ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 34-2 รักษากำมะลอ
จึงมีหญิงแข็งแรงที่หามหญิงผู้นี้ขึ้นมาผู้หนึ่งยิ้มแหยๆ กล่าวว่า “ลำบากฮูหยินน้อยสามเป็นห่วงสอบถามแล้วเจ้าค่ะ เมื่อต้นปีก่อนขณะนางฝึกระบำชุดหนึ่งอยู่ ก็พลัดตกลงมาจากเวทีโดยไม่ทันระวัง ทำให้บาดเจ็บที่หัวเข่าเจ้าคะ ยามนั้นมิได้สนใจนักจึงยังฝึกต่อไป ทำให้ไม่ได้ไปรักษาบาดแผล จากนั้นบาดแผลก็กลายเป็นแผลเน่าและลุกลามไปจนครึ่งขาแล้วเจ้าค่ะ …ท่านหมอที่นี่เคยรักษาแล้วก็ล้วนบอกว่ารักษายากนัก กระทั่งมีคนบอกว่าให้ตัดขาทิ้งเสียเจ้าคะ…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หญิงที่ก่อนนี้ยังนอนหายใจรวยรินอยู่กลับดิ้นรนอย่างรุนแรงขึ้นมา ร้องเอะอะว่า “ข้าไม่ตัดขา! ไม่เอา!” เรี่ยวแรงของนางบางเบานัก หญิงแข็งแรงสองคนใช้มือกดนางเอาไว้ก็อยู่แล้ว ทว่าก็ยังคงพยายามดิ้นรนอยู่บนแผ่นประตูที่นางนอนอยู่ เพราะเจ็บหนักจนผ่ายผอมนักทำให้ดวงตาของนางดูโตกว่าปกติและยามนี้ดวงตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว …ตวนมู่ซินเหมี่ยวลอบถอนใจในใจว่า ดูสิไม่เพียงแค่เกิดมามีฐานะต่ำต้อยและเจ็บป่วยด้วยโรคน่าสะอิดสะเอียนแล้ว แม้แต่สมองของคนผู้นี้ก็เริ่มจะเลอะเลือนแล้วด้วย!
ไม่รู้จริงๆ ว่าเว่ยฉางอิ๋งไปหาคนเช่นนี้มาแต่ที่ใด …เมื่ออยู่ท่ามกลางพวกชาวบ้านและชนชั้นต้อยต่ำ นางก็นับว่าเป็นพวกที่อยู่ต่ำที่สุดจนไปวัดไปวาใดไม่ได้เลย มิน่าเล่าเว่ยฉางอิ๋งจึงได้บอกว่าขอเพียงรักษาคนผู้นี้ได้ ก็จะทำให้มีชื่อเสียงขจรขจายออกไปว่านางไม่รังเกียจว่าจะเป็นคนยากจนต่ำต้อยสกปรกเปรอะเปื้อน และจะต้องมีคนกล้าเข้ามาแน่นอน…
ทางฝั่งของตวนมู่ซินเหมี่ยวยังออกจะตื่นเต้นลนลานที่ได้พบเห็นคนเจ็บที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ข้างเว่ยฉางอิ๋งกลับมีสีหน้าสงสาร แล้วเอ่ยด้วยเสียงละมุนไปว่า “ไม่ตัดขาเจ้าหรอก เจ้าวางใจเถิด! อาจารย์ของน้องตวนมู่ของข้าผู้นี้ก็คือจี้ชวี่ปิ้ง เป็นถึงแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเล วิชาแพทย์ของนางไม่มีท่านหมอในตัวเมืองซีเหลียงสามารถทัดเทียมได้ พวกเขาบอกว่าจะต้องตัดขาเจ้าจึงจะรักษาได้ แต่สำหรับน้องตวนมู่กลับไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เจ้าจงทำใจให้สบาย เปิดแผลออกให้ดู จะได้ให้น้องตวนมู่ตรวจดูให้เจ้า ดีหรือไม่?”
