ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 32 จูอี
….เมื่อจดหมายของซ่งไจ้สุ่ยส่งไปถึงซีเหลียงนั้นก็เป็นปลายเดือนสามแล้ว แม้จะเป็นที่ที่หนาวเหน็บแสนสาหัสเช่นซีเหลียง แต่ในเวลานี้ก็เป็นช่วงที่มีพลังชีวิตอย่างเปี่ยมล้น ในหมิงเพ่ยถังมีใบไม้สีเขียวแก่เขียวอ่อนเต็มไปหมด มีชีวิตชีวายิ่งนัก
หลังเที่ยงไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งตื่นจากงีบกลางวัน จูเสียนก็นำจดหมายเข้ามาให้นางอ่านพอดี เพิ่งจะอ่านไปได้สองบรรทัด เว่ยฉางอิ๋งก็สะดุ้งตกใจ “ลูกผู้พี่ซ่งหมั้นหมายกับลูกผู้น้องซู?” คำพูดนี้ทำให้เหล่าสาวใช้อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันใด เพียงแต่เมื่อไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่กล้าชะเง้อคอไปดู หากแต่พากันมองตาปริบๆ หวังให้นางอ่านจบแล้วพูดคำต่อไป
อ่านไปอีกสองบรรทัด เว่ยฉางอิ๋งก็ยิ่งสงสัยว่า “กำหนดแต่งงานก็คือสิ้นปีนี้?” ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็อธิบายประเด็นนี้ต่อไปอย่างรวดเร็วว่า “ลูกผู้พี่ซ่งก็อายุมากแล้ว ในเมื่อหมั้นหมายแล้ว ก็ควรต้องออกเรือนให้เร็วสักหน่อย”
จากนั้นก็อ่านต่อไป และคิ้วของเว่ยฉางอิ๋งก็ขมวดแน่นเข้าทุกที แต่กลับไม่เอ่ยถึงเนื้อความใดใจจดหมายอีก หากแต่มองไปรอบๆ แล้วสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมดก่อน”
เหล่าสาวใช้รุ่นโตพากันผิดหวัง ทว่าก็ยังออกไปตามคำนาง
รอจนทุกคนออกไปและประตูก็ปิดดีแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงค่อยๆ เปิดซองจดหมายที่หนามากๆ ของซ่งไจ้สุ่ยฉบับนี้ออกอย่างระมัดระวัง ปรากฏว่าภายในที่สุดมีซองจดหมายลับสอดมาด้วยหนึ่งซอง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าฉบับข้างนอก บนซองจดหมายไม่มีอักษรใด
เพียงแต่ซ่งไจ้สุ่ยอธิบายกับนางไว้ในจดหมายแล้วว่า จดหมายฝากฉบับนี้มาแทนเว่ยซินหย่ง
เว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจว่าท่านที่เรียกขานว่าท่านอาหกผู้นี้เขียนจดหมายมาหาตนทำสิ่งใด?
ตนเองก็ไม่ได้มีสิ่งได้เกี่ยวข้องกับเขา บุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ โดยทางการก็นับว่าเลิกแล้วต่อกันไปแล้ว ต่อให้ในใจของเว่ยซินหย่งยังคงไม่ยินยอม แต่ต้องถึงกับเขียนจดหมายมาไกลถึงพันลี้เพื่อตามมาต่อว่าต่อขานตนโดยเฉพาะเชียวหรือ? คนที่หลักแหลมปานนั้นไม่น่าทำเรื่องไร้ประโยชน์และกลับกันยังมีผลเสียเช่นนี้หรอก
นางจ้องมองจดหมายอย่าเคลือบแคลงใจอยู่เนิ่นนาน คิดไปคิดมา ก็ยังว่างจดหมายของซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้ข้างๆ ก่อน แล้วหยิบจดหมายของเว่ยซินหย่งมาอ่าน
จดหมายของเว่ยซินหย่งไม่ยาว หลังจากทักทายหลานสาวพอเป็นพิธีสองสามคำ ก็ตรงเข้าประเด็นหลักว่า เขาอยากรู้สถานการณ์การรบที่ซีเหลียง สถานการณ์การรบที่ละเอียด ซึ่งต้องเป็นสถานการณ์จริงด้วย
และคงเพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ของตนกับเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ปรองดองจนถึงขั้นทำให้เว่ยฉางอิ๋งเพียงแค่อ่านจดหมายก็จะรับปากแล้ว เว่ยซินหย่งจึงเขียนถึงเหตุผลในทันที… ซึ่งเหตุผลที่ว่านี้ เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งอ่านผ่านๆ หัวใจก็ยังเต้นแรงขึ้นมาอย่างมาก!
