ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 36 ไม่สมบูรณ์แต่กำเนิด
ณ จวนเซียงหนิงปั๋ว เมืองหลวง
เสิ่นจั้งจูที่มาดูแลจวนแทนน้องสะใภ้เป็นการชั่วคราวนำทางฮูหยินหมิ่นและเผยลี่เหนียงบุตรสาวคนเล็กของนางเข้ามาในเรือนหลังด้วยตนเอง
ทั้งนอกและในจวนของขุนนางผู้สูงศักดิ์ล้วนจัดแจงอย่างสะอาดและเรียบร้อยเป็นพิเศษ เพียงแต่พวกบ่าวที่เดินไปมาล้วนระมัดระวังกันเสียยิ่งนัก ด้วยกลัวว่าหากทำสิ่งใดไม่ดีก็จะทำให้นายที่กำลังมีอารมณ์ย่ำแย่โมโหโกรธาเอา
ด้วยเรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนรองของฮูหยินหมิ่นเมื่อสองสามเดือนก่อนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั้งเมื่อหลวง ว่าบุตรสาวทั้งสองคนของฮูหยินสูงศักดิ์ผู้นี้ล้วนได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้แต่งกับบุตรชายจากภรรยาเอกของ ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งสิ้น จึงทำให้นางพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ทว่าในขณะนี้นางกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมทั้งมีความกังวลอยู่ภายใน ยังไม่ทันเดินมาถึงในเรือนที่เผยเหม่ยเหนียงอาศัยอยู่ นางก็หักห้ามความร้อนใจไม่ไหว เอ่ยถามเสิ่นจั้งจูไปเบาๆ ว่า “ขอบังอาจถามคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ หลานสาวของข้าผู้นั้น …ยามนี้ปกติดีอยู่หรือไม่?”
เสิ่นจั้งจูยิ้มเจื่อนๆ ไปคราวหนึ่ง ถอนใจแล้วว่า “ก่อนนี้ท่านป้าใหญ่มาดูด้วยตนเองเจ้าค่ะ บอกว่า …หากท่านหมอเทวดาจี้ศิษย์อาจารย์อยู่ในเมืองหลวงสักคนก็คงดีเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินหมิ่นพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ อดกำมือเผยลี่เหนียงบุตรสาวคนเล็กที่อยู่ข้างๆ แน่นๆ ไม่ได้ …เที่ยงวันที่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง เผยเหม่ยเหนียงครบอายุครรภ์และคลอดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง
แม้จะเป็นบุตรสาว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นหลานคนแรกของจวนเซียงหนิงปั๋วในรุ่นนี้ ทั้งยังเกิดจากภรรยาเอกด้วย ฉะนั้นเมื่อได้รับข่าวนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเสิ่น หรือตระกูลเผยก็ล้วนมาแสดงความยินดีกันอย่างมีความสุข เพียงแต่ฮูหยินหมิ่นเพิ่งจะยินดีที่เผยเหม่ยเหนียงคลอดได้อย่างราบรื่น ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ของกำนัลแสดงความยินดียังไม่ทันจัดเตรียมจนพร้อมสรรพเลย นางก็ได้รับข่าวไม่ดีข่าวหนึ่งว่าอาการของหลานสาวยายที่เพิ่งคลอดไม่ดีเอาเสียเลย
ฮูหยินซูเร่งมาคอยเฝ้าที่นอกห้องคลอดเพื่อแสดงว่านางให้ความสำคัญกับหลานสะใภ้และหลานย่าที่จะเกิดมา แต่เสียงร้องตอนหลังคลอดของทารกหญิงที่จนยามนี้ก็ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อก็ทำให้นางแอบตกใจอยู่ในใจ ฮูหยินซูเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน พอได้ยินเสียงร้องไห้บางๆ เบาๆ ที่บ่งบอกว่าลมปราณส่วนกลางไม่พอ ก็เกรงว่าหลายย่าตัวน้อยผู้นี้เกิดมาจะค่อนข้าง….