เมื่อได้ฟังนางว่าไม่ต้องตัดขา หญิงผู้นั้นก็หอบหายใจหลายครั้งและค่อยๆ สงบลง หญิงแข็งแรงที่กดตัวนางไว้รีบช่วยพูดว่า “แม่นางอู๋ เจ้าหยุดเอะอะโวยวายได้แล้ว เจ้าน่าจะรู้ว่าทั้งสองท่านตรงหน้าเจ้าเป็นผู้สูงศักดิ์เพียงใด! เมื่อท่านยอมให้พวกเราเข้าพบสักหนล้วนเป็นบุญที่สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ยิ่งไม่ต้องบอกว่าจะรักษาให้เจ้าด้วย นี่เรียกว่าคนทั่วไปทำบุญสามชาติก็ยังไม่ได้เท่านี้เลย!”
“หมอเทวดาน้อยก็เป็นถึงศิษย์ของท่านหมอเลื่องชื่อแห่งเขตทะเล โรคเล็กน้อยของเจ้านี้ ยังมิใช่ว่าพอมือสัมผัสก็ขจัดโรคไปได้แล้วหรือ? เจ้าน่ะ ทำใจให้ดีๆ เถิด อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ต้องมาโขกหัวขอบพระคุณฮูหยินน้อยสามและหมอเทวดาน้อยเสีย!”
ดังนี้จึงสามารถกล่อมหญิงแซ่อู๋ผู้นั้นเอาไว้ได้ แล้วเปิดชายกระโปรงของนางขึ้นมา …เมื่อเผยขาทั้งหมดออกมาให้เห็น แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งที่ก่อนนี้ไม่ได้มีสีหน้าไม่สบายใจแต่อย่างใดก็ต้องตาหดเล็กลง เห็นชัดว่าบนขาซ้ายของหญิงผู้นี้มีแผลเน่าขนาดเท่ากำปั้นอยู่เต็มไปหมด แผลเบียดเสียดกัน จนบนน่องทั้งน่องล้วนหาเนื้อดีๆ แม้สักนิ้วหนึ่งก็ยังไม่ได้ และน้ำหนองก็แทบจะทะลักไหลออกมา จนทำให้ทั้งกระโปรงและผ้านวมที่รองอยู่ใต้ตัวอาบไปด้วยสีเหลืองๆ เขียวๆ เต็มไปหมด มิน่าเล่าเมื่อหามนางขึ้นมา แม้แต่กลิ่นหอมของชาที่ตลบอยู่เต็มห้องจึงยังไม่อาจกลบกลิ่นน่าสะอิดสะเอียดนี้เอาไว้ได้
เว่ยฉางอิ๋งออกแรงหักห้ามใจไม่ให้ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูก พลางแอบเหยียบเท้าตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ยามนี้สติเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว …เวลานี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา กลับมิใช่เพราะนางไม่สามารถรักษาแผลเน่านี้ได้ เพียงแต่บรรดาคนเจ็บที่นางเคยรักษามามีผู้ใดบ้างที่มิใช่ผู้ดีมีเงิน? แม้แผลเน่าจะหนักหนากว่านี้อีกร้อยเท่าก็จะมีคนคอยดูแลปรนนิบัติทั้งกลางวันกลางคืน และคอยดูแลพยายามรักษาให้สะอาดอย่างที่สุด จะยอมปล่อยให้มีแผลมากมายจนส่งกลิ่นเหม็นชวนเป็นลมเช่นนี้ได้อย่างไร?