เว่ยซินหย่งบอกกล่าวในจดหมายว่า เวลานี้ในเมืองหลวงดูคล้ายสุขสงบ แต่ในทางลับแล้วกลับมีแนวโน้มบางอย่างที่ชัดแจ้ง เขาสัมผัสได้ว่าคล้ายมีคนไม่พอใจตำหนักตะวันออกองค์ปัจจุบัน และกำลังพยายามวางแผนเปลี่ยนตัวองค์รัชทายาทกันอย่างลับๆ …เรื่องนี้ก็ยังแล้วไป เพราะดีชั่วเขาก็ไม่มีหลักฐาน ประเด็นสำคัญก็คือ ภายหลังเว่ยซินหย่งบอกอย่างคลุมเครือ ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เสิ่นจั้งเฟิงเคยบอกไว้เป็นการส่วนตัวว่า …เขาเองก็คิดว่าต้าเว่ยกำลังจะล่มสลาย เวลานี้จึงคิดว่าจะเริ่มเตรียมตัวหาทางหนีทีไล่
การได้รู้สถานการณ์ศึกที่แท้จริงของซีเหลียงก็คือหนึ่งในข้อมูลที่เขาต้องการเพื่อเตรียมหาทางหนีทีไล่ ฉะนั้นเว่ยซินหย่งจึงไหว้วานซ่งไจ้สุ่ยให้แนบจดหมายฉบับนี้มาด้วย
และคล้ายว่าเขาก็รู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่อาจรู้เรื่องสถานการณ์ศึกที่เป็นรูปธรรมชัดเจนนัก จึงเสนอแนะไว้ในจดหมายว่าให้เว่ยฉางอิ๋งเก็บรักษาจดหมายของตนเอาไว้ให้ดี รอจนเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาแล้วค่อยเอาให้เสิ่นจั้งเฟิงดู และให้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนตัดสินใจ
เว่ยฉางอิ๋งกำจดหมายฉบับนี้เอาไว้ด้วยสภาพจิตใจที่ยากบรรยายได้
แม้ถ้อยคำของเว่ยซินหย่งจะดูเกรงใจ ไม่ได้ยกตนว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ หากแต่มาหารือกันดีๆ แต่ก็เหมือนกับมีตัวเขามานั่งพูดอยู่ตรงหน้าเช่นนั้น ด้วยเพราะเขาสามารถคาดเดาทุกความคิดอ่านยามเว่ยฉางอิ๋งอ่านจดหมายฉบับนี้ได้ทั้งหมด และในประโยคต่อไปก็จะเสนอวิธีแก้ปัญญาเอาไว้ให้ …ทำให้เมื่อเว่ยฉางอิ๋งอ่านจบแล้วจึงรู้สึกไม่พอใจหนักหนา แต่กลับไม่อาจฉีกจดหมายฉบับนี้เป็นชิ้นๆ ได้!
ลำพังแค่เรื่องที่เขาคาดเดาเรื่องเกี่ยวต้าเว่ยเช่นเดียวกันกับที่เสิ่นจั้งเฟิงคาดการณ์ไว้ เว่ยฉางอิ๋งก็ต้องทำตามคำเขาด้วยการเก็บจดหมายนี้ไว้ดีๆ รอสามีกลับมาอ่าน!
นั่นเพราะผู้ใดจะรู้ว่าหากไม่มีจดหมายฉบับนี้แล้วจะทำให้สามีเกิดเรื่องเดือดร้อนใดหรือไม่?
“….ช่างเถิด ดีชั่วข้าก็มิใช่บุรุษ ไม่ต้องไปช่วงชิงสิ่งใดกับเขาต่อหน้าท้องพระโรง ข้อสรุปเช่นนี้ ท่านปีก็คิดออกมาตั้งแต่ปีก่อน โอ้ไม่สิ บางทีอาจจะมองออกมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็เป็นได้!” เว่ยฉางอิ๋งนั่งอยู่อย่างกลัดกลุ้มใจพักใหญ่ จึงได้แต่ปลอบใจตนไปดังนี้ “ถูกเว่ยซินหย่งมองทุกความคิดอ่านออกก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด …ยามนี้ก็มิใช่ว่าเขายังต้องมาขอร้องข้าหรอกรึ?”
นางพับจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้เก็บอย่างระมัดระวังด้วยความหงุดหงิด แล้วนำกลับเข้าไปในอก จากนั้น เว่ยฉางอิ๋งก็หยิบจดหมายของซ่งไจ้สุ่ยมาอ่านต่อ
เพียงแต่นอกจากซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยในจดหมายว่า เว่ยซินหย่งไหว้วานให้นางส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาแล้ว จากนั้นก็ทำเหมือนกับว่าก่อนนี้ไม่มีเรื่องใดเช่นนั้น และไม่ได้เอ่ยถึงเว่ยซินหย่งอีกแม้แต่ครึ่งคำ เว่ยฉางอิ๋งคิดจะหาข่าวคราวในระยะนี้ของ เว่ยซินหย่งจากในจดหมายของลูกผู้พี่ เพื่อจะมาดาดเดาเรื่องของเขาสักน้อยก็ยังไม่มี ซ่งไจ้สุ่ยกลับบอกว่าหลังจากนางแต่งงานแล้วก็จะติดตามสามีไปตงหูโดยทันที และยังพูดเล่นอีกว่าลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนเราล้วนมีชะตาที่ต้องเดินทางและวิ่งวุ่นเหมือนกัน
เว่ยฉางอิ๋งเห็นแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ แม้ซ่งไจ้สุ่ย ไม่ได้บอกว่าเหตุใดเมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องไปตงหู แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับพอจะเดาสาเหตุได้ ก่อนนี้ลูกผู้น้องซูอวี๋อู่บาดเจ็บไม่น้อย ก่อนตนเองจะมาซีเหลียงก็ได้ยินท่านอาเว่ยเจิ้งอินบอกว่าเมื่อได้พบเจอกับเรื่องในครานี้นางก็ตกใจไม่เบาเลย จะต้องขัดขวางไม่ให้ซูอวี๋อู่ไปตงหูอีกให้ได้
ทว่าใจของซูอวี๋อู่กลับยังคงพะวงถึงสนามรบ …สองแม่ลูกจะต้องเกิดเรื่องโต้แย้งกันขึ้นแน่นอน เว่ยเจิ้งอินทานบุตรชายไม่ไหว แต่ก็กลัวว่าเขาจะเกิดเรื่องขึ้นอีก จึงให้ลูกสะใภ้ไปด้วยกันกับเขาเสียเลย ดีชั่วก็ยังสามารถคอยดูเขาได้สักหน่อย
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เว่ยเจิ้งอินไม่ยอมให้ซูอวี๋อู่เข้ารบ เว่ยฉางอิ๋งก็อดนึกถึงสามีขึ้นมาไมได้ พลันหนักอึ้งอยู่ในใจและโอดครวญว่า “นี่ก็เดือนสามแล้ว นับแต่มีรายงานการศึกกลับมาเมื่อตอนเดือนสอง แล้วเขาก็ฝากจดหมายมาให้ข้าพร้อมกัน ในเดือนนี้กลับเห็นมีแต่เพียงรายงานศึกกลับมา ไม่ได้ยินว่าส่งความใดมาให้ข้าสักคำ …ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามีกิจยุ่งนัก หรือว่าหลงลืมกันแน่?”
เว่ยฉางอิ๋งกำจดหมายของซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้และใจล่องลอยไปเนิ่นนาน ว่าแล้วก็ถอนหายใจ จัดการอารมณ์ของตนให้ดี ลุกขึ้นมาเปิดประตูแล้วเรียกให้บ่าวเข้ามาปรนนิบัติรับใช้
เมื่อจูลั่ว จูอี และจูเสียน จูเสวียน ซึ่งเป็นสาวใช้รุ่นโตที่เพิ่งจะเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเข้ามาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็สั่งให้พวกนางไปเชิญนางหวงและนางเฮ่อมาหา
เมื่อท่านอาทั้งสองมาถึงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็บอกกับพวกนางเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยหมั้นหมายกับซูอวี๋อู่ “ทางเมืองหลวง ท่านอาว่านจะต้องเตรียมของกำนัลไปมอบแทนข้า เพียงแต่ท่านอาทั้งสองก็รู้ว่าข้าและลูกผู้พี่ซ่งรักใคร่กันนัก นางยังตั้งใจเขียนจดหมายมาแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าโดยเฉพาะ ข้าคิดว่าจะส่งของเล็กน้อยจากซีเหลียงไปให้อีกชิ้น ท่านอาว่าจะส่งของใดไปดี?”