ทว่าตอนนั้นเมื่อได้ยินว่าที่สุดเด็กคลอดออกมาแล้ว เผยเหม่ยเหนียงก็เหน็ดเหนื่อยจนหมดสติไป แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอันใด ทุกคนล้วนป่าวประกาศข่าวดีกันไปทั่ว นางจึงไม่เหมาะจะทำให้เสียบรรยากาศ ปรากฏว่าหลังจากเด็กอาบน้ำล้างตัวและห่อผ้าเรียบร้อยแล้วและอุ้มออกมาให้ฮูหยินซูดู ฮูหยินซูมองแวบแรกก็พลันใจหายวาบไปครึ่งหนึ่ง นับไปแล้วเด็กคนนี้คลอดหลังจากครบอายุครรภ์ดีแล้ว แม้จะเป็นเด็กหญิง จึงไม่ดีแข็งแรงเหมือนตอนที่เสิ่นซูกวงคลอด แต่ว่ากันตามหลักแล้วหากจะผอมกว่าสักหน่อยก็พอจะเป็นไปได้
แต่ห่อผ้าที่ฮูหยินซูอุ้มอยู่ในอกนี้กลับเบานัก ไม่มีความรู้สึกหนักเหมือนตอนที่ ย่ารับเสิ่นซูกวงมาอุ้มในครั้งแรกแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านี้ ใบหน้าน้อยๆ ที่โผล่ออกมาจากในผ้าห่อตัวนั้น ผิวหนังสีแดงๆ ของเด็กเพิ่งคลอดกลับออกเป็นสีเหลือง เสียงร้องไห้ก็บางเบาอ่อนแรง …ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นลักษณะของเด็กที่ไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด
ฮูหยินซูมองออก นางหลิวและนางตวนมู่ที่มาพร้อมกับแม่สามีก็ล้วนเป็นคนที่มีบุตรชายบุตรสาวมาแล้ว จึงต่างมองออกว่าหลานสาวที่เพิ่งคลอดใหม่นี้ไม่ใคร่สมบูรณ์นัก พวกนางเคยต้องเดือดร้อนด้วยกรณีของจวนหนิงปั๋วมาก่อน ครานี้ย่อมไม่กล้าไปพูดมาก ทว่าก็เก็บความยินดีปรีดาที่เตรียมไว้ก่อนหน้ากลับไป แล้วเอ่ยไปเรียบๆ สองสามคำว่า “เป็นเด็กกตัญญูเหมือนกวงเอ๋อร์ ไม่ทำให้แม่ต้องทรมานยามคลอดออกมา”
“ดวงตาดูแล้วเหมือนน้องชายสี่นัก วันหน้าจะต้องเป็นเด็กที่หน้าตางดงามเป็นแน่”
เวลานั้นเป็นเพราะเผยเหม่ยเหนียงหมดแรง พอได้ยินว่าลูกคลอดออกมาแล้วจึงวางใจและหมดสติไป ส่วนคุณหนูใหญ่เสิ่นจั้งจูซึ่งเป็นแม่ม่ายจึงกลัวว่าความอัปมงคลของตนจะไปชงยามน้องสะใภ้คลอด นางจึงรอจนได้ยินวาหลานสาวคลอดออกมาอย่างราบรื่นและน้องสะใภ้ก็ปลอดภัยแล้วจึงรีบเดินทางมาดูหลานป้าแท้ๆ ของตน …นางเป็นหญิงม่ายผู้หนึ่ง แม้ว่าวันหน้าตระกูลซูจะมีทายาทมากมายและจะยกให้มาเป็นบุตรบุญธรรมของนาง แต่นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทายาทของตระกูลซูก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับนาง หรือต่อให้มีก็ล้วนต้องนับอ้อมไปมาหลายรอบ แล้วจะเหมือนกับหลานป้าแท้ๆ ได้ที่ใด?
แต่ไม่คิดว่าเมื่อนางมาถึงกลับเห็นว่าฮูหยินซูและสะใภ้ทั้งสามคนล้วนมีสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก …เสิ่นจั้งจูจึงรู้สึกสงสัยในใจ ทว่าหลังจากคำนับและทักทายแล้วก็ยังอดจะถามไถ่ถึงหลานสาวขึ้นมาไม่ได้ …เมื่อรู้ว่านางถูกแม่นมพาเข้าไปในห้องที่ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว เสิ่นจั้งจูจึงวิ่งเข้าไปดูด้วยความยินดี และได้เข้าใจในทันที…
เดิมทีเสิ่นจั้งจูไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน และเคยพบเห็นเด็กแรกคลอดมาก็ไม่มาก จึงไม่กล้ามองเพียงครั้งสองครั้งก็มั่นอกมั่นใจว่าหลานสาวมีร่างกายไม่ดี
แต่สามเดือนก่อนหน้านี้ ตอนเดือนสิบเอ็ดปีก่อน ชุ่ยเยียนอนุของเสิ่นเหลี่ยนสือได้คลอดบุตรชายคนแรกให้แก่เขา หลังจากเด็กที่เพิ่งตั้งชื่อให้ไม่นานว่าซูอี้ผู้นั้นเพิ่งคลอดออกมาก็ถูกตวนมู่เยี่ยนอวี่อุ้มเอาไปเลี้ยงดูที่เรือนของตน เมื่อเสิ่นจั้งจูไปแสดงความยินดี นางจึงเคยเห็นมาคราวหนึ่งและยังเคยอุ้มด้วย …เมื่อมาเทียบกันนางจึงมองออกแล้ว!
