ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 28-1 เสิ่นซวิน
“มีอันใดต้องคบหากันลำบาก?” เสิ่นซวินสอนสั่งบุตรชายอย่างไร้ความกังวล “ก็บอกแล้วอย่างไร หากในตระกูลวิวาทกันจนแยกข้าง และเกิดความเข้าใจผิดเล็กน้อยต่อภรรยาของจั้งเฟิง เจ้าเป็นห่วงว่าทั้งสองฝ่ายจะเกิดความขัดแย้งกัน จึงไปอธิบายกับภรรยาของจั้งเฟิงสักหน่อย ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อภรรยาของจั้งเฟิงรู้เรื่องแล้วจะไปขจัดความเข้าใจผิดของผู้คนที่เชิญเจ้าไปในวันนี้หรือไม่ หรือว่าจะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดเสียยิ่งกว่าเดิม นั่นก็ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขา เกี่ยวอันใดกับเรา? พวกเราก็หาใช่ ประมุขตระกูล ย่อมไม่ไปก้าวก่ายเรื่องของประมุขตระกูลได้ เมื่อไปไกล่เกลี่ยแล้วไม่สำเร็จนอกจากจะทอดถอนใจยาวๆ สักหนแล้วจะทำอันใดได้? เพียงแต่อย่างไรก็เป็นคนตระกูลเสิ่นเช่นกัน หรือเมื่อพวกเราเห็นว่าคนในตระกูลเกิดเรื่องบาดหมางกันก็กลับไม่สนใจไม่ไถ่ถาม ทำประหนึ่งเป็นคนนอกเช่นนั้น?”
เขาหรี่ตาแก่ๆ ลง กล่าวว่า “เมื่อเรื่องในวันนี้ผ่านพ้นไปแล้ว วันหน้าเจ้าก็จะได้เห็นเอง เมื่อสมควรคารวะก็คารวะ สมควรทักทายก็ทักทาย แม้พวกเขาจะไม่สนใจเจ้า นั่นก็เพราะพวกเขาใจคอคับแคบไร้เหตุผล ดีชั่วก็มิใช่ความผิดเจ้า!”
….แม้ว่าจะมีนิสัยอย่างลูกผู้ลากมากดี ทว่าอุปนิสัยโดยพื้นฐานก็ไม่ได้มีใจเลวร้ายอันใด เสิ่นตงไหลจึงรู้สึกมีความกดดันอย่างมาก เอ่ยอึกอักไปว่า “คนเหล่านี้…ต้องได้พบปะเจอะเจอกันอย่างหลีกไม่พ้น คงไม่ใคร่ดีกระมังขอรับ?”
“เจ้าไม่อยากไปจริงๆ รึ?” เสิ่นซวินกล่อมเขาอยู่เป็นนาน เมื่อเห็นว่าบุตรชายยังคงมีท่าทีเข็นไม่ขึ้นอยู่เช่นนี้ ในใจก็รู้สึกอดรนทนไม่ไหวขึ้นมา …เขามีบุตรชายสามคน ความจริงแล้วเขาอยากมอบโอกาสนี้ให้แก่บุตรชายคนโตที่เป็นคนสุขุมรอบคอบกว่า แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วก็มีเสิ่นตงไหลเป็นบุตรชายแท้ๆ เพียงคนเดียว เมื่อครั้งเว่ยฉางอิ๋งส่งคนมาบอกเป็นนัยๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็อยู่ด้วย จึงยืนกรานจะมอบโอกาสนี้ให้แก่บุตรชายแท้ๆ ของตน …แม้ว่าเสิ่นซวินจะเกรงกลัวภรรยาเฒ่าไม่เทียบเท่าที่เว่ยฮ่วนเกรงกลัวแม่เฒ่าซ่ง ทว่าอยู่ด้วยกันมาหลายปี อย่างไรก็ย่อมมีความผูกพันฉันสามีภรรยา เมื่อทัดทานเสียงรบเร้าของฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วไม่ไหวจึงยอมทำตามคำ
แต่กลับไม่คิดว่าสิ่งที่บุตรชายของอนุทั้งสองคนแม้ยามฝันก็ยังฝันถึงนี้ เสิ่นตงไหลกลับมีท่าทีลังเลเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยอย่างหมดคำพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็จงคิดให้ดีๆ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งถ้วยน้ำชา! หากเจ้ายังคงห่วงหน้าพะวงหลังอยู่เช่นนี้ ข้าก็จะส่งคนไปเรียนพี่ชายใหญ่ของเจ้ามาและให้เขาไปแทน! ถึงยามนั้นเมื่อแม่เจ้าถามขึ้นมา ก็เพราะเจ้าไม่ต้องการเองแล้ว!”
