ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 35 กลับมา
แม้เนื้อตัวของคณิกาหลวงแซ่อู๋จะสกปรกเป็นยิ่งนัก ทว่านอกจากได้พบกับหมอเทวดาน้อย กระทั่งฮูหยินเว่ยแห่งหมิงเพ่ยถังก็ยังมาอยู่ข้างๆ ด้วยตนเอง และสอบถามถึงอาการเจ็บป่วยอย่างเห็นอกเห็นใจและมีเมตตา มิได้มีสีหน้าชิงชังรังเกียจแต่อย่างใด …ภายหลังหมอเทวดาน้อยก็เข้าไปรักษาด้วยตนเอง หลังจากตรวจดูอาการและสอบถามอย่างละเอียดแล้วจึงออกใบสั่งยาให้โดยไม่เห็นว่าทำพอผ่านๆ แม้แต่น้อย
ตลอดทางที่พวกหญิงแข็งแรงหามนางกลับไปก็ป่าวประกาศแซ่ซ้องความเมตตามีคุณธรรมดีงามและรูปโฉมเลิศเลอของเว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยว และคอยคะยั้นคะยอให้คนอื่นๆ อย่าได้พลาดโอกาสนี้ไป “ยาที่ได้มาวันนี้ล้วนเป็นฮูหยินเว่ยมอบให้ ทั้งค่ารักษาทั้งค่ายาล้วนไม่เก็บสักอีแปะ! แม่นางอู๋ก็ไม่รู้ว่าไปโชคดีมาแต่ที่ใด? แต่คนที่จัดยาให้ก็บอกแล้วว่า วันนี้ฮูหยินเว่ยไปเยี่ยมหมอเทวดาน้อย จึงนำยาไปด้วยพร้อมกันหลายคันรถ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้แล้ว … ต่อให้หมอเทวดาน้อยมีจิตเมตตา ไม่เก็บค่ารักษา แต่ยานี่ก็ยังต้องไปซื้อหาเองแล้วนะ!”
“หลายวันมานี้ ผู้คนร่ำรวยจากทั้งไกลใกล้ล้วนมาขอให้หมอเทวดาน้อยรักษาให้ แต่ยาในซีเหลียงของเราก็ยังไม่ทันขึ้นราคา! หากช้ากว่านี้สักหน่อย ไม่แน่ว่าต่อให้มีใบสั่งยาแล้วก็ยังหาซื้อยามากินไม่ไหวเลย!”
ทั้งแซ่ซ้องแกมข่มขู่ไปดังนี้ จึงมีคนทยอยกันก้าวเข้ามาในเหลาสุราด้วยความลังเล แรกเริ่มนั้นเป็นหญิงสองสามคนซึ่งโดยมากแล้วไม่ได้เจ็บป่วยหนักหนาอันใด …เพราะคนที่เจ็บหนักก็ต้องหามกันเข้ามาเหมือนกับคณิกาหลวงผู้นั้นจึงจะมาขอรับการรักษาได้…พอขึ้นมาข้างบนแล้ว ก็ไม่ต้องเข้ามาในฉากกันลม ตวนมู่ซินเหมี่ยวสั่งให้คนเอาด้ายแดงมาแล้วโยงออกไปใช้ตรวจชีพจร จากนั้นก็บอกเล่าอาการเจ็บป่วยและความเป็นมาของทุกคนได้อย่างสบายๆ พอเอ่ยออกไปก็ทำให้คนที่อยู่ทั้งในและนอกฉากกันลมร้องสรรเสริญเยินยอกันยกใหญ่ ต่างพูดกันไม่หยุดปากว่าสมกับเป็นศิษย์ของหมอเทวดา มีวิชาล้ำเลิศไร้เทียมทาน
เมื่อหญิงกลุ่มนี้ลงไปชั้นล่างและรับยาแล้ว ก็ถูกบิดาและพี่ชายที่อยู่แถวนั้นเข้ามาห้อมล้อม แล้วได้ยินว่าที่แท้ฮูหยินเว่ยก็อยู่ข้างบนด้วย ส่วนหมอเทวดาน้อยก็มีฝีมือแพทย์ล้ำเลิศนัก ประเด็นสำคัญคือทั้งสองท่านนี้เป็นคนที่มีฐานะสูงส่งไม่ธรรมดา แต่กลับมีอัธยาศัยดีเหลือหลายเหมือนกับที่เหล่าหญิงแข็งแรงบอกเอาไว้ ยาที่มาขอรับที่ชั้นล่างโดยไม่ต้องเสียเงินล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนมองเห็นอยู่ในสายตา …เมื่อนั้นเอง สายตาที่ทุกคนจับจ้องขึ้นไปที่ชั้นบนจึงร้อนระอุขึ้นมา!