ความจริงก็เป็นดังเช่นที่พวกนางเป็นกังวล เสียงร้องไห้ของทารกหญิงบางเบา หลังจากคลอดออกมาได้ไม่กี่ชั่วยาม กระทั่งลมหายใจก็ยังค่อยๆ นิ่งลงไป …ทำเอาแม่นมตกอกตกใจจนนางต้องล้มลุกคลุกคลานอุ้มออกมาร้องเรียกคน เพราะจี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ล้วนไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ฉะนั้นคนที่น่าเชื่อถือมากที่สุดก็คือหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแล้ว
เมื่อหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงเร่งเดินทางมาถึงก็ตรวจอาการดูอย่างระมัดระวัง แต่กลับมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือคุณหนูหลานห้าตระกูลเสิ่นผู้นี้ไม่มีโรคร้ายอันใด ส่วนข่าวร้ายก็คือคุณหนูหลานห้าไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิดจริงๆ สภาพร่างกายแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมาก จึงจำเป็นต้องบำรุงรักษาเป็นเวลานาน
เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงสามารถรักษาได้ ทุกคนในตระกูลเสิ่นจึงโล่งอกยกใหญ่ ทว่าที่บอกว่าต้อง ‘บำรุงรักษาเป็นเวลานาน’ นี้ กลับทำให้ทุกคนปวดหัวขึ้นมา นั่นเพราะการบำรุงรักษาต้องดื่มยา แต่คุณหนูหลานห้ายังเล็กเกินไป!
เด็กตัวเล็กๆ เพียงเท่านี้ ดื่มเป็นแต่นมเท่านั้น แล้วจะให้นางกินยาอย่างไร? ต่อให้เอาน้ำยาหลอกล่อให้นางดื่มเหมือนดื่มนม แล้วนางจะกินได้กี่มากน้อยกัน? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดื่มยาแล้ว นางก็จะดื่มนมไม่ลงแล้ว เมื่อไม่มีน้ำนมเข้าไปช่วยสร้างเสริมร่างกาย ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอลงอีก …ร่างกายที่ไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิดก็ทำให้อ่อนแออยู่แล้ว แล้วจะให้นางอ่อนแอลงไปอีกได้อย่างไร?
ฉะนั้นจึงทำได้เพียงให้แม่นมให้นางดื่มยาลงไปก่อน แล้วค่อยให้นางดื่มน้ำนมตาม …เมื่อต้องใช้วิธีส่งต่อทอดกันไปเช่นนี้ก็ยิ่งจะทำให้บำรุงร่างกายได้ช้าลงอย่างมาก
แล้วนางก็ดันมาเกิดในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เพิ่งเกิดมาไม่กี่วันก็มาพบกับอากาศที่เปลี่ยนจากอบอุ่นมาเป็นหนาว แม้ว่าเผยเหม่ยเหนียงจะตั้งหน้าตั้งตาดูแลด้วยตนเองทุกอย่าง แต่เห็นหรือไม่เล่า เพียงไม่ระวังแค่เล็กน้อย นางก็เกิดป่วยขึ้นมาแล้ว!
