ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 29 สีสันฤดูใบไม้ผลิเต็มเมืองเกี่ยวข้องอันใด
ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่ซีเหลียงและกำลังคิดถึงหิมะฤดูใบไม้ผลิของเมืองหลวงอยู่นั้น ในเมืองหลวงกลับไม่มีหิมะตก แต่มีฝนตกแทน
หยาดฝนบางๆ ในฤดูใบไม้ผลิดังเข็มซี่เล็กๆ ดูไปแล้วบางเบาอ่อนโยน เมื่อยื่นมือออกไปรับ แน่นอนว่ายังคงมีความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่
เสียงซ่าๆ ที่กระทบบนหลังคาทำให้เกิดเสียงดังหนอนไหมแทะใบไม้แสนเสนาะหู ดังต่อเนื่องกันไม่หยุด ให้ความรู้สึกเย้ายวนอย่างหนึ่งที่บรรยายออกมาไม่ได้
ในฤดูกาลนี้ แม้ว่ายังต้องสวมเสื้อบุนวมอยู่ ทว่าระหว่างกำแพงขาวและแผ่นกระเบื้องทั่วเมืองหลวงกลับถูกฝนฤดูใบไม้ผลิชะล้างจนกระเซ็นกระสายและวับวามสดใสเช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้า จนดูเจริญตาเพียงนี้
กำลังอยู่ในช่วงที่มีสีสันฤดูใบไม้ผลิเต็มเมือง
ยามบ่ายต้นฤดูใบไม้ผลิ มักทำให้คนง่วงเพลียได้โดยง่าย ซ่งอวี่วั่งที่อยู่เพียงลำพังในห้องหนังสือสะสางกิจจนเสร็จสิ้น และเพิ่งจะเปิดอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ดวงตาก็อ่อนล้ายากทนไหว จึงวางม้วนหนังสือในมือลง แล้วมองไปนอกหน้าต่างเพื่อคลายความอ่อนล้า
สิ่งที่มองเห็นเป็นสิ่งแรกก็คือใบกล้วยที่คอยจะยื่นเข้ามาในราวระเบียงตามแรงปะทะของหยาดฝนบางๆ เมื่อมองดูไปอย่างได้ไม่ตั้งใจอันใดก็สามารถสัมผัสได้ถึงชีวิตชีวาและความเชียวชอุ่มอันเปี่ยมล้มของมัน ไม่เพียงแค่ต้นกลัว ในฤดูกาลแห่งการเจริญงอกงาม ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในลานบ้านล้วนชิงกันผลิดอกออกใบ ใบอ่อนที่เพิ่งแตกออกมาก็อ่อนละมุนเขียวสดใส เมื่อถูกน้ำฝนชะล้างก็ยิ่งทำให้เขียวสดยิ่งขึ้น เมื่อมองดูนานๆ เข้าก็ประหนึ่งว่าความสดใสมีชีวิตชีวาสาดส่งเข้ามาถึงภายในห้องด้วย
ในเสียงฝนถี่ละเอียด เป็นสรรพเสียงแห่งธรรมชาติที่ไม่อาจบรรยายได้ กระทบลงมาซ่าๆ ไม่หยุดหย่อน ไม่ทิ้งช่วง ประหนึ่งความสุขอันใหญ่หลวงที่ฟ้าและดินได้มาบรรจบกัน ซ่งอวี่วั่งสดับฟังอยู่เนิ่นนาน สายตาหยุดอยู่ที่หยดน้ำที่กำลังเกาะตัวอยู่ที่ปลายใบกล้วย ระยิบระยับกระจ่างใส ความเชียวชอุ่มทั่วลานบ้านไม่อาจช่วงชิงความเป็นประกายจับตาของมันได้ เสียดายก็แต่ไม่นานมันก็ร่วงลงไปผสานลงในดินโคลน ไม่มีให้ได้เห็นอีก…
ใจเขาสะท้าน พลันนึกถึงภาพครั้งภรรยายังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองคนสนทนาแย้มยิ้มด้วยกันอยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้
ครั้งนั้น ยามเว่ยฉานอิ่งภรรยาของเขาอยู่ว่างๆ ก็ชอบมาฟุบอยู่ที่ขอบหน้าต่างมองดูต้นกล้วย ซ่งอวี่วั่งเคยถามนางว่าเป็นเพราะเหตุใด เว่ยฉานอิ่งบอกว่าเพราะข้างนอกบ้านที่เคยอาศัยอยู่ตอนเล็กๆ ก็มีต้นกล้วยต้นหนึ่งเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าก็จะมานั่งฟุบดูที่ริมหน้าต่าง หากเป็นบิดานางมาแล้ว มารดาของนางก็จะอุ้มเว่ยฉานอิ่งขึ้นมา แล้วส่งตัวนางข้ามหน้าต่าง… จากนั้นบิดาของนางก็จะอุ้มตัวบุตรสาวไป แล้วเดินไปตามระเบียงทางเดินจึงค่อยเข้าไปพบกับภรรยาข้างเรือน