พอได้ยินว่าจะเรียกพี่ชายใหญ่ของตนมา เสิ่นตงไหลจึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด แม้เขาจะเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ และเสิ่นซวินก็ไม่ยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วบอกเรื่องนี้กับเขาล่วงหน้า แต่ด้วยเหตุที่รู้ซึ้งถึงความกระอักกระอ่วนใจนานาที่บุตรของอนุเป็นบุตรชายคนโต ส่วนบุตรชายบ้านใหญ่กลายมาเป็นบุตรชายคนรอง แม้ตลอดมาไม่อาจบอกได้ว่าเขารู้สึกชิงชังพี่ชายคนโตซึ่งเป็นบุตรของอนุ แต่เมื่อถูกฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วตักเตือนมาแต่เล็ก ไม่ว่าอย่างไรจึงยังมีการเตรียมพร้อมอยู่ส่วนหนึ่ง
เดิมทีเขาไม่ได้รู้สึกว่าโอกาสตรงหน้านี้ดีงามเพียงใด ทว่าเมื่อได้ยินว่าหากตนไม่ต้องการก็จะยกให้แก่พี่ชายใหญ่แล้ว ก็กลับรู้สึกลนลานอยู่ในใจ จึงเอ่ยอึกอักไปว่า “ท่านพ่อ ลูกก็เพียงคิดว่านางเว่ยผู้นั้นก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง หากนับตามศักดิ์แล้วยังเป็นหลานสะใภ้ของลูกด้วย หากลูกไป ประการแรกหญิงชายแตกต่างกัน ไม่แน่ว่าจะพบนางได้อย่างสะดวก ประการที่สองลูกเป็นอาแล้วไปบอกเล่าความลับแก่หลานสะใภ้ เรื่องนี้…ช่างน่าขายหน้านัก!”
“ยามนี้ทั่วทั้งตัวเมืองซีเหลียงทั้งนอกในออกไปสามชั้นล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาขอรับการรักษากับท่านหมอเทวดาน้อย เดิมทีฐานะของนางเว่ยผู้นั้นก็สูงส่งมากพอ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุที่เวลานี้มีคนไปหาตั้งมากมาย ก็เพราะท่านหมอเทวดาน้อยไม่ประสงค์จะออกไปรักษานอกหมิงเพ่ยถัง” เสิ่นซวินโมโหเสียจนเหยียบเท้าเขาเบาๆ หนหนึ่ง แม้แต่เคราก็คร้านจะลูบอีกแล้ว ถลึงตาและตวาดไปว่า “เวลานี้หากมิใช่คนที่มีฐานะมีตำแหน่งเหมาะสมเพียงพอ แม้แต่เสิ่นหยิวอี่ผัวเมียก็ยังยากจะเข้าพบได้ ล้วนต้องให้บ่าวทั่วไปพาเข้าพาออก! ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนางเว่ยเลย! เจ้ากลัวว่าจะชักช้าต่ออาการเจ็บป่วยของพ่อ จึงไปด้วยตนเองด้วยกลัวว่าขอยามาไม่ได้ นี่เรียกว่ากตัญญู แล้วจะมีเรื่องใดให้เข้าพบนางไม่สะดวก?! ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อพบนางแล้วจะพูดสิ่งใด หรือว่าเจ้าจะต้องไปบอกกล่าวกับภายนอกด้วย? อีกประการ…”
เสิ่นซวินเป็นคนของตระกูลเสิ่น ครั้งยังหนุ่มก็เคยเข้าสนามรบมาก่อน ระหว่างอยู่ในกองทัพก็ได้เรียนรู้คำแสลงต่างๆ มามาก ยามกำลังขุ่นเคืองจึงไม่มีแก่ใจมาสนใจความเป็นผู้ดีของคนในตระกูลสูงศักดิ์แล้ว พลันตบโต๊ะตะเบ็งเสียงไปว่า “ก็มิใช่ว่าข้าบอกเจ้าหลายครั้งหลายหนตั้งนานแล้วหรือว่า …ผู้ใดบอกว่าเจ้าจะไปบอกความลับ?! เจ้าก็เพียงถูกไอ้พวกเส็งเคร็งลากไปหารือด้วยคราวหนึ่ง เมื่อรู้ว่าพวกเขามีเรื่อง ‘เข้าใจผิด’ นางเว่ยเล็กน้อย ด้วยกังวลว่าคนในตระกูลจะเกิดความบาดหมางกัน จึงไปเตือนนางเว่ยโดยอ้อมๆ สักหน ว่าเมื่อเป็นคนร่วมตระกูลกัน อย่างไรก็อยู่กันอย่างปรองดองได้เป็นดี!”
