ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 47 เชื้อเชิญ
มู่ชุนเหมียนกล่าวว่า “หลายปีก่อนท่านพ่อเคยหกล้มจนขาได้รับบาดเจ็บ เพราะยามนั้นขาดแคลนหยูกยา จึงไม่อาจรักษาจนหายดีและยังคงเจ็บมาจนทุกวันนี้…”
“ให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”นางยังไม่ทันพูดจบ เว่ยฉางอิ๋งก็ขัดขึ้นมาว่า “ท่านหมอเทวดาจี้คอยนึกถึงผู้อาวุโสจี้มิใช่แค่วันสองวันแล้ว! ตลอดหลายสิบปีนี้ก็คอยนึกถึงอยู่เสมอ! ก่อนนี้เพราะพวกเจ้าปิดบังข่าวคราว พวกเราจึงไม่กล้ามั่นใจว่าผู้อาวุโสจี้ยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ยามนี้ในเมื่อรู้ข่าวดีนี้แล้ว ย่อมไม่อาจให้ผู้อาวุโสจี้ต้องได้รับความทุกข์ยากอยู่ในป้อมตระกูลเฉาอีกแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งไม่ให้โอกาสมู่ชุนเหมียนพูด พลันหันหน้ามาบอกกับตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “น้องซินเหมี่ยวเจ้าเข้าพิธีโขกหัวอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นผู้สืบทอดของท่านหมอเทวดาจี้ เมื่อนับไปแล้วผู้อาวุโสจี้ก็เป็นผู้ใหญ่ในสำนักของเจ้า ทั้งอายุก็ยังมากแล้ว จึงไม่มีเรื่องใดไม่สะดวก ข้าว่าอย่างไรก็เร่งไปรับตัวผู้อาวุโสจี้มาอยู่ที่ตัวเมืองซีเหลียงไวๆ เพื่อให้เจ้าได้ไปเยี่ยมเยือนดูแลที่จวนอย่างสะดวก เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นใด?”
หากจี้กู่มาอยู่ที่ซีเหลียง ก็ไม่แน่ว่ามู่ชุนเหมียนจะยังสามารถครองตำแหน่งหัวหน้าป้อมตระกูลเฉาได้อย่างมั่นคง! ต่อให้นางยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าป้อมต่อไปได้ แต่เมื่อบิดาของนางอยู่ในตัวเมืองซีเหลียง คาดว่านางก็จะไม่กล้าทำการเลอะเลือน! เช่นนี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวช่วยพูดให้ป้อมตระกูลเฉาเพราะจี้กู่แล้ว…
ยิ่งไปกว่านั้นจี้กู่ก็เคยเป็นคุณชายในตระกูลขุนนาง แต่เพราะหลายปีมานี้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง จึงทำได้เพียงปิดบังชื่อแซ่และซ่อนตัวอยู่ในป้อมตระกูลเฉา และคอยบัญชาการและสนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้บุตรสาวดำรงตำแหน่งหัวหน้าป้อม นี่ล้วนเป็นเรื่องที่จนจนปัญญา! หากมีโอกาสเลือกก็ใช่ว่าเขาจะต้องไปสนใจที่เล็กๆ เช่น ป้อมตระกูลเฉา!
