้ตายกับท่าน” ก่อนหน้านี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวยังมีท่าทีผ่อนคลายสบายใจต่ออาการอาละวาดของเว่ยฉางอิ๋งอยู่เลย ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางตบโต๊ะขึ้นเสียงไปว่า “ข้าอุตส่าห์หวังจะฉวยโอกาสนี้หาเงินทองก้อนโต หลังจากกลับเมืองหลวงก็จะได้ไปศึกษาวิชาแพทย์ต่อได้อย่างวางใจ! ท่านอย่าได้คิดจะให้รักษาผู้อื่นโดยไม่คิดเงินทอง ไม่เช่นนั้นท่านก็ต้องชดใช้ให้ข้า! หาไม่แล้วหากท่านไม่ตายข้าก็ม้วย!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มออกมาอย่างเลิกลั่ก “ข้าก็เพียงนึกว่าเจ้าจะรักษาโดยไม่คิดเงินทองเท่านั้น ข้ากลับไม่ได้ไปบอกกับคนข้างมองแม้แต่ครึ่งคำ”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยังคงไม่ยอมเชื่อ หลังจากสอบถามนางจนแน่ใจหนแล้วหนเล่าจึงผ่อนคลายลง และกลับลงมานั่งที่ แค่นเสียงหึๆ ว่า “วันหน้าท่านเอ่ยคำใดก็ให้ระวังสักหน่อย ทำเอาข้าตกอกตกใจแทบตายแล้ว! คนตั้งมากมาย ต้องได้ค่ารักษาตั้งมากมาย หากบินหายวับไปหมด ข้าจะไม่ปวดใจจนตายรึ?”
สำหรับสาเหตุที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคุณหนูบุตรีภรรยาเอกในสายหลักของตระกูลตวนมู่ทั้งยังได้รับมรดกจากพี่สาวแท้ๆ และท่านย่ามาส่วนหนึ่ง แต่กลับยังตาโตกับเงินทองเพียงนี้ หลังจากเคยมีประสบการณ์เรื่องกำไลยามาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็หาได้ประหลาดใจไม่
สิ่งที่นางประหลาดใจก็คือ “ในเมื่อเจ้ายินยอมทำการรักษาเพื่อหาเงินทอง แล้วเหตุใดตอนอยู่ที่เมืองหลวงเจ้าจึงไม่ออกไปรักษาให้บ่อยครั้งเล่า?”
ด้วยป้ายทองรับประกันของจี้ชวี่ปิ้ง จะให้ค่ารักษาของตวนมู่ซินเหมี่ยวมีราคาไม่สูงก็คงยาก ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องการทำเครื่องประดับยา ก็ยังเคยเอาเครื่องหยกชั้นเลิศทั้งหมดของท่านยาไปแช่น้ำยาจนเสียหาย กระทั่งเอามรดกอื่นๆ ไปขายเพื่อแลกกับเครื่องหยก ล้างผลาญจนล่มจมไปหมด… เว่ยฉางอิ๋งยังเคยกังขาว่าคุณหนูมีตระกูลผู้นี้ไยจึงตกต่ำจนถึงขั้นมาขอกำไลจากคนแปลกหน้าเช่นตนเอง นั่นเพราะคนที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศทั้งยังมีฐานะสูงส่งเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยวนี้ ต่อให้ไม่มีเงินทองเพียงใด ก็มิใช่ว่ายังสามารถออกรักษาคนได้หรอกหรือ?