วันนี้ฮูหยินหมิ่นพาเผยลี่เหนียงมาด้วยก็เพื่อมาเยี่ยมดูอาการป่วยของนาง
เดิมทีเด็กเล็กๆ ในวัยนี้ก็เลี้ยงดูไม่ง่ายนักอยู่แล้ว และเด็กที่เกิดในตระกูลใหญ่โตก็ยิ่งได้รับการดูแลที่ดีเป็นพิเศษเข้าไปอีก …เด็กทารกอายุสองเดือนกว่ามีร่างกายอ่อนแอเจ็บอดๆ แอดๆ จะสามารถอยู่รอดจนเติบใหญ่ได้หรือไม่ล้วนเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก ฉะนั้นแม้คนที่ไปรายงานที่บ้านเผยว่าคุณหนูหลานห้าตระกูลเสิ่นเพียงแค่ไอเล็กน้อย แต่ฮูหยินหมิ่นก็ยังกระวนกระวายใจนัก แม้จะเป็นบุตรสาวคนโตแต่ก็เป็นทายาทของตระกูลเสิ่นนี่! โดยเฉพาะเวลานี้เสิ่นจั้งฮุยที่รักหลงภรรยายิ่งนักก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หลังจากที่เขาส่งพี่สะใภ้ไปซีเหลียงแล้ว ได้ยินว่าก็ไปฝึกฝนอยู่กับ เสิ่นจั้งเฟิงเสียเลย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะกลับมายามใด …และมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนที่เขากลับมาจะพาหญิงคนใหม่ กระทั่งบุตรชายบุตรสาวของอนุมาด้วยหรือไม่…
เผยเหม่ยเหนียงมีบุตรคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง อย่างไรก็พอมีที่ให้พึ่งพิงได้! ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เผยเหม่ยเหนียงเพิ่งจะแต่งเข้ามาก็ล่วงเกินคนทั้งบ้านสามีเอาไว้ไม่เบาเลย ครานี้ถ้าเกิดว่าบุตรสาวของนาง… ไม่แน่ว่าในคำครหานินทาก็จะพากันบอกว่าเป็นเพราะความผิดของนาง…
สรุปก็คือในใจของฮูหยินหมิ่นกำลังว้าวุ่นเต็มกำลัง!
เมื่อมาถึง ในเรือนที่เผยเหม่ยเหนียงอยู่ก็เงียบสงัดนัก เหล่าสาวใช้และบ่าวต่างๆ เมื่อเห็นว่ามีคนมาก็โน้มตัวลงคำนับมาแต่ไกลๆ แต่ยังไม่ทันเอ่ยคำทักทายสักคำ ก็มีสีหน้าตื่นตระหนกออกมา …เสิ่นจั้งจูและฮูหยินหมิ่นเห็นดังนั้นก็รู้ทันดีว่าเผยเหม่ยเหนียงจะต้องเพิ่งอาละวาดมาแน่ๆ จึงยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากเข้าไปอีก
เมื่อเข้าไปในเรือนก็เห็นสาวใช้รุ่นโตสองสามคนยืนประสานมืออยู่ในโถง ม่านกั้นระหว่างทางเข้าไปห้องก็ปิดอย่างสนิทมิดชิด
สาวใช้คนสนิทของเผยเหม่ยเหนียงค่อยๆ พาบ่าวคนอื่นๆ เข้ามาคารวะและกล่าวคำทักทาย เอ่ยไปเบาๆ ว่า “ฮูหยินน้อยกำลังปลอบคุณหนูหลานห้าอยู่ข้างในเจ้าค่ะ”
ในห้องไม่ยินเสียงใดๆ ทุกคนจึงให้สาวใช้อยู่ข้างนอก แล้วถอดเครื่องประดับออก จึงค่อยแหวกม่านเข้าไปภายในอย่างระมัดระวัง
พอเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ของยาลอยมาก่อน แล้วมองเห็นว่าเผยเหม่ยเหนียงสวมชุดอยู่บ้านกลางเก่ากลางใหม่นั่งอยู่บนตั่งนั่งข้างหน้าต่าง ใบหน้าขอนางเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเป็นกังวล มองเหม่อพลางกอดห่อผ้าห่อตัวเล็กๆ เอาไว้ ห่อผ้านั้นห่ออย่างมิดชิดนัก ใบหน้าเล็กๆ ที่โผล่พ้นออกมาดูขาวกว่าเมื่อตอนแรกคลอดมากนัก แต่กลับเห็นชัดว่าซีดเหลือทน หลับตา ขมวดคิ้วน้อยๆ ของนางเล็กน้อย และกำลังหลับอยู่
มีแม่นมและบ่าวชราคอยยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนล้วนตามองจมูก จมูกก็ลงมาที่หัวใจ ไม่กล้าจะส่งเสียงแม้สักคำ
“ท่านแม่?” เผยเหม่ยเหนียงเห็นคนเข้ามา แรกเริ่มก็ขมวดคิ้วก่อน รอจนเห็นคนชัดเจนแล้วจึงมีท่าทีโล่งอก แล้วอุ้มบุตรสาวพลางลุกขึ้น “ลำบากพี่หญิงใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” แล้วทักทายน้องสาวของนางคำหนึ่ง “ลี่เหนียงไยวันนี้เจ้าจึงมาด้วยเล่า?”
จิตใจของฮูหยินหมิ่นและเสิ่นจั้งจูล้วนอยู่ในห่อผ้าห่อตัวที่อยู่ในอกนาง พลันถามพร้อมกันว่า “อาการไอของลูกเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?”