…แม้เว่ยฉานอิ่งก็นับว่าเป็นคุณหนูของรุ่ยอวี่ถัง เป็นบุตรีตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเช่นกัน แต่ความจริงแล้วกลับไม่คู่ควรกับซ่งอวี่วั่ง
นางเกิดในสายห่างๆ ของรุ่ยอวี่ถัง สายเลือดยังห่างจากสายของเว่ยอวี้ไปอีกไกล บิดาและพี่ชายก็ล้วนมิใช่คนที่เก่งกาจสามารถ และดำรงชีวิตอยู่ด้วยทรัพย์สมบัติเก่าเพียงน้อยนิดของบรรพบุรุษ เพราะท่านย่าของนางล้มเจ็บคราวหนึ่งจึงต้องนำทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งไปขายเพื่อมารักษาอาการเจ็บป่วย คนทั้งบ้านจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังบิดาของเขาก็ถึงขั้นไม่อาจไม่ไหว้วานคนมาขอตำแหน่งพ่อบ้านที่รุ่ยอวี่ถัง ต้องมายื้อแย่งข้าวกินสักคำกับพวกบ่าวที่ทำงานในบ้านมาหลายชั่วคน
จะว่าไปแล้วเหตุที่ซ่งอวี่วั่งซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแห่งเจียงหนานถังในเวลานั้นแต่งกับนาง ก็เป็นเพราะซ่งดานบิดาของแม่เฒ่าซ่งเคยทำเรื่องเลอะเลือนมากมายด้วยความรักหลงในภรรยาที่เสียไปแล้ว ซ่งผิงซินในตำแหน่งตวนหุ้ยกง ในฐานะหลานชายของซ่งตาน จึงไม่กล้าเอาบุตรชายที่โตแล้วของตนไปเสี่ยง จึงได้แต่ตอบรับการแต่งงานที่ไม่คู่ควรกันครานี้
แรกเริ่มนั้น ความจริงแล้วคนที่ซ่งซินผิงหมายตาไว้ก็คือบุตรสาวแท้ๆ ของ แม่เฒ่าซ่งลูกผู้พี่ฝั่งบิดาของเขา ซ่งอวี่วั่งเป็นบุตรชายโทน ในขณะที่พี่น้องผู้ชายของเขาต่างทยอยกันเสียชีวิตไปแต่เล็ก ซ่งซินผิงจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องให้เขามารับช่วงเจียงหนานถัง เว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นบุตรีจากภรรยาเพียงคนเดียวของประมุขตระกูลเว่ยจึงจะคือภรรยาที่คู่ควรกับเขาที่สุด
แต่เว่ยเจิ้งอินอายุน้อยกว่าซ่งอวี่วั่งหลายปีนัก แม้เมื่อเทียบกับบุตรสาวแท้ๆ แล้ว แม่เฒ่าซ่งจะให้ความสำคัญกับบุตรชายคนโตมากกว่า ทว่านี่ก็เพียงแค่เมื่อนางเทียบกับเว่ยเจิ้งหงเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่ามีเพียงบุตรชายหนึ่งบุตรีหนึ่งที่อยู่รอดมาได้ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวแท้ๆ นี้นางย่อมใส่ใจเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ฉะนั้นหลังจากซ่งผิงซินหารือกับนางเป็นการส่วนตัวแล้ว แม่เฒ่าซ่งกลับมิได้พยักหน้ารับในทันใด หากแต่ขอให้หลานชายมาพักอยู่ในจวนของตนสักระยะ เพื่อให้นางได้สังเกตดูนิสัยใจคอของหลานชายด้วยตนเองว่าเหมาะสมกับบุตรสาวของตนหรือไม่อย่างไร
ซึ่งซ่งผิงซินก็มิได้คัดค้านกับเงื่อนไขนี้ เขาก็มีบุตรชายบ้านใหญ่อยู่เพียงคนเดียว ย่อมหวังให้ซ่งอวี่วั่งสามีภรรยามีความรักใคร่ปรองดองสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ซ่งอวี่วั่งเป็นบุรุษ เรื่องที่เขาถูกท่านอาหญิงซึ่งเป็นว่าที่แม่ยายในเวลาเดียวกันคอยสังเกตดูสักระยะนี้ เมื่อแพร่ออกไปก็จะมีแต่คำดีๆ คงไม่อาจให้เว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นสตรีผู้หนึ่งมาอยู่ที่ตระกูลซ่งสักระยะเพื่อให้ว่าที่พ่อสามีดูว่าจะพึงพอใจหรือไม่กระมัง?
