ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 43-1 สามพันตำลึงทอง
ภายใต้สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้และเฝ้ารอของทุกคน เฉายาเอื้อมมือออกมา มือน้อยๆ นั้นผ่ายผอมกว่ามือของเด็กในวัยเดียวกันซึ่งที่จริงแล้วควรจะอ้วนพีเหมือนที่เว่ยฉางอิ๋งเคยพบเห็นมา แล้วแกะห่อกระดาษน้ำมันออกด้วยท่าทีออกจะงกๆ เงิ่นๆ
กระดาษน้ำมันที่มีผ่านยุคสมัยมายาวนานจึงแห้งกรอบแล้ว เมื่อนางขยับมือมันก็ส่งเสียงดังกรอบแกรบและมีเศษกระดาษเล็กๆ หลุดร่วงลงมาบนพรมปักดิ้นทองราคาเท่าทองพันชั่งภายในหมิงเพ่ยถัง
แต่ยามนี้ไม่มีผู้ใดมีแก่ใจไปสนใจเรื่องนี้ ต่างพากันจับจ้องตาไม่ขยับจนกระทั่งกระดาษน้ำมันชั้นสุดท้ายร่วงลงมา…
“นี่คือสิ่งใด?”
เมื่อมองเห็นของที่อยู่ในห่อกระดาษน้ำมันอย่างชัดเจนแล้ว ทุกคนทั้งที่นั่งข้างบนและข้างล่างโถงล้วนพากันตาค้างปากค้าง!
“ซี….” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงน้อยๆ แล้วเอนตัวไปพิงด้านหลัง พลางมองไปยังมู่ชุนเหมียนด้วยสายตาเย็นเฉียบ กล่าวว่า “ท่านหัวหน้าป้อมมู่ หรือว่าพวกท่านแม่ลูกทั้งสองคน ตั้งใจมาฆ่าเวลากับพวกเราโดยเฉพาะ!”
ยามนางเอ่ยไปเช่นนี้ก็กวาดตาเย็นเฉียบไปยังเสิ่นหลุนด้วย …เสิ่นหลุนพลันมีเหงื่อไหลอาบดังน้ำฝนในทันใด!
เพียงแค่ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังถูกของที่ที่สุดก็เผยออกมาจากในห่อกระดาษน้ำมันทำเอาตกตะลึงจนหมดคำพูด แม้ยามนี้เขาจะกลัวว่าตนเองทำงานไม่ได้ความและไปล่วงเกินฮูหยินน้อยน้อยผู้นี้เข้า แต่ก็กลับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี…
บนกระดาษน้ำมัน พลันมีเศษผ้าผุๆ ชิ้นหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด
ไม่เพียงเป็นเศษผ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคราบที่มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเป็นรอยเลือดหรือว่าเป็นคราบน้ำมันหรือว่าเป็นคราบสกปรกอันใดอยู่เต็มไปหมด เพราะเก็บเอาไว้นานเกินไป จึงมองไม่ออกแล้วว่าเดิมทีผ้านี้เป็นสีอะไร กระทั้งเมื่อเปิดออกมาแล้วก็ยังไม่มีกลิ่นแปลกๆ แต่อย่างใด ….แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร มันก็คือเศษผ้าผุๆ ชิ้นหนึ่ง! ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเศษผ้าผุๆ ชนิดที่หากเอาไปโยนทิ้งไว้มุมถนนใด ก็เกรงว่าแม้แต่ขอทานก็ยังคร้านจะเก็บเลย…
อีกทั้งไม่ได้มีขนาดใหญ่ กลับเล็กว่าฝ่ามือของเฉายาอีกเล็กน้อย หากมิใช่ว่าสายตาของทั้งเว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวล้วนดีอย่างยิ่ง ก็คงต้องให้คนเอามาให้ดูตรงหน้าจึงจะมองเห็นชัด!
เว่ยฉางอิ๋งพลันกลัดกลุ้มในใจ แล้วซักไซ้อย่างเย็นเฉียบว่า “เอาเศษผ้าผุๆ มาแลกกับสามพันตำลึงทอง คงมิใช่ว่าป้อมตระกูลเฉาแอบทำการค้าไร้ต้นทุนเป็นการภายในมานานเกินไป แม้แต่ตระกูลเสิ่นของข้าก็ยังกล้ายอมละเว้น?!”
