ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 28-2 เสิ่นซวิน
เอ่อ…ซึ่งนั่นก็เป็นในช่วงฤดูเพาะปลูก…
เมื่อว่างลงแล้ว บางคราคนเหล่านี้ก็จะรวมตัวกันคล้ายเป็นกลุ่มชาวบ้านผู้กล้า คอยหาโอกาสทำการค้าที่ไม่ต้องมีต้นทุนสักเล็กน้อย…
ซึ่งแน่นอนว่าซีเหลียงหนาวเหน็บ มีการค้าขายไม่มาก พวกเขาเองก็ไม่กล้าจะตักตวงโดยไม่คำนึงถึงวันหน้า การค้าขายที่ไม่ต้องมีต้นทุนนี้โดยมากแล้วจึงมุ่งเป็นที่ไปพวกคนร่ำรวยที่เคยบีบคั้นพวกเขาก่อนหน้านี้ และในทางกลับกันเมื่อทางการต้องการเก็บภาษี เจ้าของที่ดินก็ต้องการค่าเช่าที่ดิน …ดีชั่วทั้งสองฝ่ายย่อมไม่อาจขัดแย้งกันเป็นแน่!
พูดไปเสียไกล กลับมาเข้าประเด็น …เมืองซีเหลียงที่ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นดังนี้ ลูกผู้ลากมากดีเช่นเสิ่นตงไหลจึงไม่กล้าทำเรื่องทำนองฉุดคราดหญิงชาวบ้าน แม้แต่สาวชาวบ้านก็ยังไม่กล้า เพียงคิดก็รู้ได้ว่านิสัยพื้นฐานของเสิ่นตงไหลไม่ได้ชั่วร้ายไปถึงที่ใด …ทว่า เว่ยฉางอิ๋งก็เป็นสตรีในวัยสาวรูปโฉมงดงาม ยามนางไม่แต่งหน้าก็ยังมีรูปโฉมงดงามเลิศเลอ ยามนี้สามีก็อยู่ไกลถึงดินแดนตี๋ นางย่อมเป็นห่วงว่าจะถูกคนในตระกูลดูแคลนเอา ฉะนั้นเสื้อผ้าหน้าผมของนางไม่ว่าจะเข้าหรือออกเรือนจึงจัดการอย่างตั้งใจทุกๆ วัน ยามเดินออกมาโดยมีสาวใช้กลุ่มหนึ่งซึ่งหน้าตางดงามกว่าคนทั่วไปห้อมล้อมอยู่ ยามมองดูช่างงดงามเป็นที่สุด
ปกติแล้วเสิ่นตงไหลก็ชื่นชอบคนงาม หากว่าอยู่ในหอคณิกาแล้วได้พบกับสาวงามดังนี้ก็เกรงว่าแม้แต่เดินเขาก็ยังก้าวขาไม่ออกแล้ว ต่อให้ถูกเสิ่นซวินจับแขวนโบยตีก็ต้องหาหนทางได้เชยชมให้จงได้! ทว่าเขาก็มิได้ไร้ยางอายจนถึงขั้นเกิดใจโสมมกับหลานสะใภ้ …ฉะนั้นทุกครั้งที่ได้เห็นหลานสะใภ้ผู้นี้ จะมองให้มากหน่อยก็ไม่ดีไม่มองเลยก็ไม่ใช่ จึงค่อนข้างจะวางตัวไม่ถูกจริงๆ และการเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ไม่เหมาะจะแสดงท่าทีวางตัวไม่ถูกเช่นนี้ด้วย จึงได้แต่พูดน้อยๆ คอยระวังตัวอยู่ทุกชั่วยามมิให้ทำเรื่องน่าขายหน้า หาไม่แล้วจะไม่ยิ่งขัดเขินกันไปใหญ่หรือ?
แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้คิดไปถึงว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้ จึงนึกเพียงว่าเสิ่นตงไหลเป็นคนที่ดูดีแต่ภายนอก หลายวันมานี้ตนใช้กลวิธีนานากำราบคนในตระกูลจึงทำให้เขาตกใจเสียแล้ว ฉะนั้นแม้ตนเองจะเรียกขานเขาทุกคำว่า ‘ท่านอา’ ท่านอาผู้นี้ก็ยังคงหวาดกลัวตนอย่างมากอยู่ดี
เมื่อคำนึงถึงประเด็นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ่งมีท่าทีเคารพนบนอบ นั่งฟังเสิ่นตงไหลเอาแต่จ้องไปที่จอกน้ำชาตรงหน้าพลางเอ่ยเสียงเบาๆ เล่าถึง ‘จุดประสงค์ที่เขามา’ เว่ยฉางอิ๋งไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ให้คนไปขอยาขวดหนึ่งที่มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเป็นยาลูกกลอนใดจากตวนมู่ซินเหมี่ยวมา แล้วเอ่ยปากอย่างเกรงใจขอให้ท่านอารับเอาไว้
อาศัยจังหวะที่บ่าวไปเอายามา เสิ่นตงไหลก็เลิกๆ ลั่กๆ ไร้ซึ่งท่าทีผ่อนคลายสบายใจเช่นยามอยู่ต่อหน้าบิดา และแทบจะกลั้นใจเอ่ยคำว่า ‘หวังให้คนในตระกูลปรองดองกัน’ ออกมาได้
เว่ยฉางอิ๋งย่อมเอ่ยขอบคุณท่านอาที่ชี้แนะไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และสัญญาว่าจะต้องไปขจัด ‘ความเข้าใจผิด’ กับคนในตระกูลเหล่านี้เสีย
รอจนส่งเสิ่นตงไหลไปแล้ว นางหวงก็ให้สาวใช้ออกไปจนหมด แล้วเอ่ยยิ้มๆ กับ เว่ยฉางอิ๋งว่า “ท่านผู้นี้ก็คือว่าที่ผู้ตรวจการซีเหลียงในอนาคตหรือเจ้าคะ? ข้าน้อยดูนิสัยใจคอเขาก็ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”
“ก็เพราะน้องชายสี่บอกว่าเขามีนิสัยใจคอไม่เลว ข้าจึงให้ท่านไปบอกเล่าข่าวคราวต่อคนที่ดูแลใกล้ชิดฮูหยินผู้เฒ่าฮั่ว มิใช่ไปบอกแต่เพียงท่านปู่สี่เท่านั้น” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางยิ้มจางๆ “จะเอาคนเก่งกาจนักไปทำสิ่งใดกัน? รู้ความจึงจะสำคัญที่สุด” คนที่เก่งกาจเกินไปมักจะไม่ใคร่เชื่อฟังเท่าใด อย่างเช่นเว่ยซินหย่งเช่นนั้น หากมิใช่คนระดับเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง ผู้ใดจะกล้าใช้สอยเขา? เพราะไม่แน่ว่าพอไม่ระวังขึ้นมาก็จะถูกเขาวางแผนตลบหลังเอาเสียแล้ว
ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็ยังคือ …เชื่อฟัง!
โดยปกติแล้วเสิ่นตงไหลผู้นี้เอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ว่างๆ ไม่มีความเก่งกาจใด และจิตใจก็ไม่ชั่วร้าย เป็นเพียงลูกผู้ลากมากดีทั่วๆ ไปเท่านั้น จากท่าทีขัดเขินของเขายามอยู่ต่อหน้าคนรุ่นหลานเช่นตน เว่ยฉางอิ๋งก็เดาว่าเจ้าหมอนี้ไม่น่าจะกล้าทำสิ่งใดนัก ด้วยความสามารถของเขาหากคิดจะปกครองซีเหลียงให้ดีๆ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทว่าเสิ่นซวินบิดาของเขากลับฉลาดหลักแหลม พวกเขาเป็นบิดาและลูกชายแท้ๆ ทั้งยังอยู่อาศัยในตัวเมืองซีเหลียง ไม่มีทางไม่ช่วยประคับประคองบุตรชาย… อื่ม เหมาะสมกับตัวเลือกขุนนางในแคว้นในที่นางต้องการพอดี
เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่กังวลว่าวันหน้าเสิ่นซวินจะสั่งสอนให้บุตรชายข้ามแม่น้ำแล้วทำลายสะพาน เสิ่นตงไหลในวัยนี้และมีฝีมือเป็นดังนี้ หากมิใช่เพราะชาติกำเนิด อย่าว่าแต่ขุนนางในแคว้นเลย แม้จะเป็นขุนนางในอำเภอก็ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อ เสิ่นเซวียนสามารถผลักดันเขาขึ้นไป ก็สามารถลากเขาลงมาได้ อีกประการ หลายวันมานี้ก็มีข่าวชัยชนะหลายครั้งมาจากในเขตแดนตี๋ ได้ยินว่าหลังจากข่านมู่ซิวเอ่อร์เร่งนำกำลังพลเข้าสู้รบตั้งแต่คืนวันสิ้นปีก็พ่ายแพ้มาโดยตลอด ยามนี้ก็ไร้กำลังจะควบคุมไพร่พลแล้ว จึงกำลังถอยหนีเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า…