ครั้นแล้ว ซ่งอวี่วั่งจึงมาพักอยู่ในตระกูลเว่ยในนามว่ามาขอศึกษาเล่าเรียนกับ เว่ยฮ่วนท่านอาเขยของเขา ทว่าภายหลังเขาก็กลับไม่อาจรอจนลูกผู้น้องเว่ยเจิ้งอินเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับเพราะความบังเอิญครั้งหนึ่งก็ได้พบกับเว่ยฉานอิ่งที่ครั้งนั้นจู่ๆ มารดาของนางก็ล้มป่วย และในบ้านไม่มีบ่าวรับใช้เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมาที่จวนเว่ยเพื่อตามบิดากลับบ้าน
เมื่อแรกพบนั้น เว่ยฉานอิ่งเป็นห่วงมารดา จึงเปิดเผยใบหน้าโดยไม่ได้ห่วงฐานะของตน อย่าว่าแต่เสื้อผ้าเครื่องประดับเลย นางสวมเพียงเสื้อผ้าพื้นๆ ตัวเก่าๆ สีหน้าตื่นตระหนก …ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อาจทัดทานรักแรกพบที่ซ่งอวี่วั่งมีต่อนางได้ เขาเพียงสอบถามว่าบิดาของนางคือผู้ใด แม้แต่เรื่องว่านางมีสัญญาหมั้นหมายหรือไม่ก็ยังไม่ทันได้สอบถาม เขาก็กลับไปตระกูลซ่งเพื่อขอให้ซ่งผิงซินไปสู่ขอเว่ยฉานอิ่งให้เขาแล้ว
แน่นอนว่าซ่งผิงซินต้องไม่ยินยอม เขามีบุตรชายเพียงคนเดียว ซ่งอวี่วั่งไม่มีพี่น้องผู้ชายเป็นแขนขา จึงหวังแต่เพียงแรงสนับสนุนจากบ้านฝั่งภรรยา …แม่เฒ่าซ่ง ลูกผู้พี่ฝั่งบิดาของเขาและพี่เขยเว่ยฮ่วนเป็นคนที่มีฝีมือชั้นเชิงเหนือคน เมื่อได้แต่งงานกับบุตรสาวคนเดียวของพวกเขา ด้วยความที่แม่เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนอย่างยิ่ง จึงไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่คอยช่วยสนับสนุนซ่งอวี่วั่งสักเล็กน้อย
จากนั้นด้วยพฤติกรรมบ้าคลั่งของเหล่าผู้คลั่งรักในตระกูลซ่ง ด้วยความกลัวว่าบุตรชายจะเกิดเรื่อง ซ่งซินผิงก็ยังคงแบกหน้าแก่ๆ ของตนขืนเข้าไปอธิบายเรื่องราวต่างๆ กับแม่เฒ่าซ่ง ดีที่เมื่อแม่เฒ่าซ่งรู้เรื่องแล้วก็มิได้โกรธเคืองอันใด กลับโล่งใจและบอกมาเพียงประโยคหนึ่งว่า “ดีที่ไม่ได้หมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนหน้า ยามนี้คนภายนอกยังไม่รู้เรื่อง จึงไม่ต้องให้พวกเด็กๆ เขาเสียเวลา”
ครั้นแล้วเรื่องที่ฮูหยินน้อยสามตระกูลซูเกือบจะได้มาเป็นสะใภ้ตระกูลซ่งนี้จึงค่อยๆ ถูกปกปิดและผ่านไปอย่างไร้ซุ่มเสียง ผู้ที่รู้เรื่องนี้ก็มีเพียงซ่งซินผิงสามีภรรยา และตัวซ่งอวี่วั่งเองเท่านั้น… แม้แต่เว่ยเจิ้งอินที่ตอนนั้นอายุยังน้อยก็ยังไม่รู้ว่าตนเองเกือบจะได้แต่งกับหลานชายฝั่งบ้านแม่ของมารดาตนแล้ว มิใช่นายท่านสามของ ตระกูลซูในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้เว่ยฉานอิ่งจึงได้แต่งเข้าบ้านมาอย่างราบรื่นท่ามกลางความอิจฉาตาร้อนของผู้คน