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า รอให้จี้กู่กลับมาแล้ว และให้คำสัญญาว่าจะช่วยให้เขาพ้นผิด แล้วกล่อมให้เขากลับไปใช้ชีวิตปั้นปลายที่เมืองหลวง ในเมื่อเขามีมู่ชุนเหมียนเป็นบุตรสาวเพียงผู้เดียว เมื่อต้องไปไกลถึงเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องมีคนอยู่ส่งในวาระสุดท้ายกระมัง? ทั้งมู่ชุนเหมียนและเฉายาจะต้องไปกับเขาแน่ๆ ถึงยามนั้นหากให้คำสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์แก่พวกเขาสักเล็กน้อย ก็ไม่ต้องกลัวว่ามู่ชุนเหมียนจะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเสิ่นหยิวเจี่ย และเล่าเรื่องของกองโจรเขาเหมิงซานทั้งหมดออกมา ดีชั่วก็เพียงไปกล่อมให้คนออกมาจากป้อมตระกูลเฉา และย่อมมีวิธีทำให้พวกเขายอมเชื่อฟัง
เพียงแต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่รู้ถึงแผนการในใจนาง ยังนึกว่าเป็นเพราะหลายวันก่อนเว่ยฉางอิ๋งพยายามกล่อมให้ตนกลับไปรักษาคุณหนูหลานห้าตระกูลเสิ่นที่เมืองหลวง จนสุดท้ายต้องแยกจากกันไปอย่างไม่เปรมปรีดิ์ เวลานี้จึงประสงค์จะขอขมาเพื่อขอคืนดี ในใจก็รู้สึกค่อนข้างเกรงใจ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แม้ตัวเมืองซีเหลียงจะเป็นที่ที่เจริญที่สุดในซีเหลียงแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเมืองหลวงก็ยังห่างไกลนัก นับประสาอะไรกับป้อมตระกูลเฉา?”
จนกระทั้งตอนนี้มู่ชุนเหมียนจึงเพิ่งจะมีโอกาสพูด นางยิ้มๆ พลางว่า “ว่ากันตามหลักแล้วฮูหยินน้อยและคุณหนูตวนมู่แปดล้วนหวังดี ข้าน้อยจึงไม่กล้าไม่รับน้ำใจนี้จริงๆ แต่จนใจเหลือที่หลายปีมานี้ท่านพ่ออยู่บนเขาจนคุ้นชินแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็ค่อนข้างผิดหวัง กล่าวว่า “แม้จะอยู่จนเคยชินแล้ว แต่ก็ได้ยินมาว่าป้อมตระกูลเฉานั้นทั้งรกร้างทั้งกว้างใหญ่ แล้วจะเป็นที่ที่เหมาะให้ไปใช้ชีวิตปั้นปลายที่ใดกัน?”
“ยามนี้ท่านหมอเทวดาจี้กำลังรักษาท่านพ่อข้าอยู่ที่เฟิ่งโจว จากจดหมายที่ข้าได้รับครั้งล่าสุดน่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งปีครึ่ง เขาก็จะสามารถมารับผู้อาวุโสจี้รวมทั้งทายาทไปอยู่พร้อมหน้ากันได้แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งจิบน้ำชาอึกหนึ่งพลางเอ่ย “หากถึงยามนั้น แล้วมารู้ว่าผู้อาวุโสจี้ยังคงอยู่ในป้อมตระกูลเฉา แต่น้องซินเหมี่ยวกลับมาอยู่เป็นแขกในหมิงเพ่ยถัง ก็เกรงว่าเขาจะตำหนิน้องซินเหมี่ยวเอาได้ เพียงแต่หากให้น้องซินเหมี่ยวไปคอยดูแลอยู่ข้างๆ ท่านผู้อาวุโสจี้ในป้อมตระกูลเฉา ว่ากันตามตรงข้าก็ไม่อาจวางใจได้จริงๆ”