…นางหวงเดินยิ้มเข้าประตูมาก เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้อยู่ข้างนอก จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ถามจูอี จูหลานที่ทำงานเย็บปักอยู่ตรงข้างหน้าต่างว่า “ฮูหยินน้อยเล่า? อยู่ข้างในหรือไม่?”
“อยู่เจ้าค่ะ” เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งก็ควบคุมทุกเรื่องในหมิงเพ่ยถังเอาไว้ในมือได้หมดแล้ว โดยมีนางหวงเป็นบ่าวคนสนิทอันดับหนึ่งของนาง สาวใช้ทั้งสองย่อมไม่กล้าเสียมารยาทกับท่านอาผู้นี้ ได้ยินคำจึงรีบว่างงานในมือ ลุกขึ้นมาเอ่ยเสียงเบาว่า “สองวันมานี้ ทุกวันฮูหยินน้อยล้วนไปอยู่กับคุณหนูตวนมู่แปดที่สถานรักษาการกุศลที่เหลาสุราไท่ผิงเจ้าค่ะ ทั้งต้องจัดเตรียมยาและต้องเป็นลูกมือให้แก่คุณหนูแปด ไปกลับมาทุกคราล้วนอ่อนล้านัก เมื่อครู่นี้เมื่อให้พวกพ่อบ้านแม่บ้านไปหมดแล้ว ฮูหยินน้อยก็บอกว่าจะนอนพักสักพักเจ้าค่ะ ตอนบ่ายจะได้ออกไปอย่างกระปรี้กระเปร่าเจ้าค่ะ”
นางหวงฟังออกว่าพวกนางไม่สนับสนุนให้ตนเองเข้าไปรบกวนในเวลานี้ จึงกลับยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “วันนี้เกรงว่าฮูหยินน้อยคงไม่ออกไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูตวนมู่แปดแล้วล่ะ …คุณชายมีจดหมายมาแล้ว!”
“หา?” จูอีและจูหลานสะดุ้ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างยินดีว่า “คุณชายเขียนจดหมายมาหาฮูหยินน้อยโดยเฉพาะหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นก็ดีเหลือเกินจริงๆ!”
ตอนที่เพิ่งมาทำงานใกล้ชิดเว่ยฉางอิ๋งนั้น พวกนางทั้งสองคนยังไม่ค่อยเข้าใจอุปนิสัยของเจ้านายจนจึงมีท่าทีประหม่าอยู่หลายวัน พอดีว่าไม่กี่วันก็มีจดหมายของ เสิ่นจั้งเฟิงมา เว่ยฉางอิ๋งดีใจเป็นอย่างมาก ยังพูดเล่นกับเหล่าสาวใช้ที่บังเอิญอยู่ตรงหน้าในเวลานั้นด้วย จึงทำให้นายบ่าวใกล้ชิดกันขึ้นมาทันใด นับแต่นั้นมาจูอีและจูหลานล้วนเฝ้าคอยให้เสิ่นจั้งเฟิงเขียนจดหมายมาบ่อยๆ ได้เป็นดี
ยามนี้มาได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงเขียนจดหมายมาอีกแล้วย่อมชอบใจกันใหญ่ ต่างบอกว่า “มิน่าท่านอาจจึงได้มาเอง!”