ครอบครัวนางยากจน เติบโตมาอย่างอัตคัด จึงทำให้นางเป็นคนไม่เรื่องมากและเงียบขรึม แม้จะได้แต่งกับซ่งอวี่วั่งก็ไม่เคยมีท่าทีเย่อหยิ่งเพราะความมั่งมีหรือเพราะความรักใคร่ที่ซ่งอวี่วั่งมีต่อนาง เมื่อนางเข้ามาอยู่ในจวนที่ใหญ่โตโอ่โถงเพียงนี้ด้วยฐานะของนายผู้หญิงแล้ว สิ่งเดียวที่นางร้องขอก็คือให้ปลูกต้นกลัวไว้ต้นหนึ่งข้างนอกห้องหนังสือ
ซ่งอวี่วั่งเคยจินตนาการถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ของภรรยาหลายครั้งหลายหน บิดาเป็นพ่อบ้านในรุ่ยอวี่ถังมีฐานะเท่าเทียมกับพวกบ่าวที่เกิดในบ้าน ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งมีงานยุ่ง มารดาดูแลบ้านและบุตรชายบุตรสาว แม้ต้องเห็นเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่อาจวางใจบุตรสาวที่อายุยังน้อย จึงเอานางไว้ใกล้ๆ ตัวตลอดเวลา
มิน่าเล่าเมื่อบิดามีวันหยุดและกลับมาบ้าน สองแม่ลูกจึงไม่ได้รอให้เขาเดินอ้อมระเบียงทางเดินยาวๆ เข้ามาในเรือนก่อน แต่กลับรอไม่ไหวที่จะสนทนากันข้ามหน้าต่าง บุตรสาวตัวน้อยยิ่งต้องนอนฟุบอยู่ริมหน้าต่างตั้งตารออ้อมกอดของบิดา ด้วยเหตุที่คนเป็นแม่เข้าใจจิตใจของบุตรสาว จึงอุ้มนางส่งข้ามหน้าต่าง เพราะหากจะเดินจากข้างหน้าต่างไปจนถึงประตูที่เข้ามาในเรือนก็ต้องเดินอีกระยะ เว่ยฉานอิ่งอาศัยว่าตนเองอายุยังน้อยให้บิดาอุ้มไปได้ เมื่อเข้ามาในเรือนแล้วจึงค่อยคำนับบิดา…
บางทีนี่อาจเป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งที่สุดและอบอุ่นที่สุดในวัยเด็กของเว่ยฉานอิ่งแล้ว ฉะนั้นคนที่ไม่เรื่องมากเช่นนาง เมื่อพบว่าข้างนอกห้องหนังสือมีดอกไม้ต้นหญ้าอยู่แถบหนึ่ง จึงเอ่ยปากว่าที่นั่นยังขาดต้นกล้วยธรรมดาๆ ไป ความจริงแล้วต้นกล้วยต้นปัจจุบันนี้มิใช่ตนที่เว่ยฉานอิ่งเคยขอให้ปลูก
ต้นกล้วยต้นนั้นตายไปนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนเว่ยฉานอิ่งจะเสียชีวิต
ด้วยน้ำร้อนกาแล้วกาเล่าที่รดลงไป แม้แต่รากก็ยังตายจนเกลี้ยง
ซ่งอวี่วั่งขอให้ผู้ดูแลสวนที่มีชื่อที่สุดในเมืองหลวงมาช่วยดู ก็ยังไม่อาจช่วยเอาไว้ได้แม้แต่หน่อเล็กๆ
คำสั่งให้กำจัดต้นกล้วยให้ตายไปเสียก็เป็นเว่ยฉานอิ่งสั่งเอง สาเหตุที่สตรีผู้ซึ่งในยามปกติแม้แต่มดสักตัวก็ไม่ยอมเหยียบให้ตาย แต่กลับหักใจไปกำจัดต้นกล้วยที่ไร้ความผิด ก็ล้วนเป็นเพราะคำที่นางสั่งเสียไปก่อนตายว่า “ลืมข้าเสีย”
สายตาที่ปรายมาอย่างเร่งร้อนยามอยู่ในจวนเว่ย ชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่มาหลายสิบปี จนทำให้ผู้คนอิจฉาเป็นหนักหนา ในเวลาสุดท้าย สิ่งที่เว่ยฉานอิ่งร้องขอมีเพียงให้เขาลืมนางเสีย