มู่ชุนเหมียนรีบบอกว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูตวนมู่แปดเป็นถึงบุตรีจากภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ ท่านพ่อจะกล้าให้คุณหนูแปดมาดูแลได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“เป็นอาจารย์วันหนึ่ง เป็นบิดาไปชั่วชีวิต” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “ทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้ใดจะไม่รู้ว่าน้องซินเหมี่ยวเคารพอาจารย์ ยึดมั่นในคุณธรรมและกตัญญูกับท่านหมอเทวดาจี้? ข้าจะบอกคำที่ไม่สะดวกจะเล่าออกไปคำหนึ่ง การรักษาการกุศลของน้อง ซินเหมี่ยวที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศนั้น เป้าหมายแต่เดิมหาใช่เพื่อต้องการรักษาการกุศลไม่? แต่กลับทำไปเพื่อสืบหาเบาะแสของผู้อาวุโสจี้! จะว่าไปแล้วครั้งน้องซินเหมี่ยวอยู่ที่เมืองหลวง หากว่าคนที่เจ็บป่วยมิใช่ฮูหยินผู้เฒ่าในตระกูลสูงศักดิ์ของเราหรือไม่ก็เหล่าฮูหยินน้อยที่ได้รับความรักใคร่ ก็ยากจะเชิญนางมารักษาได้ …เวลานี้แม้แต่องค์ฮองเฮาก็ยังคอยอำนวยความสะดวกให้น้องซินเหมี่ยวเป็นพิเศษเชียว! ก่อนจะมารักษาการกุศล นอกจากสตรีชั้นสูงที่ในตระกูลอันดับทัดเทียมกันแล้ว น้องซินเหมี่ยวไม่เคยพบกับคนนอกเลย ข้าว่าหากน้องซินเหมี่ยวจะไปคอยรินน้ำชาปรนนิบัติท่านผู้อาวุโสจี้ก็คงเป็นไปไม่ใคร่ได้ ซึ่งประเด็นหลักก็คือนางทำเรื่องเหล่านี้ไม่ใคร่เป็น จึงหวังให้ท่านผู้อาวุโสจี้มาที่ตัวเมืองซีเหลียง เพื่อจะได้เช่าหรือซื้อคฤหาสน์สักหลักให้เขาอยู่ และซื้อบ่าวที่สามารถดูแลปรนนิบัติอย่างดีให้สักจำนวนหนึ่ง ส่วนเรื่องที่จะฝังเข็มจัดยาให้ผู้อาวุโสจี้ด้วยตนเองนั้นกลับมิได้เป็นปัญหาใด”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่อยู่ข้างๆ กระซิบเบาๆ ไปว่า “ฟังว่าวิชาแพทย์ของท่านอาจารย์ปู่เล็กก็เก่งกาจนัก วิชาเล็กน้อยของข้าเกรงว่าจะทำอันใดไม่ได้ยามอยู่ต่อหน้าเขา”
เมื่อเอ่ยถึงเพียงนี้แล้ว มู่ชุนเหมียนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่บอกว่า “แม้หลายปีมานี้ท่านพ่อจะอยู่ที่ป้อมตระกูลเฉาจนเคยชินแล้ว แต่ฮูหยินน้อยและคุณหนูแปดหวังดีมากมายเพียงนี้ แล้วจะทำให้เสียน้ำใจได้อย่างไร? เมื่อข้าน้อยกลับไปก็จะต้องพยายามเกลี่ยกล่อมให้ท่านพ่อย้ายมาที่ตัวเมืองซีเหลียงให้ได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราก็จะรอ” เว่ยฉางอิ๋งรีบตีเหล็กยามร้อนและกำหนดวันที่ชัดเจนในทันใด “เจ้ากลับไปก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ต้องไปเกลี่ยกล่อมผู้อาวุโสจี้และจากนั้นก็เก็บข้าวของ ใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนคงก็คงจะพอ!” แล้วหันหน้ามาบอกกับตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “ข้ารู้ว่าทิศใต้ของเมืองมีคฤหาสน์ที่ไม่เลวเลยอยู่หลายหลัง อากาศก็อบอุ่นและปลอดโปร่ง ทั้งยังมีข้าวของต่างๆ ครบครัน คฤหาสน์หลายหลังนั้นหากผู้อื่นไปซื้อ หรือต่อให้เป็นข้าเองก็เกรงว่าเจ้าของจะไม่ยอมขาย แต่หากเป็นเจ้าไปซื้อเพื่อแสดงความเคารพกตัญญูแก่ผู้อาวุโสจี้ พวกเขาก็จะต้องไม่มีทางไม่รับปากแน่”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวประหลาดใจนัก “เพราะเหตุใด?” ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นซีเหลียง บุตรีตระกูลตวนมู่ที่เพิ่งจะโขกหัวเป็นบุตรีบุญธรรมของเสิ่นเซวียนสามีภรรยาได้ไม่กี่เดือน จะมีหน้ามีตาเสียยิ่งกว่าสะใภ้แท้ๆ ทั้งยังเป็นฮูหยินน้อยผู้ปกครองหมิงเพ่ยถังตั้งแต่เมื่อใด?