พวกนางสนทนากันทางนี้เสียงดังไปสักหน่อย ทำให้เว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ข้างในตื่นขึ้นมา แล้วเอ่ยถามผ่านประตูกั้น นางหวงรีบเข้าไปพลางหยิบเอาจดหมายในแขนเสื้อออกมา ยิ้มแล้วว่า “คุณชายให้คนที่ส่งรายงานในกองทัพนำจดหมายมาให้ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่กล้ารบกวน…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง เว่ยฉางอิ๋งก็กระโดดโหยงออกมาจากในมุ้ง เอ่ยอย่างยินดีว่า “เอามาให้ข้าอ่านเร็ว!”
นางรีบแกะออก เห็นว่าข้างในมีเพียงจดหมายบางๆ หน้าหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกทั้งผิดหวังและเป็นกังวลในใจ แอบเดาไปว่าสามีกำลังยุ่งหรือว่าเหน็ดเหนื่อยจึงเขียนมาเพียงน้อยนิดเท่านี้ …เมื่ออ่านดูอย่างละเอียดกลับต้องดีใจยกใหญ่ “ท่านพี่จะกลับมาแล้ว!”
นางหวงอมยิ้มพลางมองนางอ่านจดหมาย ได้ยินคำก็เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เสร็จศึกแล้วหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งอ่านจดหมายที่สามีบอกกับตนเองด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจว่าอีกไม่กี่วันก็จะกลับมาแล้ว นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหน้าบานว่า “ยังไม่เสร็จ แต่ดีชั่วอย่างไรท่านพี่ก็ต้องสละความชอบให้ผู้อื่น …เรื่องที่เหลือไว้ให้จัดการในตอนท้ายในเวลานี้ก็ควรเป็นผู้อื่นมาดูแลแล้ว! ฉะนั้นเข้าจึงสามารถกลับมาได้ไวสักหน่อย …อีกสามวันห้าวันก็จะมาถึงแล้ว!”
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องเตรียมตัวไว้สักหน่อย” นางหวงรีบถาม “ครานี้จะต้องเป็นชัยชนะใหญ่แน่นอน จะต้องจัดงานฉลองและส่งคนไปต้อนรับหรือไม่เจ้าคะ?”
“ท่านพี่บอกว่าเขากลับมาเพียงผู้เดียวก่อน มีสัมภาระในรถเพียงเล็กน้อย” สายตาของเว่ยฉางอิ๋งจดจ้องไปยังจดหมาย แล้วเอ่ยไปว่า “ฉะนั้นไม่ต้องทำการใดให้เอิกเกริกไป รอจนทัพใหญ่กลับมาค่อยจัดการเรื่องนั้นก็ยังไม่สาย”
นางหวงจึงเปลี่ยนมาพูดว่า “ตลอดระยะเวลามานี้คาดว่าคุณชายต้องเป็นกังวลกับการศึกจนเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องจัดการพิธีใดๆ ก็ดีนะเจ้าคะ จะได้ให้คุณชายกลับมาพักผ่อนสักหน่อยก่อน”
“เป็นดังว่าจริงๆ!” เว่ยฉางอิ๋งวางจดหมายลงแล้วพยักหน้า กล่าวว่า “ให้คนไปปัดกวาดห้องของท่านพี่ให้ดีๆ เสียก่อน ผ้านวมผ้าปูล้วนเอาออกมาตากแดด จากนั้นก็ให้คนซื้อของเตรียมของกินที่ท่านพี่ชอบเอาไว้ให้มากสักหน่อย แล้วในสองวันนี้ก็ให้ห้องครัวฝึกทำให้คล่องมือ ยังมีอีก ส่งคนไปแจ้งแก่ซินเหมี่ยวคำหนึ่งว่าบ่ายวันนี้ข้าไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนนางแล้ว และให้นางแจ้งกับทางเหลาสุราไท่ผิงด้วยว่าอีกสองวันท่านพี่จะกลับมาแล้ว ข้าจะต้องขอให้นางตรวจดูว่าท่านพี่ปลอดภัยดีแล้วจึงจะถึงคราวผู้อื่นมาตรวจรักษา …ให้ทางเหลาสุราไท่ผิงและเหล่าผู้มีตระกูลที่นัดเอาไว้ล่วงหน้าหลังจากนี้ไปสามวันห้าวันว่าให้พวกเขารอต่อจากข้าก่อน!”