คนงามอายุสั้น แม้กำลังจะลาโลกนี้ไป แต่พี่ท่านยังคงอยู่ในวัยฉกรรจ์ ด้วยความรักของคนทั้งสอง เว่ยฉานอิ่งไม่ได้กังวลถึงบุตรธิดาที่ยังไม่โต นางเป็นกังวลก็เพียงแต่สามีจะเอาเยี่ยงบรรพบุรุษหลายคนในตระกูลซ่ง และคอยคำนึงถึงตนไม่ลืมเลือน และทำให้ชีวิตการแต่งงานครานี้กลายเป็นเครื่องพันธนาการเขาไปชั่วชีวิต
ฉะนั้นนางจึงฉวยโอกาสที่ตนยังมีลมหายใจอยู่ อาศัยจังหวะที่ซ่งอวี่วั่งไม่อยู่ สั่งให้คนนำข้าวของทุกอย่างที่ตนเคยใช้ไปเผา แม้แต่ต้นกล้วยนอกหน้าต่างที่นางเป็นคนร้องขอก็ไม่ละเว้น …กระทั่งเขียนจดหมายสั่งเสียเอาไว้ว่า ให้บิดาและพี่ชายของตนขายกิจการและกลับไปอยู่ที่เฟิ่งโจว อย่าได้ไปมาหาสู่กับซ่งอวี่วั่งและบุตรธิดาบ่อยครั้งอีก พยายามกำจัดร่องรอยทุกอย่างที่นางเคยมีตัวตนอยู่เพื่อให้ซ่งอวี่วั่งมีโอกาสรับคนใหม่เข้ามา
คนเป็นภรรยาชั่วชีวิตนี้นางร้องขอเพียงสองสิ่งจากสามี เพื่อคำขอที่สอง นางกระทั่งสั่งเองว่าให้ไปทำลายคำขอแรกให้สิ้นซาก…
ทว่าน้ำร้อนหลายกาสามารถทำลายรากของต้นกล้วยจนตาย แต่ความมีตัวตนของนางกลับหยั่งรากลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของซ่งอวี่วั่งเสียแล้ว ไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วนิรันดร์
แม้นางจะทำลายทุกสิ่งไปแล้ว แต่ซ่งอวี่วั่งกลับยังคงอาศัยความทรงจำ และสั่งให้คนนำสิ่งของทุกชิ้นกลับมา เอาจัดวางไว้ตำแหน่งเดิม แม้แต่ต้นกล้วยนอกหน้าต่าง เขาก็ส่งคนไปย้ายต้นในลานบ้านแม่ของเว่ยฉานอิ่งมาปลูกไว้ที่นี่
เขาพยายามเก็บรักษาทุกสิ่งให้เหมือนเมื่อครั้งที่ภรรยายังมีชีวิตอยู่ เพื่อจะได้แสร้งทำเป็นว่าภรรยายังคงอยู่ในโลกมนุษย์ เพียงแต่เวลานี้ไม่ได้อยู่ตรงหน้า อาจจะอยู่ในห้องนอน หรืออาจอยู่ข้างสระน้ำ บางทีอีกสักพักก็จะส่งบ่าวมาเชิญ บางทีผ่านไปสักพักก็จะได้พบกัน …ทว่าคำอาลัยที่แขวนอยู่ในห้องหนังสือ และห้องหนังสือที่ว่างเปล่ามีเพียงเขาลำพัง ล้วนย้ำเตือนซ่งอวี่วั่งว่า นางได้จากไปแล้ว…
ซ่งอวี่วั่งเกาะกุมด้ายถักแดงบนข้อมือที่เว่ยฉานอิ่งถักเองกับมือครั้งนางยังอยู่ ใจลอยคิดไปว่า ‘ใต้หล้าไร้เจ้าแล้ว สีสันฤดูใบไม้ผลิเต็มเมืองจะเกี่ยวข้องอันใดกับข้า’
เขาพลันรู้สึกว่าไม่อาจทนมองดูต้นกล้วยต้นนั้นได้อีก กำลังจะเรียกคนให้มาปิดหน้าต่างเสียเพื่อบดบังสาย ไม่คิดว่ากลับมีหญิงสาวในชุดสีเหลืองไข่ห่านเดินโฉบมาข้างหลังต้นกล้วย นางสวมหมวกคลุมหน้า เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น และเดินเข้ามาใกล้ๆ เมื่อมองเห็นว่าซ่งอวี่วั่งกำลังมองมาทางตนจากข้างในหน้าต่าง นางจึงยกแขนขาวนวลขึ้นมาเปิดผ้าแพรที่หมวกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามดังสีสันของฤดูใบไม้ผลิ แต่น่าเสียดายที่ตรงมุมหน้าผากกลับมีรอยแผลเป็นที่ทำให้รูปโฉมนั้นเสียหาย นางแย้มยิ้มขึ้นมาทันใดและประสานมือคารวะ “ท่านพ่อ!”