เมื่อนางเอ่ยออกไปเช่นนี้ คนที่อยู่ในโถงทั้งด้านบนและล่างล้วนเงียบงันไร้ซุ่มเสียง ทว่าเมื่อเงียบไปชั่วอึดใจ ก็กลับมีคนที่ไม่รู้กาลเทศะ …เฉายาเบิกตากว้าง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเนิบนาบของเด็กเล็กๆ ว่า “ไม่ใช่แค่เศษผ้า ยังมีเข็มด้วยนะ!” ทางหนึ่งนางพูดไป อีกทางหนึ่งก็เดินมาข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วยกกระดาษน้ำมันขึ้นมาให้เว่ยฉางอิ๋งดู
เว่ยฉางอิ๋งมองลงไปพลางขมวดคิ้ว …นางมองอยู่ครึ่งค่อนชั่วยามจึงพบว่าบนเศษผ้าที่สกปรกจนเหลือเอ่ยนั้นมีเข็มบางๆ หนึ่งเล่มวางอยู่จริงดังว่า แม้เข็มจะเล็กเรียว แต่ก็ยาวมาก มีสีหม่น มองไม่ออกว่าทำจากวัสดุใด …ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่อยู่ข้างๆ มองอยู่สักพัก จึงร้องอ๊ะออกมา “นี่เป็นเข็มที่ใช้ฝังเข็มแบบอังความร้อน …เป็นเข็มกระดูก?”
มู่ชุนเหมียนที่อยู่ข้างล่างเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูตวนมู่มีสายตาแหลมคมยิ่งนัก นี่เป็นเข็มกระดูกจริงๆ เจ้าค่ะ”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันมีท่าทีอ่อนลงมาในทันใด กล่าวว่า “ดูไปแล้วก็น่าจะเป็นเพียงเข็มที่ทำจากกระดูกสัตว์ทั่วๆ ไป ยังทนทานแข็งแรงไม่สู้เข็มเงินเข็มทองที่ใช้กันโดยทั่วไปเสียด้วยซ้ำ! ท่านอาจารย์ปู่เล็กนี่สมเป็นท่านอาจารย์ปู่เล็กจริงๆ สามารถใช้เข็มกระดูกชนิดนี้มาฝังเข็มได้!”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งงันไปสักพัก แล้วเอ่ยเตือนนางไปว่า “เป็นเข็มกระดูกธรรมดาๆ จริงหรือ? แล้วจะมีค่าถึงสามพันตำลึงทองหรือ?”
หัวข้อสนทนาจึงกลับมาที่เรื่องทองคำอีกครั้ง… ได้ยินเพียงมู่ชุนเหมียนเอ่ยอย่างเอ้อระเหยว่า “ฮูหยินน้อยและคุณหนูตวนมู่โปรดอย่ามีโทสะ โปรดให้ข้าน้อยอธิบายถึงที่มาของราคาสามพันตำลึงทองนี้ เหตุที่สมัยก่อนเขาทิ้งของสิ่งนี้เอาไว้ ก็ด้วยตอนที่พี่ชายเขาตาย เขาไม่มีเวลาจะไปเก็บศพ จึงทำได้เพียงตัดผ้าจากเสื้อของเขามาชิ้นหนึ่งไว้เป็นที่ระลึก เข็มกระดูกเล่มนี้ก็มิใช่ของเขา หากแต่เป็นเข็มที่พี่สาวของเขาไหว้วานให้คนไปฝนออกมาเป็นการเฉพาะเพื่อช่วยรักษาหลานชายของเขา …สำหรับผู้อื่นแล้ว บางทีของเหล่านี้กลับไม่มีค่าแม้สักอีแปะเดียว แต่สำหรับท่านหมอเทวดาจี้หรือคุณหนูตวนมู่แล้ว สามพันตำลึงทองก็นับว่าไม่มากเลย …นั่นเพราะทุกคนในตระกูลจี้ที่มาตายที่ซีเหลียงล้วนเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศซึ่งล้มตายกันในระยะเวลาหลายปีและฝังอยู่ในบริเวณเดียวกัน มิได้มีหลุมศพแยกของแต่ละคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ จึงไม่อาจไปค้นหากระดูกกลับมาได้แล้ว!”
สีหน้าของตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันเปลี่ยนไปทันใด กล่าวว่า “ของต่างหน้า?! เป็นของต่างหน้าของบรรดาญาติๆ ของอาจารย์ของข้า?”