เมื่อคิดไปว่าแม้ในรายชื่อที่ส่งไปขอรับความชอบที่เมืองหลวงหลังศึกครานี้จะไม่มีส่วนของเสิ่นจั้งเฟิง ทว่าทั้งบารมีและฐานะของเขาในซีเหลียงก็จะต้องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ในฐานะภรรยาของเขา หลังจากมีข่าวการประกาศชัยชนะแพร่มาไม่หยุด ก็ยิ่งไม่มีคนกล้ามาขัดขวางสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งทำแล้ว
ขอเพียงเสิ่นซวินไม่เลอะเลือน ก็จะไม่มีทางทำการส่งเดชอันใด
นางหวงยิ้มน้อยๆ “นายผู้เฒ่าสี่และฮูหยินผู้เฒ่าสี่เป็นคนที่เข้าใจหลักการต่างๆ ดีจริงๆ”
นับแต่เว่ยฉางอิ๋งมาถึงซีเหลียง ก็มีเสิ่นซวินสามีภรรยาที่ให้ความร่วมมืออย่างเป็นมิตรที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลาย ฉะนั้นหลังจากเว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าสามีต้องการจะเปลี่ยนตัวผู้ตรวจการซีเหลียง จึงเสนอแนะว่าให้ทางฝั่งของเสิ่นซวินเป็นผู้รับตำแหน่งผู้ตรวจการคนต่อไป
เพียงแค่บ้านของเสิ่นซวินก็ไม่ใช่ว่าได้รับไปเปล่าๆ …เรื่องการบอกกล่าวความลับในวันนี้ แม้จะบอกว่าเหล่าบ่าวที่เกิดในบ้านนำความมารายงานกับเว่ยฉางอิ๋งก่อนตั้งนานแล้ว ทว่าที่กลับแตกต่างกับการที่เสิ่นตงไหลเดินทางมาบอกด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงการแสดงออกถึงมิตรไมตรีโดยทั่วไปเท่านั้น แต่ครานี้กลับเป็นการล่วงเกินผู้คนที่เชิญบ้านของเสิ่นซวินไปร่วมหารือด้วยแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งให้นางหวงไปส่งสัญญาณกับฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วเอง ความจริงแล้วเป็นให้ทางเลือกหนึ่งแก่ฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วว่าหากยอมเดินตามตระกูลสายหลัก ตำแหน่งผู้ตรวจการซีเหลียงก็จะเป็นทางฝั่งของเสิ่นซวินรับไป หรือไม่หากยังคงเป็นฝักฝ่ายเดียวกับบ้านอื่นๆ …แน่นอนว่า เสิ่นซวินและฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วย่อมรู้ดีว่านางหวงมีฐานะเช่นใดต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋ง ในเมื่อท่านอาหวงผู้นี้ยังเอ่ยปากมาเช่นนี้แล้ว หากพวกเขาทั้งสองยังไม่เข้าใจความหมาย เพียงคิดก็รู้ว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นใด!
อย่างไรเสียยามนี้ ตระกูลสายหลักก็เป็นดังตะวันยามกลางวัน ดีชั่วอย่างไรทางฝั่งบ้านของเสิ่นซวินก็มิได้คาดหวังต่อตำแหน่งประมุขตระกูล หากยอมเดินตามตระกูลสายของประมุขตระกูล ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องในวันหน้า ตำแหน่งใหญ่ของทั้งแคว้นที่จะให้บุตรชายคนรองซึ่งเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ จะได้ขึ้นนั่งในวันนี้ย่อมไม่มีแล้ว
“เวลานี้ก็รอแต่เพียงให้มีข่าวจากทางเมืองหลวงส่งมา แล้วส่งท่านผู้ตรวจการคนปัจจุบันกลับไปแสดงความกตัญญูปรนนิบัติบิดาเฒ่าที่นอนป่วยอยู่จนถึงยามนี้ของเขาเสีย” เว่ยฉางอิ๋งจิบน้ำอึกหนึ่ง แล้วมองไปยังท้องฟ้าที่ยังคงมีเกล็ดหิมะบางๆ ปิดปลิวอยู่ ถอนใจเบาๆ “ซีเหลียงช่างหนาวเหน็บเสียจริง! แม้ทางเมืองหลวงยังพอมีหิมะในฤดูใบไม้ผลิบ้างสักหนสองหน แต่ยามนี้ก็คงจะมีสีสันของฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานไปทั่วเมืองแล้วกระมัง?”
________________________________