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางหัวเราะว่า “น้องซินเหมี่ยวนี่ฝักใฝ่อยู่แต่เรื่องการแพทย์จริงๆ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ได้ใส่ใจเลย เจ้าลืมแล้วหรือว่าแมวฮวาหลีตัวนั้นของเจ้าได้มาอย่างไร? คฤหาสน์หลังหนึ่งทางทิศใต้ของตัวเมืองเป็นของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้น และยังมีอีกหลายหลังซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศของผู้คนที่มาขอรับการรักษากับเจ้าในหลายวันมานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นรักแมวเป็นชีวิตจิตใจ แม้แต่ลูกแมวก็ยังตัดใจยกให้เจ้าได้ ประสาอะไรกับจะขายคฤหาสน์ให้เจ้า?”
แล้วบอกอีกว่า “เจ้าล้วนไม่ยอมสอนสาวใช้ เวลานี้ข้างกายเจ้าก็ไม่มีสักคนเอาไว้ใช้สอย จูหลานและจูสือก็ยังเป็นข้ายกให้เจ้าไป ข้าว่าเรื่องบ่าวไพร่ก็ให้ข้าช่วยเจ้าจัดการให้ก็แล้วกัน”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลัวเรื่องหยุมหยิมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และศาสตร์ยายิ่งนัก เวลานี้ได้ยินว่าเว่ยฉางอิ๋งจะมาช่วยจัดการให้ตน จึงรีบพยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบเร่งจิกข้าวสารเช่นนั้น
เว่ยฉางอิ๋งพลันวางแผนไปทุกๆ เรื่องว่าจะส่งผู้ใดไปทำการใด จะอบรอมคนที่ไปดูแลรับใช้จี้กู่อย่างไรต่างๆ นานา …ครั้งนางอยู่ในเมืองหลวงก็ถูกทั้งฮูหยินซูและ พี่สะใภ้ทั้งสองจับตาดูพลางร่ำเรียนการปกครองเรือน หลังจากมาที่ซีเหลียงแล้ว ทางหนึ่งก็ต้องช่วงชิงอำนาจ อีกทางหนึ่งก็ต้องจัดการการงานทุกอย่าง เมื่อผ่านการขัดเกลาดังนี้แล้ว การเตรียมที่พักให้แก่จี้กู่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแล้ว
นางเอ่ยเรื่องที่ต้องจัดการทั้งหมดในทันใด ทุกคำพูดล้วนแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงคอยพยักหน้าอยู่ไม่หยุด แม้แต่มู่ชุนเหมียนเองก็ยังต้องตกตะลึง นิ่งเหม่อไปสักพักจึงเพิ่งนึกออกและกล่าวคำขอบคุณแทนบิดา
เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยกับนางว่า “ตกลงตามนี้ ให้เวลาเจ้ายี่สิบวัน แล้วนำผู้อาวุโสจี้มาส่งที่ตัวเมืองซีเหลียง!” แล้วอธิบายกับตวนมู่ซินเหมี่ยวอีกว่า “ในเวลายี่สิบวันนี้ เจ้าก็ไปเลือกซื้อคฤหาสน์ แล้วข้าจะส่งคนไปซ่อมแซมตกแต่ง ทาสีใหม่ทั้งข้างนอกข้างในอีกครั้ง รอให้แห้งสักสองสามวัน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย!”