มู่ชุนเหมียนพยักหน้า “มิผิด! แม้จะหากระดูกไม่พบแล้ว ทว่าเมื่อมีของเหล่านี้ ก็ยังสามารถสร้างเป็นหลุมฝังศพที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้แทนได้มิใช่หรือเจ้าคะ?”
“พวกเจ้ามีของเช่นนี้อยู่กี่มากน้อย?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวโพล่งถามออกไป
มู่ชุนเหมียนยังไม่ทันตอบ เว่ยฉางอิ๋งที่คอยดูอยู่ข้างๆ กลับถามขึ้นมาว่า “ตามคำเจ้า จี้กู่ก็ตายไปแล้วสินะ? ฉะนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเจ้าก็ไม่ได้หลอกลวงคนที่ตระกูลเสิ่นของข้าส่งไปสอบถามใช่หรือไม่?”
มู่ชุนเหมียนเอ่ยด้วยความแน่วแน่ว่า “เป็นดังคำฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ…ผู้เฒ่าในป้อมล้วนบอกเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนของบ้านท่านก็ไปตรวจสอบด้วยตนเองมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้สิบกว่าปี เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ได้เอ่ยถึงของต่างหน้าเหล่านี้?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางยิ้มเย็น!
เมื่อถูกนางเตือนสติเช่นนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็สำเหนียกขึ้นมา พลันตบมือแล้วบอกว่า “ไม่ผิด! ในเมื่อเป็นของต่างหน้าที่อาจารย์ปู่เล็กของข้าทิ้งเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งของของญาติคนอื่นๆ ของท่านอาจารย์ด้วย… เหตุใดปีนั้นพวกเจ้าจึงไม่เอ่ยถึง?”
มู่ชุนเหมียนยิ้มเจื่อนๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “สามพันตำลึงทอง แม้แต่คนที่มีฐานะเช่นฮูหยินน้อยและคุณหนูตวนมู่ก็ยังคิดว่ามากแล้ว แล้วประสาอันใดกับชาวบ้านต่ำต้อยในป่าในดงเช่นพวกเรานี้เจ้าคะ? ครั้งนั้น เป็นสมัยของหัวหน้าป้อมคนสองคนก่อน ซึ่งพวกเขาล้วนฟังเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น ย่อมไม่กล้าเอ่ยถึงต่อหน้าคน ตระกูลเสิ่นเจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดยามนี้เจ้าจึงกล้าเอ่ยขึ้นมาแล้วเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงพลางถามนาง สายตากวาดไปยังกระดาษน้ำมันและของที่อยู่ในกระดาษน้ำมัน อาศัยจังหวะที่เมื่อครู่นี้เฉายาเดินมาข้างหน้าสองสามก้าวเพื่อให้สามารถมองเห็นช่ออุบะลูกปัดของปิ่นบนม้วยผมของตนได้ชัดๆ แล้วเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเอาเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวมาด้วย! เจ้าก็ไม่กลัวว่าข้อเรียกร้องที่ไร้แก่นสารเช่นนี้จะทำให้พวกเรามีน้ำโหขึ้นมา แล้วจะไม่เป็นผลดีกับพวกเจ้าแม่ลูกหรอกรึ?”
มู่ชุนเหมียนได้ยินคำกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมาก เงยหน้าขึ้นน้อยๆ “ประการแรกเพราะยามนี้สิ่งของในป้อมล้วนขาดแคลน จึงต้องการเงินทองจำนวนนี้จริงๆ ส่วนประการที่สองนั้น… แม้ข้าน้อยจะโง่เขลาไม่ใคร่ได้ยินข่าวต่างๆ แต่ก็ได้ยินญาติๆ ในป้อมสนทนาเรื่องที่เขามาขอรับการรักษาที่ซีเหลียงเมื่อหลายวันก่อน ว่าหมอเทวดาน้อย… ซึ่งก็คือคุณหนูตวนมู่ หลายวันมานี้มาให้การรักษาพวกชาวบ้านและคนชั้นต่ำเช่นพวกเราโดยไม่ได้เห็นแก่เงินทอง ข้าน้อยคิดว่าคุณหนูตวนมู่มีใจเมตตากรุณาเพียงนี้ จะต้องเป็นคนที่กตัญญูยิ่งนัก! ย่อมไม่มีทางไม่ซื้อแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“เจ้ากลับกล้าเสียยิ่งนัก” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “แล้วไม่กลัวว่าเรียกร้องมากมายเพียงนี้จะให้พวกเราไม่พอใจหรือไร?”
………………………