นางหวง นางเฮ่อล้วนมีความรู้สึกที่ดีต่อซ่งไจ้สุ่ยเป็นนักหนา เมื่อได้ยินว่านางหมั้นหมายกับซูอวี๋อู่ ในขณะที่กำลังแปลกใจก็รู้สึกดีใจอย่างมาก ต่างบอกว่า “ก่อนนี้ ฮูหยินน้อยยังเคยเป็นห่วงเรื่องสำคัญชั่วชีวิตเรื่องนี้ของคุณหนูใหญ่บ้านซ่ง ไม่คิดว่ากลับได้มาหมั้นหมายกับคุณชายผู้น้องบ้านซูนะเจ้าคะ คุณชายผู้น้องเป็นคนดียิ่งนัก ทั้งยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนายหญิงรองของพวกเราด้วย เมื่อนับไปแล้วนายหญิงรองก็เป็นท่านอาของคุณหนูผู้พี่ซ่งด้วยนะเจ้าคะ เรื่องเป็นญาติซ้อนญาติเช่นนี้ไม่มีดีงามไปกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ เวลานี้เรื่องสำคัญชั่วชีวิตของคุณหนูผู้พี่ก็ลุล่วงแล้ว คุณชายผู้น้องก็ได้หมั้นหมายกับภรรยาแสนประเสริฐ น่ายินดีปรีดาจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เมื่อเอ่ยคำยินดีและอวยพรแล้ว ทั้งสองคนก็พากันเสนอสิ่งของที่สามารถมาเป็นของกำนัลได้ เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญดูอีกรอบจึงกำหนดได้ และสั่งให้คนไปเขียนรายการของกำนัลเพื่อเตรียมส่งไปที่เมืองหลวง ด้วยเหตุที่ไม่อาจส่งของไกลพันลี้ไปมอบให้แต่เพียงซ่งไจ้สุ่ย แต่กลับไม่สนใจบ้านสามีที่อยู่ที่เมืองหลวงเช่นกัน จึงต้องหาเหตุผลตระเตรียมของกำนัลให้ทุกคนในจวนราชครูเพิ่มอีกชุดหนึ่งอย่างขาดเสียมิได้
จากนั้นก็ต้องมอบให้แก่เว่ยเซิ่งเซียน เว่ยเจิ้งอินท่านอาหญิงทั้งสองคนละชุด ท่านอารองเว่ยเซิ่งอี๋ ท่านอาหกเว่ยซินหย่งทางนั้นก็ห้ามลืมโดยเด็ดขาด….ที่สุดแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ต้องถือรายการของกำนัลหนาๆ พลางเอ่ยอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า “นี่เหมือนกับส่งของกำนัลปีใหม่แล้ว”
เพิ่งจะสิ้นเสียง จูอี สาวใช้รุ่นโตที่เพิ่งจะเพิ่มเข้ามาไม่กี่วันก่อนและมีชื่อขึ้นต้นเหมือนกับพวกของจูหลานก็หัวเราะพู่ออกมา เมื่อหัวเราะออกมาก็เห็นว่านางหวงและนางเฮ่อล้วนขมวดคิ้วจ้องเขม็งมาที่ตน จูอีตื่นตกใจและรีบขอขมาอย่างลนลาน “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว!”
จูอีและจูลั่วได้รับการคัดเลือกออกมาจากพวกบ่าวที่เกิดในบ้านที่ซีเหลียงแห่งนี้ ประการแรกเพื่อเติมตำแหน่งสาวใช้รุ่นโต เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะไม่ใคร่เชื่อถือพวกนางไม่ได้ เพียงแต่ข้างกายขาดคนจึงไม่อาจไม่ใช้สอยพวกนาง ฉะนั้นจึงคอยสังเกตดูกริยาวาจาของพวกนางเป็นพิเศษ เพื่อมิให้กลายเป็นว่าเลือกคนมาผิดแต่กลับไม่รู้ตัว เวลานี้จึงมีใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แล้วปรายตามองนางคราวหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ไปว่า “หัวเราะเรื่องใด?”