ครั้นแล้ว ทางหนึ่งก็ไม่มีเรื่องใดต้องพูดอีก อีกทางหนึ่งก็รู้สึกว่าจัดการดังนี้ก็ดียิ่งนักแล้ว มู่ชุนเหมียนคิดไม่ออกว่าจะเอ่ยเรื่องอื่นใดอีก จึงได้แต่รับคำสั่งและกล่าวอำลาไป
รอจนนางไปแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเอ่ยถาม เว่ยฉางอิ๋งอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า อย่าได้กลายเป็นว่าท่านอาจารย์ปู่เล็กจะนึกว่าพวกเราไม่ประสงค์ดีต่อเขา แล้วหลอกเขามาลงมือที่ตัวเมืองซีเหลียงหรอกนะ?”
“เจ้าวางใจเถิด” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มจางๆ พลางว่า “เพราะก่อนนี้ไม่รู้ว่ามู่ชุนเหมียนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา บางทีเขาอาจจะกังวลดังนี้ แต่เมื่อวันนี้มู่ชุนเหมียนมาแล้ว ทั้งยังบอกฐานะของนางและของผู้อาวุโสจี้ ทั้งยังนำจดหมายของผู้อาวุโสจี้มาเป็นหลักฐานอีก จดหมายนั่นเจ้าเองก็อ่านแล้ว เจ้าก็บอกว่าหลายเรื่องในนั้นมีเพียงคนตระกูลจี้เท่านั้นที่รู้ ฉะนั้นคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้จะต้องเป็นผู้อาวุโสจี้แน่นอน ทั้งตัวจดหมายและรอยหมึกบนจดหมายฉบับนั้นล้วนเพิ่งเขียนขึ้นเร็วๆ นี้ เรื่องความเป็นพ่อลูกที่มู่ชุนเหมียนเอ่ยถึง มีแปดเก้าในสิบส่วนที่ไม่ผิดจากนั้นแน่ เจ้าลองคิดดูว่าหากพวกเราประสงค์ร้ายต่อผู้อาวุโสจี้ ในเมื่อรู้ว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาเป็นผู้ใดแล้ว ยังจะปล่อยให้นางกลับไปที่ป้อมตระกูลเฉาทำสิ่งใด? มิสู้จับตัวมู่ชุนเหมียนเอาไว้เสีย แล้วยังต้องกลัวว่าผู้อาวุโสจี้จะไม่ยอมให้จับแต่โดยดีหรือ?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวคิดไปก็เห็นจริงดังว่า จึงไม่กังวลว่าการเชื้อเชิญจี้กู่มาเช่นนี้จะทำให้เขาตกใจจนยิ่งหลบอยู่ในป้อมตระกูลเฉาไม่ออกมาอีกแล้ว แล้วลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ กล่าวว่า “ข้าจะไปซื้อคฤหาสน์!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไปเถิด ไปเถิด เลือกหาที่โอ่อ่าสักหน่อย รอจนเมื่อท่านหมอเทวดาจี้มาถึง เมื่อได้เห็นก็จะได้สลดใจน้อยลงสักหน่อย หากเงินทองในมือไม่พอ ก็ไปเบิกที่คลังได้เลย!”
“วางใจเถิด ค่ารักษาเหล่าผู้มีตระกูลทั้งหลายก่อนหน้านี้ข้ายังเก็บเอาไว้อยู่!” เวลานี้ตวนมู่ซินเหมี่ยววิ่งลงไปข้างล่างแล้ว เมื่อได้ยินคำก็หันหน้ามาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตัวข้าเองกินอยู่ในหมิงเพ่ยถังโดยไม่ต้องใช้เงินทอง ของที่ต้องใช้สอยทั้งหมดล้วนเป็นพี่สะใภ้ท่านเป็นคนออก ค่าใช้จ่ายใดๆ ของตัวข้าเองล้วนไม่มีอยู่แล้วนี่!”