นางหวงยิ้มแล้วว่า “ห้องของคุณชายนั้นปัดกวาดทุกวันอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่า …ก่อนหน้านี้คุณชายยังไม่หายดี จึงได้แยกห้องกับฮูหยินน้อย แต่เวลานี้คุณชาย….”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง แล้วหน้าก็ค่อยๆ แดงขึ้นมา จากนั้นจึงบอกว่า “อย่างไรก็ไปปัดกวาดสักหน่อยเถิด รอคนกลับมาแล้วค่อยว่ากัน!”
อีกสองสามวันต่อมา ทั่วทั้งหมิงเพ่ยถังก็ล้วนถูกเว่ยฉางอิ๋งจัดการจัดระเบียบอย่างรวดเร็วเร่งรัดขึ้นมา เดิมทีทุกคนก็เกรงกลัวเว่ยฉางอิ๋งเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อรวมกับเสิ่นจั้งเฟิงที่กำลังจะกลับมาพร้อมชัยชนะ แม้ครานี้เขาจะไม่ได้รับความชอบในลำดับต้นๆ แต่ทุกคนใน ซเหลียงล้วนรู้ว่าหากครานี้ไม่ได้เสิ่นจั้งเฟิงวางแผนอย่างรัดกุม ข่านของพวกชิวตี๋ก็คงจะหนีรอดได้อีกครั้ง …จึงอดทำให้บารมีของเขาเฟื่องฟูขึ้นมาไม่ได้
ฉะนั้นผู้คนทั้งหมดล้วนไม่กล้าชักช้า ต่างเก็บกวาดจัดแจงหมิงเพ่ยถังเสมือนใหม่ทั้งหลัง และกลับเรียบร้อยกว่าตอนปีใหม่เสียอีก
เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางโดยมี ‘จี๋หลี’ คุ้มครองกลับมา เมื่อได้มาเห็นภาพนี้ก็แอบพยักหน้าในใจ ด้วยรู้ว่าในช่วงเวลาที่ตนจากไปนี้ภรรยาก็มิได้ถูกคนในตระกูลต่อต้าน หากแต่กลับสามารถเข้ามาควบคุมหมิงเพ่ยถังได้อีกระดับหนึ่งแล้ว
แม้ว่าหลังจากเว่ยฉางอิ๋งได้รับจดหมายแล้ว ก็แทบทนรอจะกระโจนขึ้นหลังม้าและควบบังเหียนออกไปร้อยลี้เพื่อพบเขาในทันใดไม่ไหว ทว่าด้วยฐานะของฮูหยินน้อยผู้ปกครองบ้าน จึงต้องหักห้ามใจจากความหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ทั้งยังขู่ให้กู้โหรวจางที่คอยทำให้นางรำคาญใจตกอกตกใจหนหนึ่งด้วย…ว่าให้นางนำคนออกไปต้อนรับที่ประตูรองเสียในยามนี้ … ด้วยฐานะของตนจึงไม่อาจนำความคำนึงถึงสามีที่มีอยู่เต็มอกมาใช้ในเรื่องใดๆ มากมายเกินไปนัก นอกจากไปจัดแจงเก็บกวาดหมิงเพ่ยถังทั้งหมดและจัดเตรียมอาหารที่สามีชอบทานเอาไว้แล้ว นางก็ล้วนใช้ความคำนึงถึงนั้นมาใช้ในการแต่งเนื้อแต่งตัว
วันนี้นางสวมเสื้อผ้าที่ตัดมาใหม่ เป็นเสื้อส้างหรูแขนกว้างสาบคู่ปักลายกิ่งก้านดอกมู่ตานบนผ้าพื้นสีส้มแดง ข้างในสวมเอี๊อมเกาะอกสีงาช้างปักลายดอกบัวคู่ คาดกระโปรงตัดเย็บจากผ้าสิบสองชิ้นสลับสีหลากสี เอวคาดเข็มขัดหยก สวมกำไลทองที่ข้อมือ มวยผมเป็นวงแหวนสูงๆ อยู่บนหัว ปิ่นดอกไม้หกอันเป็นประกายอร่ามตายามอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ข้างหูสวมต่างหูหยกรูปปีกหงส์คู่ จนทำให้คอสะท้อนออกเป็นสีเขียวทั้งแถบ …ซึ่งนี่ก็เป็นของกำนัลที่ฮูหยินซูให้มาตอนที่นางยกน้ำชาหลังแต่งเข้าบ้านมา
ทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับที่นางสวมใส่ แม้แต่ของกำนัลวันพบหน้าที่แม่สามีให้มาก็ยังนำมาใช้แล้ว ทว่าหน้าตากลับแต่งอย่างบางเบานัก แค่เพียงเขียนคิ้วบางๆ และแต้มจุดแดงเล็กๆ ที่หว่างคิ้วเท่านั้น ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็งดงามมาแต่กำเนิด งามเสียยิ่งกว่ามวลดอกไม้ แม้ใบหน้าจะไม่ได้แต่งแต้มแต่กลับงามล้ำเกินผู้คนทั่วไปแล้ว นางแย้มยิ้มอยู่ท่ามกลางสาวใช้หน้าตาสะสวยรออยู่ที่ประตูวงพระจันทร์ กลับมิได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่าจะถูกเสื้อผ้าและเครื่องประดับมาช่วงชิงความโดดเด่นไป กลับกันยิ่งขับให้ความงามของนางเด่นชัดขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นเองเสิ่นจั้งเฟิงพลันนึกถึงความชื่นมื่นภายในห้องนอนครั้งแต่งงานใหม่ ครานั้นตื่นนอนตอนเช้า ตนเองรวบรวมความกล้าเสนอตัวไปขอแต่งหน้าให้ภรรยา แต่กลับทำเป็นแค่เขียนคิ้วให้นางเท่านั้น เมื่อถูกภรรยาเอ็ดเอาก็ขืนทำหน้าหนาแต้มจุดแดงเล็กๆ ไปที่หว่างคิ้วนาง แล้วหาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้ามากลบเกลื่อนเรื่องที่ตนทาแก้มไม่เป็นไปเสีย …นั่นเองเขาจึงร้อนวูบวาบขึ้นมาในใจ ยังไม่ทันรอให้ภรรยาออกปากก็รีบสาวเท้าเข้าไปจูงมือนาง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าไปรอข้าข้างในเป็นพอแล้ว ไยยังต้องมาอยู่ที่ทางลมเล่า?”
ท่ามกลางสายตาของผู้คน ต่อให้ในใจเขาจะมีคำหวานอีกมากมายเท่าใดก็ทำได้เพียงเอ่ยถามไปดังนี้เท่านั้น เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าเขากุมมือนางแน่นนัก พลันรู้สึกปลาบปลื้มยินดีจนไม่อาจอธิบายได้ นางเม้มปาก กล่าวว่า “เจ้าจากไปหลายวันเพิ่งจะกลับมา แล้วจะไม่มารับได้ที่ใด? น่าเสียดายที่ในบ้านมีเรื่องมากมาย จึงทำได้เพียงมารอเจ้าที่นี่เท่านั้น”
นางหวงอมยิ้มแล้วเข้ามาช่วยพูดว่า “คุณชายเดินทางมาตลอดทางเต็มไปด้วยฝุ่นผง ฮูหยินน้อยเตรียมน้ำอุ่นดอกกล้วยไม้เอาไว้แล้ว หลังจากคุณชายอาบน้ำแล้วก็ต้องขอเชิญไปเปิดงานเลี้ยงด้วยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งกลัวว่าสามีจะเข้าใจผิดว่าตนเองมาเสนอให้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตลับหลังเขาจึงรีบเสริมไปว่า “เป็นเพียงงานเลี้ยงในบ้าน มีเพียงเจ้ากับน้องชายสี่เท่านั้น”
…เพราะเสิ่นจั้งฮุยเป็นชาย เรื่องต่างๆ ในหมิงเพ่ยถังจึงล้วนเป็นพี่สะใภ้ดูแลจัดการ เขาจะมาก้าวก่ายได้อย่างไร เสิ่นจั้งฮุยที่ตัวเบาสบายเพราะไม่มีเรื่องต้องรับผิดชอบจึงออกไปต้อนรับพี่ชายสามของตนที่นอกเมือง เวลานี้จึงเดินตามเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามา และอยู่ข้างหลังเสิ่นจั้งเฟิงครึ่งก้าว
ทว่าต่อให้เขาไร้เดียงสากล่อมง่ายเพียงใด แต่นับตั้งแต่พี่สะใภ้สามเห็นพี่ชายสาม สายตาของนางก็ไม่ได้มองมาทางเขาสักครั้ง แม้แต่เขาเข้าไปคารวะทักทาย พี่สะใภ้ พี่สะใภ้ก็ยังไม่สนใจเขาเลย … เมื่อเป็นดังนี้แล้ว หากเขายังไม่รู้อีกว่างานเลี้ยงภายในบ้านที่เว่ยฉางอิ๋งจัดขึ้นครานี้ ความจริงแล้วเอาไว้ให้ใครทานกับใคร เขาก็โง่เต็มทนแล้ว!