กลับเป็นเผยลี่เหนียงที่เอาแต่จดจ้องอยู่ที่ตัวหลานสาว และตอบเสียงเบาไปคำหนึ่งว่า “ท่านแม่พาข้ามาด้วย”
แต่จิตใจของเผยเหม่ยเหนียงในเวลานี้ล้วนอยู่ที่ตัวบุตรสาว กลับไม่ได้ยินคำตอบของนางชัดเจนนัก นางกลั้นความเจ็บปวดใจและกังวลใจเอาไว้ แล้วตอบมารดาและพี่สามีไปว่า “เมื่อครู่นี้ท่านอาเฉาเพิ่งจะดื่มยาของท่านหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงไป แล้วก็นางดื่มนมไปคราวหนึ่ง เวลานี้นอนหลับไปแล้ว และหยุดไอชั่วขณะแล้วเจ้าค่ะ”
“มีไข้หรือไม่?” เพราะฮูหยินหมิ่นเลี้ยงดูบุตรสาวสองคนและลูกๆ ของอนุอีกจำนวนมากมาจนโต เข้าใจเป็นที่สุดว่าการดูแลเด็กเล็กๆ ในช่วงวัยเช่นนี้ยากลำบากเพียงใด จึงเอ่ยถามต่อไปดังนี้
คำถามนี้ทำเอาเผยเหม่ยเหนียงเกือบจะร้องไห้โฮออกมาด้วยความทุกข์ใจ! ตานางแดงก่ำขึ้นมาในทันใด แต่ก็กลัวว่าจะเสียงดังจนทำให้บุตรสาวตื่น นางจึงสะกดกลั้นอารมณ์อยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “มีไข้เจ้าค่ะ และยังไม่ลดลงด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหมิ่นพลันสูดหายใจลึก …เด็กตัวเล็กๆ เพียงเท่านี้ ลำพังแค่ไอก็กลัวจะไอจนคอเสียหายแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยดีๆ คนหนึ่ง ดูจากโครงหน้าก็รู้ว่าวันหน้าจะเติบโตมามีหน้าตางดงามได้อย่างไม่ยากเย็น แต่หากวันหน้า พอเอ่ยปากออกมาก็เป็นน้ำเสียงที่แหบแห้งแล้วจะทำเช่นไรกันเล่า! แต่กลับไม่คิดว่ายังมีไข้ขึ้นมาอีก ในระยะนี้มีเด็กในตระกูลใหญ่โตต่างๆ ที่อายุราวสิบขวบที่ต้องเสียชีวิตไปเพราะไม่ไข้สูงอยู่บ่อยครั้ง ฮูหยินหมิ่นก็ยังเคยเห็นว่าบุตรหลานของพี่น้องต้องเสียชีวิตไปเพราะสาเหตุนี้มาแล้วสองสามครั้ง นับประสาอะไรกับทารกหญิงที่อายุเพิ่งจะสองเดือนกว่า?
ใจนางเต้นไม่เป็นส่ำ แต่เห็นว่าเผยเหม่ยเหนียงบุตรสาวของตนกำลังอยู่ในอาการที่สามารถร้องไห้ฟูมฟายออกมาได้ทุกเมื่อ และเสิ่นจั้งจูเองก็มีสีหน้าซีดขาวนัก ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หากนางเอ่ยสิ่งที่ตนคาดเดาออกไปตามความจริง ยังกลัวว่าเผยเหม่ยเหนียงจะไม่เป็นลมล้มพับไปอีกหรือ?
ฮูหยินหมิ่นจึงรีบขบปลายลิ้นเอาไว้ บังคับให้ตนเองหนักแน่นเข้าไว้ ฝืนยิ้มแล้วว่า “ไม่เป็นไร ยามนี้หลับไปก็ไม่ไอแล้ว เห็นได้ว่าไม่ได้ไอรุนแรงอันใดนัก …ผ่านไปสักพักไข้ก็คงจะลงแล้ว มิใช่ว่าท่านหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงสั่งยามาให้แล้วหรือ? บางทียาอาจยังไม่ออกฤทธิ์ก็เป็นได้”
ยามนี้ในใจของเผยเหม่ยเหนียงสับสนว้าวุ่นเป็นที่สุด ไม่ได้สนใจสิ่งใดทั้งนั้น เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนี้ นางก็กลับมีความหวังเส้นบางๆ ขึ้นมา “ท่านหมายความว่า …ไม่เป็นอันใดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
________________