นี่เห็นชัดว่าหญิงผู้นี้ไม่ได้รับการดูแลให้ดีๆ แผลจึงได้ลุกลามจนกลายเป็นเช่นนี้
แต่คราวนี้ขึ้นหลังเสือแล้วก็ลงมายาก…คงไม่อาจเกี่ยงว่าสกปรกโสมมแล้วบอกให้คนหามหญิงผู้นี้ออกไปกระมัง? ถ้าหากถูกร่ำลือไปว่าเป็นหมอที่ไร้จิตเมตตา แล้วตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไม่สนใจได้อย่างไร อีกทั้งอาจจะถูกกังขาในฝีมือแพทย์ด้วยนางก็ยิ่งจะทนไม่ไหวแน่
เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งเร่งเอา นางจึงทำได้เพียงขยับเท้าเข้าไปดูให้ละเอียด แล้วสั่งให้หญิงผู้นั้นยื่นมือออกมาให้จับชีพจร…ข่มความขยะแขยงเอาไว้ ตรวจดูและสอบถามไปพักหนึ่ง จากนั้นก็สั่งยาให้อย่างรวบรัดรวดเร็ว แล้วสั่งพวกหญิงแข็งแรงที่พาคนมาว่า “ใบสั่งยาสองใบนี้ ใบแรกเป็นยาอาบ อาบวันละสามครั้ง ต้องอาบติดต่อกันเจ็ดวันห้ามขาดเด็ดขาด ใบที่สองเป็นยากิน กินวันละสามครั้งติดต่อกันเจ็ดวันห้ามขาดเช่นกัน …พวกเจ้าซึ่งเป็นคนดูแลนางต้องจำไว้ให้ดี”
มีหญิงแข็งแรงโพล่งบอกไปว่า “ข้าน้อยมิใช่คนดูแลนางเจ้าค่ะ” คณิกาหลวงผู้หนึ่ง ทั้งยังเจ็บป่วยมาเกือบปีแล้ว แล้วจะยังมีผู้ใดมาคอยดูแล? แต่เมื่อนางเอ่ยคำนี้ออกไปก็ถูกพวกพ้องหยิกเอาหนหนึ่ง แล้วเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยังคงมองตรงดิ่งมาหา จูอีที่อยู่ข้างกายนางก็มองมาด้วยสายตาร้อนรนปนกล่าวโทษ ยามนั้นเองจึงเพิ่งรู้ตัวขึ้นมาว่านางเกือบหลุดปากพูดไปแล้ว จึงรีบพูดเสริมไปว่า “ข้าเป็นเพื่อนบ้านของนาง คนบ้านเดียวกัน จึงพอจะช่วยเหลือกันได้ ข้าน้อยจะช่วยนางเจ้าไว้เจ้าค่ะ!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวคร้านจะสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เมื่อบอกถึงสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ไปสองสามข้อแล้ว จึงรีบเร่งแขกไปว่า “เสร็จแล้ว”
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็จัดแจงอารมณ์ของตนได้แล้ว กลับมายิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “และไม่ต้องไปซื้อหายาที่ร้านขายยา ให้ไปหาพ่อบ้านแม่บ้านของหมิงเพ่ยถังของเราที่ข้างล่างเพื่อช่วยจัดยาให้พวกเจ้าจนเรียบร้อย”
จูอีเอ่ยเตือนด้วยเสียงแจ่มชัดมาจากข้างหลังนางว่า “วันนี้ฮูหยินน้อยของเรานำยามาบริจาค ไม่คิดเงินทอง! พวกเจ้าน่ะ มาทันโอกาสงามแล้วนะ!”
หญิงแซ่อู๋ผู้นั้นสะลืมสะลืออยู่ในอาการป่วย จึงเพียงกล่าวขอบคุณด้วยลมหายใจแผ่วเบาไปคำหนึ่ง ส่วนพวกหญิงแข็งแรงที่หามนางมากลับพากันขอบคุณและยกย่องไม่ขาดปาก แล้วหามนางกลับลงไปอีกครั้ง …รอจนคนเหล่านี้ไปแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็รีบร้องบอกบ่าวซ้ายขวาว่า “กลับไปเอาปี้ลี่เซียงอ่างหนึ่งมาเผา! เร็วเข้า!”
ปี้ลี่เซียงมีกลิ่นหอมที่รุนแรงมาก ซึ่งสามารถใช้กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ …เว่ยฉางอิ๋งเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก เอ่ยถามทั้งหัวเราะว่า “เหตุใดไม่ให้คนไปเปิดหน้าต่างระบายอากาศ?”