ยิ่งไม่ต้องบอกว่าด้วยเรื่องกลุ่มหญิงงามเมื่อคราวก่อน เสิ่นจั้งฮุยก็ถูกพี่สะใภ้สามด่าทอไปแรงๆ หนหนึ่ง นับแต่นั้น เมื่อมาพบกับเว่ยฉางอิ๋งเขาก็ค่อนข้างเข็ดขยาย แล้วครานี้จะกล้าไม่รู้จักคิดได้อย่างไร?
เขาจึงรีบบอกว่าตนเองยังมีเรื่องอื่นต้องไปทำ จึงไม่มีเวลามาทานอาหารกับพี่ชายสาม ไม่มีเวลาเลยจริงๆ ฉะนั้นจึงของให้พี่สะใภ้สามทานเลี้ยงกับพี่ชายสามเถิด …เมื่อเอ่ยคำนี้จบ ที่สุดพี่สะใภ้สามก็สัมผัสถึงความมีตัวตนอยู่ของเขาแล้ว และส่งสายตาชมเชยให้เขาคราวหนึ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มหวาน …เสิ่นจั้งฮุยแอบปาดเหงื่อ เพราะความจริงแล้วตนเองอยากจะอยู่ต่อเพื่อสอบถามเรื่องการศึกสักหน่อยน่ะสิ! ทว่าเมื่อเห็นว่าพอพี่สะใภ้สามส่งสายตาชมเชยมาให้ตนแล้วก็หันเหสายตาไปที่ตัวของพี่ชายสามทันใด ส่วนพี่ชายสามเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของตนก็มิได้มีท่าทีจะรั้งเขาไว้แม้แต่น้อย เพียงเอ่ยไปคำหนึ่งว่า “เจ้าอย่าห่วงแต่เล่นเล่า” ต่อให้คนเป็นพี่ชายพยายามแสดงท่าทีปกครองและควบคุมน้องชายอย่างเต็มกำลังแล้ว แต่เพียงคิดก็รู้แล้วว่าหากตนเองยังทำหน้าหนาขออยู่ต่อ ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งเท่านั้นที่จะหาเรื่องมาเล่นงานเขา …แต่เกรงว่าจะไปล่วงเกินสามีภรรยาคู่นี้เข้าให้ทั้งสองคนเสียอีก…
“เฮ่อ ไม่รู้ว่าเหม่ยเหนียงจะมาที่ซีเหลียงนี่ได้หรือไม่?” เมื่อเสิ่นจั้งฮุยเห็นท่าทีรักใคร่กันลึกซึ้งของพี่ชายสามและพี่สะใภ้สามเมื่อได้มาพบกันหลังจากแยกห่างกันเนิ่นนาน เขาย่อมคิดถึงเผยเหม่ยเหนียงภรรยาของตนที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว …เมื่อมีความคิดนี้ขึ้นมา ก็กลับนึกได้ว่า “ในเดือนหนึ่งเหม่ยเหนียงก็ควรจะคลอดลูกแล้ว ยามนี้ก็ปลายเดือนสามแล้ว …เหตุใดจึงยังไม่เห็นมีจดหมายมาเล่ารายละเอียดเรื่องนี้?”
จึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นในใจ
______________