ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 27 เสิ่นตงไหล
คนที่มาหารือด้วยในวันนี้ล้วนไม่ได้โง่ ครั้งซูซิ่วม่าน …ฮูหยินซูอยู่ในวัยเท่าเว่ยฉางอิ๋งนั้น ตระกูลสายหลักอยู่ในสถานการณ์ใด? บิดามารดาของเสิ่นเซวียนพี่น้องเสียไปเร็ว ฮูหยินซูแต่งเข้าบ้านมาไม่นาน ถัดขึ้นไปจากนางไม่มีผู้ใหญ่คอยตัดสินใจให้ ถัดลงมาก็ไม่มีทายาทที่โตแล้วมาเป็นแรงหนุน!
ยิ่งไปกว่านั้น เสิ่นเซวียนพี่น้องก็มีกันเพียงสองคนเท่านั้น แต่เหล่าท่านปู่กลับมีกันเป็นโขยง พี่น้องผู้ชายในบ้านของเหล่าท่านปู่ก็ยิ่งมีมากนัก…
ในสถานการณ์เช่นนั้น แม้แต่ตำแหน่งประมุขตระกูลของเสิ่นเซวียนก็ยังไม่ใคร่มั่นคงนักเลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฮูหยินซู!
แต่ยามนี้ นอกจากเสิ่นเซวียนจะสามารถนั่งในตำแหน่งประมุขตระกูลได้อย่างมั่นคงมานานแล้ว รวมกับเสิ่นโจ้วแล้วก็มีบุตรชายถึงแปดคน! เสิ่นจั้งเฟิงที่เขาบ่มเพาะมาอย่างเต็มกำลังก็เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ มีทั้งความกล้ามีทั้งแผนการ ว่ากันตั้งแต่ชาติกำเนิด จนถึงความสามารถส่วนตัว ไปจนถึงบารมีในคนรุ่นเดียวกัน ล้วนเพียงพอจะทำให้ผู้คนทั้งตระกูลต้องหุบปากเสีย!
ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงมาสร้างความชอบที่ซีเหลียง ทว่าผู้ใดจะไม่รู้ว่าความชอบที่ว่า รวมทั้งความชอบที่วันนี้ตกลงไว้แล้วว่าจะแบ่งสรรให้แก่พวกของกู้ซีเหนียนทั้งสามคนนั้นล้วนเป็นแผนการที่เสิ่นจั้งเฟิงคิดออกมาเพียงผู้เดียว?
ฐานะในตระกูลของเสิ่นจั้งเฟิงในเวลานี้นับว่ามั่นคงยิ่งกว่าเสิ่นเซวียนบิดาของเขาในวัยเดียวกับเขามากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุที่บิดามารดาของเสิ่นเซวียนเสียไปเร็ว จึงไร้คนคอยสนับสนุนช่วยเหลือ แต่เขากลับไม่เหมือนกัน …เขามีบิดามารดา ท่านอาที่คอยบ่มเพาะเขามาเต็มกำลังทีเดียว! ในฐานะภรรยาของเขา เว่ยฉางอิ๋งจะต้องระมัดระวังมากมายเท่าซูซิ่วม่านสมัยยังสาวได้อย่างไร?
ประสาอะไรที่แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเกิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกับซูซิ่วม่าน ทว่าฐานะของทั้งสองคนในบ้านมารดาตนก็ไม่เหมือนกัน แม้ไม่อาจพูดได้ว่าซูผิงจ่านประมุขตระกูลซูไม่รักใคร่บุตรสาว แต่ในสายตาของซูผิงจ่านแล้ว เขาก็ยังให้ความสำคัญกับบุตรชายและหลานชายตระกูลซูเป็นที่สุด เมื่อบุตรสาวและบุตรเขยตกที่นั่งลำบากซูผิงจ่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยเหลือ แต่ก่อนจะช่วยเขาก็ต้องคิดคำนวณเอาไว้ดีแล้วว่าหากต้องแลกมาอย่างไม่คุ้มค่า ความช่วยเหลือของซูผิงจ่านก็จะไม่มีวันเทียบเท่าผลประโยชน์ของตระกูลซู …ตลอดหลายรุ่นมานี้ ตระกูลซูล้วนใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเสมอมา สำหรับเหล่าผู้คนในตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นตระกูลสูงศักดิ์เช่นกันแล้วจึงยังไม่นับว่าน่าเกรงขามพอ
แต่ก็มิใช่จะบอกว่าซูผิงจ่านไม่ดีกับบุตรสาวเพียงพอ เพราะนี่ก็เป็นท่าทีธรรมดาสามัญที่มีต่อบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว ทว่าทางรุ่ยอวี่ถังกลับเป็นเพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งอับโชคเรื่องทายาท จึงให้ความสำคัญกับเลือดเนื้อเชื้อไขจากบ้านใหญ่ของตนเป็นพิเศษ ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งออกเรือนไปแล้ว แต่ในสายตาของแม่เฒ่าซ่งแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสองแล้ว นางก็ยังคงอยู่ในการปกป้องดูแลของรุ่ยอวี่ถังอย่างเต็มกำลัง!