แม้ว่านับแต่จูอีอยู่ข้างกายนางมาจะไม่เคยเห็นนางโมโหมาก่อนแต่ก็รู้ว่าไม่ควรไปยั่วโมโหฮูหยินน้อยผู้นี้ จึงเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ข้าน้อย…ข้าน้อยนึกถึงคุณหนูกู้เจ้าค่ะ จะ…จึงได้หัวเราะ”
นางเฮ่อเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เกี่ยวอันใดกับคุณหนูกู้?”
จูอีแอบมองเว่ยฉางอิ๋ง เห็นว่านางมิได้ไม่อยากฟังจึงเอ่ยไปอย่างระมัดระวังว่า “ข้าน้อยนึกถึงก่อนนี้ที่ส่งของกำนัลวันปีใหม่ไปเมืองหลวงเพิ่ม เพื่อความปลอดภัยฮูหยินน้อยจึงวางแผนให้คุณหนูเติ้งและคุณหนูกู้เดินทางกลับเมืองหลวงตามไปด้วย ปรากฏว่า คุณหนูเติ้งมิเป็นไร แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูกู้ก็ไม่ยอมไป กระทั่งทำทุกวิธีทางเพื่อรบเร้า ฮูหยินน้อยด้วยเหตุนี้ …เวลานี้มาได้ยินอีกคราว่าฮูหยินน้อยบอกว่าจะส่งของไปเมืองหลวงเหมือนกับส่งของกำนัลวันปีใหม่ หากคุณหนูกู้รู้เข้าก็เกรงว่าต้องเป็นกังวลขึ้นมาอีกว่าฮูหยินน้อยจะส่งนางกลับไป ไม่แน่ว่า…จะร้องไห้โวยวายขึ้นมาอีกเจ้าค่ะ…”
ได้ยินนางพูดมาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งและนางหวง นางเฮ่อต่างยิ้มออกมา …หลังจากเทศกาลหยวนเซียวปีนี้ผ่านไป เว่ยฉางอิ๋งก็ทำตามแผนการที่จะส่งพวกของกู้โหรวจางทั้งสามคนกลับเมืองหลวง ปรากฏว่าเติ้งวานวานไม่มีความเห็นใด รีบไปเก็บข้าวของแสดงท่าทีว่าพร้อมจะออกเดินทางได้ทุกเมื่อ ส่วนตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับถูกผู้คนมากมายเหมือนกระแสน้ำถาโถมมาขอรับการรักษารัดตัวไว้จึงต้องอยู่ต่อไป ส่วน กู้โหรวจางที่แต่ต้นจนจบควรจะเป็นคนที่ว่างที่สุดกลับยึดยื้ออย่างสุดชีวิต ทั้งน้ำตานองหน้า ทั้งร้องเรียกฟ้าเรียกดิน …จะต้องอยู่ที่ซีเหลียงต่อให้จงได้!
ครานั้นเว่ยฉางอิ๋งกำลังมีเรื่องยุ่งหนักหนา คร้านจะมากความกับนาง จึงสั่งบ่าวซ้ายขวาว่าให้หาทางจับนางไว้แล้วกรอกยานอนหลังที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวปรุงขึ้น บังคับส่งนางขึ้นรถและออกเดินทางไปเสีย! ทว่าเมื่อกู้โหรวจางได้สติขึ้นมาและพบว่าตนเองออกจากตัวเมืองซีเหลียงมาได้สามวันแล้ว ม้าชั้นเลิศที่นางขี่ครั้งขามาก็ถูกเว่ยฉางอิ๋งมัดเอาไว้ เพียงแค่ฝากความไว้กับสาวใช้ของนางว่ารอไว้เมื่อกู้ซีเหนียนกลับไปก็จะไว้วานให้เขานำไปคืนให้กู้โหรวจาง …ตามหลักแล้วกู้โหรวจางก็ควรจะทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมว่าตนเองถูกส่งกลับเมืองหลวงเสียแล้ว
แต่ปรากฏว่าคุณหนูกู้ผู้นี้อาศัยว่า เติ้งวานวานอ่อนแอบอบบาง ขัดขวางนางไว้ไม่ได้ ส่วนเหล่าองครักษ์ในขบวนก็ไม่กล้าแตะต้องนาง จึงขืนขโมยม้าตัวหนึ่งแล้วเร่งเดินทางกลับมาทันใด!