“….เจ้ามาแล้วหรือ?” ซ่งอวี่วั่งกำลังคิดถึงภรรยาที่เสียไปแล้ว จู่ๆ บุตรสาวก็เข้ามาหยุดความคิดนั้นเสีย เขาจึงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ร้องสั่งเสียงดังผ่านหน้าต่างไปว่า “ไม่ต้องคารวะ เข้ามาพูดจากันข้างใน”
ซ่งไจ้สุ่ยเดินขึ้นมาบนระเบียงทางเดินตามคำ เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าไม้ของบุตรสาวที่ย่ำไปบนกระดานไม้ ซ่งอวี่วั่งก็กลับไปหวนนึกถึงภาพที่เว่ยฉานอิ่งเคยเล่าว่าตอนเล็กๆ ตนเฝ้าคอยการกลับมาของบิดาอีกครั้ง รอจนซ่งไจ้สุ่ยเข้าประตูมาแล้วและมาอยู่ตรงหน้าตน อยู่ในท่าประสานมือรอรับคำสั่ง เขางงงันอยู่สักพักจึงนึกออกว่าเหตุใดบุตรสาวจึงมาหาในเวลานี้ …เป็นเขาเองที่คำวานนี้ส่งคนไปบอกให้ซ่งไจ้สุ่ยมาหาในเวลานี้
เมื่อตั้งสติได้ซ่งอวี่วั่งก็สั่งให้บ่าวซ้ายขวาออกไป จึงเอ่ยเสียงเบาไปว่า “วานนี้ท่านอาเขยของเจ้ามาหาพ่อที่ที่ทำการโดยเฉพาะ เพื่อมาเอ่ยเรื่องแต่งงานให้บุตรชายคนเดียวของเขา ได้ยินว่าพวกเจ้าเคยพบกันมาก่อน พ่อยังไม่เคยถามเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่พึงใจ จึงบอกไปว่าจะขอพิจารณาดูสักหน่อยค่อยให้คำตอบเขา กลับไม่รู้ว่าเจ้าคิดเห็นเช่นใด?”
ซ่งไจ้สุ่ยตกตะลึง โพล่งถามไปว่า “ไม่ทราบว่าท่านพ่อเอ่ยถึงท่านอาเขยท่านใดเจ้าคะ?”
ความจริงแล้วในใจนางก็มีตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดคนหนึ่งอยู่แล้ว ทว่าญาติมิตรในตระกูลใหญ่โตมีมากมายเหลือหลาย ประสาอะไรที่ยามนี้นางเสียโฉมและอายุมากแล้ว จึงไม่ได้มีสถานะทัดเทียบกับคุณหนูใหญ่บุตรภรรยาเอกทั่วไป และมิใช่คนที่คนทั่วไปไม่กล้าเอ่ยปากขอ …การจะได้แต่งงานกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วน คนที่กล้ามาเอ่ยปากขอจึงมีจำนวนมากขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะเดาผิดได้?
ซ่งอวี่วั่งบอกว่า “เป็นท่านอาเขยรองบ้านเว่ย บุตรชายคนเดียวของเขามีชื่อว่าซูอวี๋อู่”
______________________________