ประเด็นที่คอขาดบาดตายที่สุดกลับคือเรื่องที่เว่ยเจิ้งหงมีหวังจะรักษาหาย เมื่อนายท่านใหญ่เว่ยผู้นี้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมา อนาคตของเว่ยฉางเฟิงก็จะมั่นคงดังขุนเขาขึ้นมาในทันใด! แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งก็สามารถแบ่งกำลังมาคอยสนับสนุน เว่ยฉางอิ๋งได้มากยิ่งขึ้นด้วย! ทั้งนี้ ในเวลาที่เว่ยเจิ้งหงยังคงรักษาตัวอยู่ หลังจากรักษาหายแล้วก็ยังต้องการเวลาอีกสักระยะเพื่อเข้ารับราชการ แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งก็ต้องคอยจับตาดูเขาไว้สักหน่อย …ผ่านไปสักสองสามปีเมื่อเว่ยเจิ้งหงไม่จำเป็นต้องให้มารดาและภรรยาเป็นห่วงมากนักแล้ว เว่ยฉางเฟิงบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาก็มีทั้งท่านปู่และบิดาสองคนคอยอบรมสั่งสอน เมื่อแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งว่างลงแล้วไม่แน่ว่าก็จะทุ่มเทจิตใจทั้งหมดมาคอยจับตาดูเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นหลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวแล้ว
ตามความเข้าใจของคนตระกูลเสิ่นที่มีต่อแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งแล้ว ทั้งสองท่านนี้ล้วนไม่อาจยอมให้มีเม็ดทรายมาเข้าตาได้ ฉะนั้น แม้ไม่มีเรื่องก็สามารถทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่สร้างความลำบากให้กับเว่ยฉางอิ๋งเลย
…ประสาอะไรที่แม่เฒ่าเติ้งมารดาของฮูหยินซูเป็นคนอ่อนโยนมีเมตตา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด หากจะเอ่ยเรื่องช่วยบุตรสาวและบุตรเขยขจัดอุปสรรคขว้างทาง ต่อให้มีแม่เฒ่าเติ้งสิบคนรวมกันก็ยังไม่อาจเทียบเท่าปลายนิ้วของแม่เฒ่าซ่งที่ทำให้ผู้คนในตระกูลสูงศักดิ์แอบหวาดผวาอยู่ในใจ และเป็นที่รู้กันลับๆ ว่าจิตใจอำมหิตลงมือเด็ดขาดผู้นั้นได้เลย
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ครั้งที่เว่ยฮ่วนช่วยประคับประคองเสิ่นเซวียนพี่น้อง แม่เฒ่าซ่งก็คอยช่วยเหลือสามีอยู่ข้างๆ และเพียงแค่รอยยิ้มจางๆ ก็สามารถสยบผู้อาวุโสทุกท่านของ ตระกูลเสิ่นในวันนี้และผู้ใหญ่หลายคนที่เสียชีวิตไปแล้วจนไม่กล้าพูดจาไม่ระวังปาก …ทุกคนจึงรู้สึกว่าคนที่เอาเว่ยฉางอิ๋งมาเทียบกับซูซิ่วม่านนั้น จะพูดเรื่องใดไม่พูดกลับมาพูดเรื่องนี้ สมัยที่ซูซิ่วม่านอายุเท่าเว่ยฉางอิ๋ง พี่น้องในตระกูลสายหลักมีจำนวนน้อยนักทั้งยังมีแนวโน้มจะเสื่อมถอย แต่ผู้คนในตระกูลที่หวังจะช่วงชิงตำแหน่งประมุขกลับมีทายาทมากมายทั้งยังวางแผนการได้อย่างช่ำชองลึกล้ำ!