เสิ่นซวินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เมื่อมองไปยังบุตรชายคนรองที่ได้แต่ยิ้มสู้ตนเองทั้งใบหน้าและหูที่แดงก่ำ จึงลุกขึ้นมาม้วนชายเสื้อขึ้น แล้วยกเท้าขึ้นมาถีบเขาจนเซไปหลายก้าวเสียเลย พลางเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “ไอ้เจ้าลูกไม่ได้ความ! หนทางคดเคี้ยวไปมาในหอคณิกากลับแตกฉานชำนาญนัก แต่ในเรื่องการงานสำคัญกลับโง่เง่าเพียงนี้! ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดข้าจึงมีลูกโง่เยี่ยงเจ้า!”
แรงถีบที่เสิ่นตงไหลได้รับบนตัวนั้นไม่หนักไม่เบา แต่ที่เขาเซไปหลายก้าวก็ด้วยกังวลว่าบิดาจะถีบไปอีกเรื่อยๆ จึงจงใจหลบไปเสีย เขารู้ว่าแม้ยามนี้บิดาจะไม่พอใจ ทว่าก็ยังไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา …แต่หากตนเองยังไม่รู้ดีชั่วและบอกปัดการไป หมิงเพ่ยถังอีกไม่แน่ว่าบิดาจะระเบิดอารมณ์ออกมาจริงๆ แล้ว
ทันใดนั้นจึงยิ้มสู้แล้วบอกว่า “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะขอรับ ท่านพ่อสอนสั่งได้ถูกต้องนัก! ลูกไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปไปหาหลานสะใภ้เว่ยแล้วขอรับ!”
แม้ยามอยู่ในบ้านจะถูกบิดาทั้งเตะทั้งด่า แม้แต่บนเสื้อตัวใหม่ก็ยังมีรอยเท้าที่ถูก เสิ่นซวินถีบเอา หากมิใช่เพราะไม่มีผู้อื่นอยู่ ก็เป็นเรื่องน่าขัดเขินยิ่งนัก ทว่าเมื่อเสิ่นตงไหลมาถึงหมิงเพ่ยถังกลับมิได้รับความลำบากใดๆ เว่ยฉางอิ๋งที่มีชื่อเสียงอยู่ทั่วไปว่าร้ายกาจนักมาต้อนรับเขาที่เรือนชั้นรองอย่างเกรงอกเกรงใจ “ไม่ทราบว่าท่านอาจะมา หลานสะใภ้มาต้อนรับช้า ต้องขอให้ท่านอาอภัยด้วย!”