หัวหน้าขบวนส่งคนไล่ตามทั้งกล่อมนางอย่างยากลำบาก เพื่อขัดขวางนางแม้แต่ม้าที่นางขโมยไปก็ยังสั่งให้สังหารมันเสีย แต่กู้โหรวจางก็ยังลงมาเดินเท้าเอาเสียเลย …ทำเอาหัวหน้าขบวนจนด้วยเกล้า จึงได้แต่ต้องแบ่งคนออกมาเป็นขบวนเล็กๆ และมอบม้าแก่นางใหม่ตัวหนึ่ง เขียนจดหมายไปขอขมาเว่ยฉางอิ๋ง และส่งทั้งจดหมายและคนกลับไปตัวเมืองซีเหลียง…
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นกู้โหรวจางย้อนกลับมาก็หมดคำพูดยิ่งนัก จึงถามนางว่าเหตุใดจึงชอบซีเหลียงที่ทั้งหนาวเหน็บทั้งอันตรายนัก? กู้โหรวจางกลับบอกว่า “ในสายตาพี่เว่ยแล้วที่นี่หนาวเหน็บ ยิ่งไปกว่านั้นข้อเสียอีกข้อก็คือมีพวกตี๋คอยรุกราน แต่ในสายตาข้าแล้วกลับไม่เหมือนกัน ในสายตาข้า แม้ทัศนียภาพที่นี่จะไม่งดงามเช่นในเมืองหลวง แต่กลับมีความหนาวสะท้านอย่างหนึ่ง ข้าก็ชอบความหนาวสะท้านเช่นนี้นี่เอง! ต่อให้มีอันตรายสักน้อย แล้วจะอย่างไร? พี่เว่ยอยู่ที่นี่ สามีพี่เว่ยก็อยู่ข้างหน้า เพื่อพี่เว่ยแล้ว เขาจะต้องคอยปกปักษ์ชายแดนต้าเว่ยของเราเอาไว้อย่างดีเป็นแน่! ข้าอาศัยวาสนาของพี่เว่ย แล้วจะมีอันตรายใดได้เล่า?”
นางพูดจบอย่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็เข้าใจแล้วว่า เจ้าตัวแสบนี้ห่วงเล่นเป็นยิ่งนัก เห็นว่าที่ซีเหลียงนี่ไม่มีมาคอยดูควบคุมไม่ให้นางวิ่งเล่นไปทั่วฟ้าทั่วดิน จึงได้หาทางอาละวาดให้ได้อยู่ที่นี่ต่อไป!
ช่วงเวลานั้น เว่ยฉางอิ๋งกำลังวุ่นวายนักและไม่มีเวลามาควบคุมนางมากมาย จึงได้แต่ทำหน้าเย็นชาเตือนนางว่า “ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะอยู่ต่อเสียให้ได้ เพียงแต่จะทำการใดเจ้าต้องรู้จักมีขอบเขต หากยังคงวิ่งหนีไปลำพังจากพวกองครักษ์ แล้วให้พวกองครักษ์มาฟ้องข้าอีก ก็อย่าโทษว่าพี่สาวคนนี้ใจร้ายก็แล้วกัน! ข้ามิใช่ไม่มีหนทางส่งเจ้ากลับไปนะ!”
พอกู้โหรวจางได้ยินว่าสามารถอยู่ต่อไปได้อีกสักระยะ ทันใดนั้นก็คลายคิ้วออกยิ้มอย่างเบิกบานพลางพยักหน้าไม่หยุด สบถสาบานนานารับรองว่าจะเชื่อฟังเว่ยฉางอิ๋งทุกเรื่อง
เพื่อส่งของกำนัลแต่งงานให้แก่ซ่งไจ้สุ่ยในครานี้ เว่ยฉางอิ๋งหาแหล่งของกำนัลได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นแหล่งที่มาที่ไม่เลวด้วย เมื่อส่งคนไปมอบของกำนัลให้แก่ทุกคนที่เมืองหลวง ขบวนรถก็ใหญ่โตเกือบเท่าตอนไปส่งของกำนัลปีใหม่แล้ว …หากกู้โหรวจางได้ยินข่าวนี้ ไม่แน่ว่าต้องเป็นกังวลว่านางจะถูกจับตัวกลับไปพร้อมกันด้วย….
เมื่อคิดถึงเรื่องที่กู้โหรวจางอาละวาดเมื่อครั้งก่อน เว่ยฉางอิ๋งและนางหวง นางเฮ่อล้วนอดจะส่ายหน้าหัวเราะออกมาไมได้ และไม่มีแก่ใจไปจัดการจูอีแล้ว เรื่องนี้จึงผ่านไปดังนี้
________________