แต่ปรากฏว่าทั้งที่เป็นดังนี้ก็ยังพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว และมองตาปริบๆ ดูเสิ่นเซวียนพี่น้องฝ่าฝันขวากหนามต่างๆ ขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขตระกูลได้อย่างมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้ไม่ว่าจะมองจากเรื่องใดนางเว่ยผู้นี้ก็ล้วนมีปัจจัยสนับสนุนที่ดีว่าซูซิ่วม่านมากนัก! เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไปก็มิใช่ยิ่งย้ำเตือนว่าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยหรอกหรือ!
เห็นแก่ที่เป็นคนร่วมตระกูล เนิ่นนานจากนั้นจึงมีเสียงเบาๆ หลายเสียงเอ่ยขึ้นมาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ คำพูดที่เอาฮูหยินซูมาเปรียบเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งจึงตกไป คนผู้หนึ่งเอ่ยเรื่องที่พูดกันก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกครั้งว่า “เรื่องที่ต้องหารือกันในยามนี้ มิใช่เรื่องนางเว่ยผู้นี้กระทำเหิมเกริมเกินไป ดีชั่วนางก็ลงมือทำเรื่องเหล่านั้นออกมาแล้ว …หากแต่เป็นประเด็นว่าพวกเราจะทำอย่างไรดี?”
เมื่อถามมาดังนี้ ที่ประชุมจึงได้เงียบงันลงทันใด …ทำอย่างไรดี? หากไม่ทำสิ่งใดเลย ที่มาชุมนุมกันในยามนี้จะมาเพื่อสิ่งใดเล่า? หรือเพียงแค่มาวิจารณ์ว่านางเว่ยทำการเหิมเกริมลุแก่อำนาจผิดคุณธรรมของสตรีเท่านั้น? หากมาเพราะการนี้เท่านั้นต่อให้ไม่มีคนมาชี้จมูกพวกเขาแล้วเยาะว่าพวกเขาขี้ขลาด พวกเขาเองก็จะต้องมีความสับสนว้าวุ่นอัดอั้นอยู่ในอก!
แต่หากลงมือทำการใดสักเล็กน้อย …ยามนี้ ฮูหยินน้อยผู้นี้ก็มีกลเม็ดชั้นเชิงมีคนหนุนหลังมีฐานะในตระกูล แม้สิ่งที่นางทำจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ แต่ทุกสิ่งก็กลับอยู่ในกฎเกณฑ์เสียนี่! เจ้าคิดจะสร้างความลำบากให้นางก็เป็นเรื่องยาก! ผู้อาวุโสที่เคยต่อว่านางก็มิใช่ว่ามีตัวอย่างให้เห็นอยู่ก่อนหน้าแล้วหรือ?
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าคิดจะทำการบางอย่าง แล้วผู้ใดจะเป็นตัวตั้งตัวตี?
ครั้งนางเว่ยเพิ่งมาถึงซีเหลียง บ่าวชราเสิ่นถิงซู่เพียงเอ่ยปากถามแทน เสิ่นฉู่สามีภรรยาคำหนึ่งก็ถูกนางไล่ออกแล้ว …อย่าได้ดำเนินตามรอยของเสิ่นถิงซู่ แต่มาเป็นลิงตัวนั้นที่นางเชือดไก่ให้ดูจะดีกว่า…
ดังนี้ทุกคนที่มาการพบปะกันเป็นการส่วนตัวในคราวนี้ หลังจากหารือกันไปมาก็ยังไม่ได้ผลอันใด เป็นเพียงการเอ่ยถึงความคิดเห็นเลื่อนลอยไร้แก่นสารไม่กี่เรื่อง ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีคนนำเอาไปใช้หรือไม่ ทำให้พอแยกย้ายกันกลับได้อย่างไม่ขายหน้านัก เมื่อหารือกันเสร็จแล้ว แต่ละคนก็กลับบ้านของตน หนึ่งในนั้นมีคนผู้หนึ่งนามว่าเสิ่นตงไหล เป็นบุตรชายของเสิ่นซวิน พอเขากลับมาที่บ้านก็มาที่เรือนหลักเพื่อเข้าพบบิดาก่อน
เมื่อเสิ่นซวินรู้ว่าบุตรชายกลับมาแล้วก็ให้บ่าวซ้ายขวาออกไป และรออยู่เพียงลำพัง เมื่อเขามาคารวะที่เรือนหลักจนเสร็จ จึงลูบเครายาว ถามไปว่า “เป็นเช่นใด?”