แต่เมื่อคิดได้ว่านิสัยใจคอของจี้ชวี่ปิ้งและตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่เหมือนคนทั่วไป เว่ยฉางอิ๋งจึงเดาเอาว่า อาจเพราะสายของหมอเทวดามีนิสัยประหลาดที่ไม่ชอบรักษาคนก็เป็นได้
ทว่า มาเห็นอาการเอามือลูบหมัดของตวนมู่ซินเหมี่ยว ชนิดที่ทนรอเข้าไปจัดการให้หนักๆ ในทันทีทันใดแทบไม่ไหว โอ๊ะไม่ใช่สิ เป็นอาการรอไปหาเงินก้อนใหญ่แทบไม่ไหวในเวลานี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกอึ้งไม่รู้จะพูดสิ่งใดเลยจริงๆ
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินคำนี้กลับมีท่าทีรันทดมาจากขั้วหัวใจว่า “ท่านคิดว่าข้าไม่อยากได้เงินก้อนนี้หรือ? แล้วท่านไม่ลองคิดดูบ้างว่าในเมืองหลวงมีหมอกี่คน? สำหรับคนเช่นพวกเราแล้ว การไปเชิญแพทย์หลวงมารักษาล้วนนับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา! นิสัยใจคอและธรรมเนียมของท่านอาจารย์ของข้า ไม่มีบ้านใดในเมืองหลวงที่ไม่รู้! ไม่เหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่แพทย์หลวงรักษาไม่หาย หรือไม่ก็บุตรีตระกูลเว่ยเช่นท่านที่ลากเอาสามีซึ่งไม่ได้เจ็บป่วยอันใดเข้ามาขอรับการรักษาได้! วันๆ ข้าก็ได้แต่นั่งอยู่ในเรือนรอให้คนมาเชิญไปรักษา เจ้าคิดว่ากี่ปีจะมีสักคน? หรือว่าข้า คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว ซึ่งเป็นผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวของท่านหมอเทวดาจี้แพทย์อันดับหนึ่งแห่งเขตทะเลแท้ๆ ต้องวิ่งไปบ้านใครต่อใคร่เพื่อร้องขอผู้อื่นว่าเมื่อเจ็บไข้แล้วก็ต้องมาหาข้า?”
เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงเรื่องที่ต้องเผชิญ เมื่อครั้งที่ตนบังคับให้สามีไปขอรับการรักษาที่คฤหาสน์จี้กับตนเมื่อคราก่อน พลันตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง พลางทอดถอนใจว่า “นั่นก็ใช่ กลับเป็นข้าที่เลอะเลือนเอง ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่ชอบรักษาคนเสียอีก!”
“ข้าจะไม่ชอบรักษาคนได้อย่างไร!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ่งพูดก็ยิ่งมีน้ำโห แล้วเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ท่านไม่รู้ว่าศาสตร์การแพทย์นี้ยิ่งรักษาก็จะยิ่งชำนาญหรอกหรือ? หากข้าไม่ได้ท่านอาจารย์ถ่ายทอดประสบการที่ท่านรักษาคนมาหลายปี ข้าก็จะไม่กล้ามาซีเหลียงกับท่านแล้ว!”
นางถอนใจยาว “จนใจเหลือที่โอกาสจะได้ลงมือรักษาเองมีน้อยๆๆๆ นัก! ยิ่งไปกว่านั้นนานๆ ที่จึงจะได้ลงมือรักษาเองสักหน คนที่กล้ามาเชิญข้าหากไม่ใช่คนเช่นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ก็เป็นคนเช่นท่านนี้ แม้ในใจข้าจะมีความคิดมากมายแต่ก็ไม่ใคร่กล้าใช้นัก เพราะหากเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะชี้แจ้งไม่ไหว!”
เอ่ยถึงตรงนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “แต่ในซีเหลียงนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว! พวกคนที่มาขอรับการรักษาเหล่านี้ แม้จะเป็นคนในตระกูลสูงศักดิ์ ทว่า…”
เว่ยฉางอิ๋งนึกว่านางจะบอกว่า “ทว่าตระกูลตวนมู่ที่คอยหนุนหลังข้าอยู่ก็สามารถทานรับได้ไหว” ไม่คิดว่าสิ่งที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยกลับคือ “ทว่าดีชั่วเช่นใดมี พี่สะใภ้สามท่านอยู่ที่นี่ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าข้าจะก่อเรื่องเดือดร้อนใด พี่สะใภ้สามท่านก็จะต้องช่วยข้าแก้ปัญหาได้แน่ๆ!”
“…เจ้าวางใจเถิด!” เว่ยฉางอิ๋งตบหลังนางอย่างมีนัยยะ ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “หากยามใดเจ้ากล้าไม่รักษาตามกฎเกณฑ์ให้ดีๆ เอาชีวิตคนมาทดลองฝีมือส่งเดช ยามนั้นข้าก็จะตีขาเจ้าให้หักแล้วส่งกลับไปรักษาที่เมืองหลวงเสีย!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขู่นางว่า “เวลานี้ท่านอาจารย์ของข้าอยู่ที่เฟิ่งโจว บิดาท่านก็อยู่ในกำมือของท่านอาจารย์ของข้าด้วย!”
“เจ้ายังหลอกข้าได้ แล้วข้าจะหลอกเขาไม่ได้หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งไม่สะทกสะท้าน แค่นเสียงเย็นเฉียบ “อย่าลืมเสียเล่า ที่เฟิ่งโจวมีท่านปู่ท่านย่าของข้าอยู่ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพอจดหมายจากลายมือข้าเพียงฉบับเดียวส่งไป เพียงแค่ท่านปู่ท่านย่าของข้าออกปากคำเดียวก็สามารถปิดบังจี้ชวี่ปิ้งเอาไว้ได้อย่างมิดชิดแล้ว?!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเคืองโกรธว่า “ดีแต่อาศัยผู้ใหญ่! หน้าไม่อาย!”