“นี่หมายความว่าวันหน้าข้าสามารถเก็บค่ากินค่าอยู่กับเจ้าได้ตามใจเช่นนั้นรึ?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพลางกระเซ้านางไปคำหนึ่ง “จริงสิ ครั้งข้ามาจากเมืองหลวง ก็เอาโสมแก่อายุห้าร้อยปีมารากหนึ่ง อีกประเดี๋ยวจะตัดครึ่งหนึ่งให้เจ้า รอจนผู้อาวุโสจี้มาแล้วไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินคำก็ยิ้มหน้าตาเบิกบานว่า “พี่สะใภ้ เหตุใดท่านจึงดีกับข้าเช่นนี้?” แล้ววิ่งออกไปอย่างดีอกดีใจ
“ท่านอาหวงท่านไปคัดเลือกบ่าวที่คล่องแคล่วมาสักสองสามคน รอให้ทางน้อง ซินเหมี่ยวไปซื้อคฤหาสน์ได้แล้วก็ให้ส่งไปทำความสะอาดทันที” เว่ยฉางอิ๋งหมุนกำไลพลางเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับนางหวง “ในบ่าวเหล่านั้นก็ให้เลือกคนที่รู้ความและให้อยู่รับใช้ที่นั้นไปเสียเลย แล้วส่งคนทำงานละเอียดรอบคอบสักคนให้ไปเป็นพ่อบ้านที่นั่น จะต้องคอยดูแลจี้กู่ผู้นั้นให้ดีๆ! ภายหน้าท่านหมอเทวดาจี้จะต้องไปดูด้วยตนเอง!”
นางหวงพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากออกมาจากโถงทางด้านหลังและกลับมาเรือนของตน เว่ยฉางอิ๋งก็ไตร่ตรองว่าจะเรียกเสิ่นหยิวเจี่ยมาสอบถามเรื่องกองโจรเขาเหมิงซานดีหรือไม่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าบรรดาญาติผู้ใหญ่ล้วนกำชับนางมาแต่เล็กว่าหลังจากออกเรือนแล้วอย่าไปสอบถามเรื่องการทหารให้มากเกินไป …นับแต่มาถึงซีเหลียง แม้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะคอยดูแลเอาใจใส่นางเป็นพิเศษ เสิ่นหยิวเจี่ยเองก็เคารพนบนอบตนอย่างมาก ทว่าแต่ไรมาทั้งสองคนนี้ล้วนไม่มาเอ่ยเรื่องการศึกที่ยังไม่เสร็จสิ้นกับนางเลย
ทุกครั้งที่นางได้รู้เรื่องสถานการณ์ศึกก็ล้วนเมื่อเสร็จศึกหรือใกล้จะเสร็จศึกแล้วเท่านั้น
ฉะนั้น เว่ยฉางอิ๋งจึงลังเลยิ่งนัก คิดไปคิดมาก็ยังตัดสินใจว่าไม่ถามเสียดีกว่า
จึงเรียกให้จูอีมาหาและไปเรียกเด็กรับใช้ผู้ชายมา สั่งความเขาว่า “เจ้าไปต้อนรับทัพใหญ่ที่กำลังกลับมาสักหน่อย แล้วไปบอกเรื่องที่อีกไม่กี่วันบิดาของหัวหน้าป้อมแซ่มู่แห่งป้อมตระกูลเฉาจะมาพักอาศัยอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงแก่หลานหยิวเจี่ย”
….ทัพใหญ่เข้าไปในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า ทั้งมีจำนวนคนมากมาย และยังต้องเก็บกวาดสนามรบจึงจะสามารถเดินทางกลับมาได้ จึงไม่อาจกลับมาได้เร็วเหมือนกับเสิ่นจั้งเฟิงที่คอยบัญชาการรบอยู่เบื้องหลังไกลๆ ที่เมื่อรู้ว่าใกล้จะเสร็จศึกแล้วก็สามารถปลีกตัวกลับตัวเมืองซีเหลียงได้ก่อน เหล่าทหารที่เข้ารบย่อมต้องกลับมาล่าช้ากว่า ทว่าไม่ว่าจะล่าช้าสักเท่าใด นับๆ ดูวันเวลาก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
__________________