“ไม่มีอันใดขอรับ” เสิ่นซวินมีบุตรชายเพียงสามคน เสิ่นตงไหลเป็นบุตรชายคนรองซึ่งเกิดจากภรรยาเอก เวลานี้อายุยี่สิบเจ็ด แม้เขาจะมีบุตรธิดาสองสามคนแล้ว แต่เพราะความรักใคร่ของฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วเขาจึงยังมีความเคยชินของลูกผู้ดีมีเงินเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แม้ยามอยู่ต่อหน้าบิดาเขาก็ยังมีท่าทีไม่อินังขังขอบ เขาจิบชาไปคำหนึ่งก่อน จึงบอกว่า “ก็เหมือนที่ลูกพูดไปก่อนนี้ งานพบปะเช่นนี้ วันหน้าไม่ไปก็มิเป็นไรขอรับ”
เสิ่นซวินเองก็มิได้ถือสาคำพูดจาที่คล้ายจะต่อต้านและไม่พอใจของบุตรชาย พลันยิ้มแล้วว่า “หากเจ้าไม่ไปเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าไม่ไปก็มิเป็นไร?”
“นางเว่ยเป็นสตรีผู้หนึ่ง อายุยังน้อยแต่กลับคิดการมาควบคุมอยู่เหนือพวกเรา ทั้งยังใช้วิธีการที่ร้ายการเพียงนั้น แล้วผู้ใดจะสุขสบายใจได้?” เสิ่นตงไหลยกถ้วยชาขึ้นมา เอ่ยทั้งใบหน้าไม่ยี่หระใดๆ ว่า “เพียงแต่ไม่สุขสบายใจก็ส่วนไม่สุขสบายใจ แม้แต่ประมุขตระกูลก็ยังไม่ได้บอกว่าสะใภ้ผู้นี้ไม่ดี ผู้ใดจะกล้าข้ามหัวประมุขตระกูลไปพูดมากอันใด? ผู้ใดจะไม่รู้ว่าแม้ประมุขตระกูลจะไม่เอ่ยอันใด แต่ในใจกลับยังคงแค้นเคืองเรื่องสมัยนั้นอยู่ไม่คลาย! เพียงแต่ครั้งนั้นแต่ละบ้านเล็งเห็นโอกาสได้ไวจึงก้มหัวให้เขาทันเวลา และเพราะเป็นคนร่วมตระกูล จึงทำให้เขาไม่กล้าลงมือก็เท่านั้น!
“อีกประการหนึ่ง นางเว่ยผู้นี้ก็ยังเป็นแก้วตาดวงใจของแม่เฒ่าซ่งแห่งรุ่ยอวี่ถัง …ยามนี้ข่าวเรื่อง เว่ยเจิ้งหงกำลังจะรักษาตัวจนหายก็แพร่สะพัดไปทั่วใต้หล้าแล้ว หากจะบอกว่าฐานะของบ้านใหญ่แห่งรุ่ยอวี่ถังมั่นคงดังขุนเขาก็ไม่ผิดเลยสักน้อย แม่เฒ่าซ่งไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลกับบุตรชายและหลานชายแล้ว ไม่แน่ว่าจะหันเหสายตามาที่ซีเหลียงแทน… ตั้งแต่ครั้งนั้นท่านลุงท่านอาหลายท่านในตระกูลก็หวาดกลัวฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้นอยู่แล้ว ยามนี้มารวมตัวกัน อยากได้ฐานะก็ไม่มีฐานะ อยากได้อำนาจก็ไม่มีอำนาจ อยากได้แผนการ …เหอะๆ เมื่อแนวโน้มส่วนใหญ่เป็นดังนี้ แล้วลำพังแค่แผนการจะเปลี่ยนแปลงอันใดได้หรือ? การพบปะชนิดนี้ ไปแล้วก็เพียงไปนั่งฟังพวกเขาด่าทอนางเว่ยด้วยกันคราวหนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับเฉยๆ เท่านั้นท่านพ่อท่านว่ามีประโยชน์อันใด? ฉะนั้นลูกจึงบอกไว้แต่แรกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องไป”
“ไม่อาจว่าได้ดังนี้ อย่างไรก็เป็นคนร่วมตระกูล ในเมื่อพวกเขาเชิญมา เราไม่ไปอยู่บ้านเดียว ทางนั้นย่อมต้องชิงชังอยู่ในใจ!” เสิ่นซวินยิ้มจางๆ พลางว่า “ดีชั่วเจ้าไปแล้วก็เพียงแค่พบปะพอเป็นพิธีสักหน่อย ยามนี้เจ้าไม่ได้มีการงานจริงจังใด อยู่ว่างๆ ก็มิใช่ว่างเปล่าๆ รึ?”