“พี่สะใภ้ นี่ท่านอุตส่าห์วางท่าเป็นคนมีจิตเมตตาแล้ว คนเขาเพิ่งจะไปก็มาเปิดหน้าต่างเสีย หากร่ำลือออกไปก็จะให้คนบอกว่าพวกเรารังเกียจเขาน่ะสิ อดทนก็อดทนมาได้แล้ว แล้วไยต้องทำเช่นนี้เล่า?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอายาดมมาจ่อที่จมูกเอ่ยเสียงบู้บี้ “ต่อไปยังไม่รู้ว่าจะมีคนเช่นใดมาอีก! มาคนหนึ่งก็เปิดหน้าต่างคราหนึ่ง …ลมในซีเหลียงยามนี้ก็หนาวเหน็บนัก! ยังไม่ทันรักษาได้สักกี่คน ก็จะทำเอาพวกเราแข็งตายเพราะลมพัดไปเสียก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ครานี้ข้ากลับไม่ได้วางท่าเป็นคนมีจิตเมตตานะ เพราะข้ารู้สึกว่าหญิงผู้นั้นน่าสงสารจริงๆ บาดแผลเมื่อครู่นั้นน่าสยดสยองนัก …ไม่รู้ว่านางทนมาได้อย่างไรเป็นปี!”
“จูอีเจ้าทำดีนักนะ ดูสิทำฮูหยินน้อยของพวกเจ้าตกใจแทบตายแล้ว! กลับไปท่านอาหวงกับท่านอาเฮ่อต้องลงโทษเจ้าแน่ๆ!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดจาอย่างกับไม่กลัวว่าใต้หล้าจะสนั่นสะเทือนขึ้นมาทันใด
สีหน้าของจูอีเปลี่ยนไปทันที …เว่ยฉางอิ๋งทั้งโกรธทั้งขบขันแล้วตีตวนมู่ซินเหมี่ยวไปหนหนึ่ง ร้องเอ็ดไปว่า “เป็นข้าบอกบิดาของจูอีเองว่าให้หาคนเจ็บที่สกปรกเละเทะสักหน่อย ฐานะต้อยต่ำสักหน่อยมา และเป็นเพราะมีประสบการณ์น้อยจึงได้ตื่นตกใจ คิดไปหญิงผู้นี้ก็ยังหามาจากในตัวเมืองนะ! นี่หากไปหาจากหมู่บ้านชายป่าต้องไม่มีทางไม่น่าสงสารยิ่งกว่านางเป็นแน่…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ขมวดคิ้วเข้าน้อยๆ แอบคิดในใจว่า “คณิกาหลวงแซ่อู๋ผู้นี้แม้จะเจ็บป่วยจนทำให้เลอะเลือนไปสักหน่อย ทว่าก็รู้ว่าข้าและซินเหมี่ยวมีฐานะสูงส่ง ห่างไกลกับนางราวฟ้ากับดิน เพียงคำเดียวก็สามารถชี้เป็นชี้ตายให้นางได้ … ทว่าด้วยกลัวจะถูกตัดขานางก็ยังออกปากดิ้นรนต่อต้าน ยามนี้ฮ่องเต้เลอะเลือน ปวงประชาต้าเว่ยมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น …นี่ยังเป็นเพียงแค่คณิกาหลวงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แม้เหล่าหญิงงามที่น้องชายสี่ส่งมาให้ข้าช่วยจัดการ ในยามคอขาดบาดตายก็ยังกล้ารวบรวมความกล้าร้องขอความเมตตาเลย หากบีบคั้นประชาชนและพวกชนชั้นต่ำต้อยเหล่านี้จนอับจนหนทางแล้ว …ต้าเว่ยก็คง…”
นางแอบร้อนรนอยู่ในใจ หวังให้สามีรีบกลับมาในเร็ววัน เพื่อจะได้นำจดหมายสั้นๆ ที่เก็บไว้กับตัวทั้งวันทั้งคืนฉบับนั้นมอบให้แก่เสิ่นจั้งเฟิงตัดสินใจเสียที
_________________