ครั้งเสิ่นตงไหลอยู่ต่อหน้าบิดาในบ้าน ก็เรียกขานนางแต่ว่าเป็น ‘สตรีทั่วไป’ คนหนึ่ง เห็นชัดว่าดูแคลนเว่ยฉางอิ๋งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมาพบหน้าหลานสะใภ้จริงๆ กลับเห็นได้ชัดเจนว่าเขามีท่าทีเคอะเขินกว่าเว่ยฉางอิ๋งเสียอีก …เรื่องนี้ก็มีสาเหตุ เขาผู้นี้ถูกเอาอกเอาใจมาแต่เล็ก ฉะนั้นตลอดมาจึงเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ว่างๆ ไม่ได้ก่อเรื่องร้ายแรงใดๆ ทว่าเรื่องลุ่มหลงความงามก็ยากจะไม่เคยทำ
ซีเหลียงเป็นถิ่นฐานของตระกูลเสิ่น เมื่อเป็นคนในถิ่นฐานเดียวกัน ทั้งยังหวังให้ชาวบ้านร่วมทำสงครามเพื่อรักษาความสงบให้แก่ซีเหลียง ฉะนั้นเหล่าผู้อาวุโสใน ตระกูลจึงเข้มงวดกับบุตรหลานไม่ให้พวกเขาก่อเรื่องใดบนแผ่นดินซีเหลียง …ซีเหลียงไม่เหมือนเฟิ่งโจว หากก่อเรื่องจนสวรรค์ชังผู้คนเกลียด นอกจากพวกชาวบ้านจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็มีแต่จะต้องทนยอมรับแต่โดยดีเท่านั้น
คนที่นี่สู้รบกับพวกชิวตี๋มาตั้งหลายปี แต่ละคนล้วนมีจิตใจฮึกเหิมห้าวหาญ ทั้งยังมีพวกชิวตี๋คอยจ้องเหมือนเสือคอยตะครุบอยู่ข้างๆ นับว่าเป็นการบีบคั้นผู้คนเสียยิ่งนัก ผู้คนละทิ้งบ้านพาครอบครัวไปสวามิภักดิ์กับพวกตี๋เพื่อหาทางมีชีวิตรอด ภายหลังพาพวกตี๋เข้ามาสังหารคนของตระกูลเสิ่นยังเป็นเรื่องเล็ก แต่หากให้ผู้คนที่คอยจับตาดูล่วงรู้ แล้วถวายฎีกาให้แก่ราชสำนัก บอกว่าตระกูลเสิ่นรังแกผู้คนบริสุทธิ์ตามใจ ทำให้จิตใจประชาในซีเหลียงไม่สงบและปรารถนาจะละทิ้งต้าเว่ยไปสวามิภักดิ์กับศัตรู …ตระกูลเสิ่นก็จะต้องลำบากแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นหาไม่ไปสวามิภักดิ์กับพวกตี๋ ชาวบ้านก็มิใช่ว่าจะไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้จริงๆ แต่ก็ต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ดังเช่นแถบเขตรอยต่อของต้าเว่ยและชิวตี๋จะมีบริเวณที่ถูกโจมตีได้โดยง่ายอยู่มากมาย และเพราะมีไฟสงครามมานับร้อยปีไม่หยุดหย่อน นอกจากป้อมปราการจำนวนหนึ่งที่ทั้งเป็นที่ตั้งของทั้งสองฝ่ายในพื้นที่แถบนี้แล้ว ก็ล้วนเป็นที่เวิ้งว้างไร้ผู้คน และในนั้นก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เป็นทั้งกองโจรทั้งขโมยทั้งชาวไร่ชาวนาหลบซ่อนตัวอยู่
ส่วนเรื่องที่เรียกว่าเป็นกองโจรทั้งขโมยทั้งชาวไร่ชาวนานี้ ก็ด้วยซีเหลียงมีภัยสงครามติดต่อกันมาหลายปี เดิมทีก็ทำการเพาะปลูกไม่ง่ายอยู่แล้ว พื้นที่นาดีๆ ก็มีจำนวนน้อยอีก และส่วนมากก็ล้วนอยู่ในกำมือของตระกูลเสิ่น เหล่าชาวบ้านที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเหตุผลนานา จึงได้เสี่ยงไฟสงครามวิ่งไปในที่แถบนี้เพื่อไปแผ้วถางทำการเพาะปลูก …แม้ที่ดินแถบนี้จะมิได้เป็นที่นาที่ดีอันใด แต่ดีก็ตรงที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของทางการและไม่ได้อยู่ในการดูแลควบคุมของตระกูลเสิ่น จึงไม่ต้องเสียภาษี
……………………………………………