เสิ่นตงไหลเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากหมายถึงการไปชมดอกไม้ย่ำหิมะแล้ว ก็เป็นดังคำท่านพ่อ ลูกอยู่ในบ้านก็อยู่ว่างๆ ออกไปเดินเหินข้างนอกก็ไม่เลว จนใจเหลือที่พอนางเว่ยเอ่ยปากว่าต้องการเลือกสาวใช้รุ่นโตมาปรนนิบัติข้างกาย เวลานี้พวกบ่าวที่เกิดในบ้านจึงพยายามประจบนางอย่างสุดกำลัง! คนเหล่านี้แม้ว่าจะเป็นบ่าวไพร่ในตระกูลเรามาหลายรุ่น แต่เมื่อเวลานานปีเข้า ก็ยิ่งทำให้พวกเขามีความซับซ้อนนัก และไม่อาจดูถูกกำลังของพวกเขาได้! เกรงว่าป่านนี้คงมีคนนำเรื่องการพบปะในวันนี้ไปบอกแก่นางเว่ยแล้ว ดูนางเว่ยลงมือทำการต่างๆ น้อยนักจะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนรุนแรงตรงไปตรงมา กลัวแต่ว่าคนที่ไปร่วมพบปะกันครานี้จะไม่มีจุดจบที่ดีอันใด …ดีชั่วคนในตระกูลเราก็มีมากมาย นางจึงไม่กลัวว่าจะไม่มีคนให้นางยืมมือใช้งาน
เสิ่นซวินกลับยิ้มแล้วว่า “นี่ก็มิใช่ว่าเหมาะเจาะพอดีหรอกรึ? ข่าวคราวที่พวกบ่าวเกิดในบ้านไปเลียบๆ เคียงๆ ถามมาจะน่าเชื่อถือเท่ากับที่เจ้าไปสอบถามมาได้อย่างไร?”
“หา?” เสิ่นตงไหลสะดุ้ง
เสิ่นซวินเอ่ยเตือนไปอีกว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าไปที่หมิงเพ่ยถัง แล้วบอกว่าข้าปวดหัว อาศัยหน้าตาแก่ๆ ของข้าไปขอให้ท่านหมอเทวาดาน้อยจ่ายยาลูกกลอนมาสักน้อย …แล้วนำเรื่องที่เจ้าไปร่วมพบปะในวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบไปบอกกล่าวกับนางเว่ยเสีย เจ้าก็จะได้ผลประโยชน์ด้วย”
“คำกล่าวนี้ของท่านพ่อกลับไม่ถูกต้องยิ่งนัก” แม้ก่อนหน้านี้เสิ่นตงไหลจะไม่พอใจและไม่สนใจการไปร่วมพบปะในวันนี้ แต่ก็ไม่สนับสนุนให้เสิ่นซวินนำความลับนี้ไปบอก เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ กล่าวว่า “จะอย่างไรก็ล้วนเป็นคนร่วมตระกูล แม้ลูกจะคิดว่าพวกเขาไปทำเรื่องไร้ประโยชน์เท่านั้น …เพราะถ้าหากประมุขตระกูลไม่ล้ม ก็ยากจะเกิดเรื่องใดกับเสิ่นจั้งเฟิงได้ นางเว่ยผู้นั้นก็ได้ดีเพราะสามี ฐานะของนางจึงไม่อาจสั่นคลอนได้โดยง่าย! แม้คนในตระกูลจะพากันโอดครวญ แต่ก็ทำอันใดนางไม่ได้อยู่ดี! แต่แม้ลูกจะคิดว่านางอาจมาสร้างความลำบากให้บ้านเราด้วยเรื่องในวันนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับหวาดกลัวจนถึงขั้นเป็นฝ่ายเข้าไปบอกความลับเสียเอง!”