“พูดเสียอย่างกับว่าเจ้าไม่เอ่ยถึงท่านหมอเทวดาจี้ขึ้นมาก่อนอย่างนั้น!” เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใหญ่เล็กใส่นาง จ้องตากันอยู่เนิ่นนาน ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ตบโต๊ะไปคราวหนึ่ง ถอนใจว่า “เฮ่อ ไม่ล้อเล่นแล้ว …ที่อาจารย์ข้าให้ข้ามารักษาคนที่นี่ ประการแรกก็เพื่อช่วยเขาหาญาติ ประการที่สองก็คือให้ข้าได้ฝึกปรือวิชาแพทย์จริงดังว่า!”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้เรื่องการแพทย์เลยแม้แต่น้อย ครานี้จึงเอ่ยถามไปคำหนึ่งอย่างสงสัยว่า “แม้ทักษะการแพทย์ของเจ้าไม่สู้อาจารย์ของเจ้า แต่ก็ยังไม่ดีพออีกหรือ? ข้าเห็นว่านับแต่เจ้ามาถึงที่นี่ บาดแผลของท่านพี่ก็หายได้อย่างรวดเร็วนี่!”
“อาการบาดเจ็บของพี่ชายสามจะนับเป็นอันใดได้?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยพลางยิ้มเย็นๆ แม้เพิ่งจะเปลี่ยนวิธีเรียกใหม่เมื่อครู่นี้ แต่ความจำของตวนมู่ซินเหมี่ยวก็กลับดีมาก จึงใช้ฐานะของบุตรีบุญธรรมของหมิงเพ่ยถังมาเรียกขานคนในบ้านตระกูลเสิ่นแล้ว “ที่ช่วยชีวิตองครักษ์ของท่านเมื่อคราก่อนจึงนับได้ว่าเป็นฝีมือข้า! แต่เรื่องเหล่านี้กลับยังไม่พิเศษพิสดารอันใดเลย! ข้าจะบอกท่าน เรื่องบาดแผลภายนอกไปๆ มาๆ ก็มีอยู่เพียงเท่านั้น! แต่โรคภัยไข้เจ็บกลับไม่เหมือนกัน อาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเมื่อคราก่อนข้าก็ยังรักษาไม่หายเลย!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “รักษาไม่หายจริงๆ หรือนี่? ข้าก็นึกว่าเจ้าไม่ชอบใจจะรักษาให้ท่านยายจึงจงใจยื้อเวลาเสียอีก?”
“ยื้อเวลาอันใดกันเล่า? หลายวันนั้นข้าศึกษาวิธีโบราณอยู่หลายวิธี อยากรักษานางให้หายไวๆ จนแทบทนไม่ไหว จากนั้นก็รับค่ารักษาแล้วไปเสียที!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียงเอ่ย “จนใจเหลือที่ข้าค้นหาไปมาก็ยังหาวิธีไม่ได้ พอไปสอบถามท่านอาจารย์ ปรากฏว่าท่านอาจารย์กลับไม่ยอมอธิบายให้ข้าฟัง! ท่านว่านี่มันทรมานคนหรือไม่? ผ่านไปหลายวัน ท่านอาจารย์เห็นว่าข้าคิดไม่ออกจริงๆ จึงยอมเอ่ยเตือนสติข้า!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ทว่าจะว่าไป ทำเช่นนี้ก็เท่ากับเจ้ายิ่งศรคราเดียวได้นกหลายตัว นอกจากจะช่วยอาจารย์ของเจ้าค้นหาญาติแล้ว ก็ยังได้รับค่ารักษาที่ยากจะหาได้ในเมืองหลวง และยังได้ฝึกปรือฝีมือแพทย์ด้วย …จะว่าไป จากนี้ไม่นานไช่อ๋องก็จะได้ไปปกครองแคว้น เมื่อเจ้าเดินทางไปที่แคว้นศักดินาด้วย ก็จะสามารถดูแลรักษาพวกเขาแม่ลูกได้อย่างดีขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่เล่า?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวตอบรับไปทันใด “ก็มิใช่รึ? รอจนหลานชายข้าได้ไปปกครองแคว้นแล้ว เอ๋?!”
_______________