เสิ่นซวินยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “สิ่งใดเรียกว่าเป็นฝ่ายเข้าไปบอกความลับเสียเอง? เรื่องนี้กลับเป็นความประสงค์ของนางเว่ยเองต่างหาก! อย่างมากเจ้าก็นับว่าไปร่วมพบปะตามคำเชิญเท่านั้น”
“อะไรนะ?” เสิ่นตงไหลตกตะลึง ยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีก
แล้วเห็นว่าบิดาผู้เฒ่าค่อยๆ ลูบเครายาว ยิ้มบางๆ ทว่าเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เรื่องก็เป็นดังนี้ เจ้าก็เกือบถึงวัยที่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวแล้ว หรือว่าจะอยู่ว่างๆ กินสมบัติเก่าไปชั่วชีวิต? ในเมื่อยามนี้มีโอกาสทั้งยังเป็นทางนางเว่ยเสนอออกมาเอง …หาไม่แล้วนึกว่าเหตุใดตั้งแต่เช้าวันนี้ข้าจึงต้องให้เจ้าไปให้จงได้? ทางนั้นก็บอกเป็นนัยตั้งแต่ตอนเดือนสิบสองแล้ว ข้าก็กลุ้มใจแต่ว่ายังไม่มีโอกาสจะแสดงน้ำใจนี้เท่านั้น! สวรรค์ทรงโปรดที่มีคนนำโอกาสมาส่งให้ถึงประตูบ้านแล้ว!”
เสิ่นตงไหลนิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนชั่วยาม กล่าวว่า “แต่การได้ชื่อว่าหักหลังคนใน ตระกูลนี่มัน….”
“สนับสนุนหมิงเพ่ยถังนับว่าเป็นการหักหลังอันใด?” เสิ่นซวินด่าทอเขายิ้มๆ “ตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ยังมีคนที่สามารถเรียกขานว่าเป็นตระกูลเสิ่นได้มากกว่าตระกูลในสายหลักหรือ? คนในตระกูลวิวาทจนแบ่งข้างกับสะใภ้ที่มาปกครองหมิงเพ่ยถังชั่วคราว พวกเราจึงต้องคอยไกล่เกลี่ยอยู่ตรงกลางเพื่อมิให้พวกเขาเข้าใจผิดกันเข้าไปอีก เช่นนี้ต้องเรียกว่าเป็นผู้มีความสามารถที่มองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งและทำให้ตระกูลปรองดองกันต่างหาก!”
เมื่อถูกบิดาสูงวัยเตือนสติ เสิ่นตงไหลเองก็ลอบโล่งอก เพราะเป็นจริงดังว่าที่ ตระกูลเสิ่นมีการต่อสู้กันภายใน สู้กันไปสู้กันมา ไม่ว่าจะเข้ากับฝ่ายใด ก็ล้วนเป็นเรื่องภายในของตระกูล พูดไม่ได้ว่าหักหลังหรือไม่หักหลังอย่างใด ทว่าแต่ไรมาเขาก็เอาแต่กินดื่มเที่ยวเล่นไม่สนใจการงาน จู่ๆ มาได้ยินว่ามีโอกาสสร้างความก้าวหน้าได้ ก็กลับนิ่งงันขึ้นมา แล้วพูดอย่างลังเลว่า “แม้ทำเช่นนี้จะมิใช่การหักหลัง ทว่าเหล่าคนใน ตระกูลที่ไปร่วมหารือในวันนี้ …เกรงว่าวันหน้าจะไปมาหาสู่กันลำบากแล้วขอรับ?”
_______________________________