ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 49-1 ตาแก่ไม่ยอมตายกับของไร้ราคา
ภายหลัง เมื่อจวนจะถึงกำหนดที่นัดหมายกับมู่ชุนเหมียนเอาไว้ ป้อมตระกูลเฉาให้ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมตัวจี้กู่และนำมาส่งที่ตัวเมืองซีเหลียงในนามของเฉายาหัวหน้าป้อมน้อย
เว่ยฉางอิ๋งเลือกหลานชายในตระกูลคนหนึ่งไปพบเขาพร้อมกับตวนมู่ซินเหมี่ยว
เมื่อนับกันตามจริงแล้วอายุของจี้กู่ผู้นี้ก็ห่างจากจี้ชวี่ปิ้งไม่กี่ปี แต่กลับดูแก่กว่า จี้ชวี่ปิ้งมากนัก เขารูปร่างผอมบาง มีรอยย่นเต็มไปหน้า ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับเฉียบคมดังตาเหยี่ยว ยามมองผู้คนแม้ว่าจะจงใจสำรวมอาการแล้วแต่ก็ยังมีแววแห่งการเตรียมพร้อมและความไม่เป็นมิตรอยู่ลึกๆ ยากจะปิดบังเอาไว้ได้
เห็นได้ชัดว่าตลอดหลายปีมานี้เข้ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวั่นหวาดและสิ้นหวังเป็นที่สุด หาไม่แล้วก็จะไม่มีทางทำให้เขามีแววตาที่เต็มไปด้วยการคุกคามเช่นนี้
ทว่าสำหรับเว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวแล้ว จี้กู่ก็ยังแสดงความขอบคุณและเสียงสะอื้นได้อย่างพอเหมาะ …มองเขาบอกเล่าถึงความคิดคำนึงถึงจี้ชวี่ปิ้งหลานชายของตนทั้งน้ำตาคลอ เว่ยฉางอิ๋งแอบยิ้มจางๆ อยู่ในใจ จิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง …บอกว่าเป็นจิ้งจอก แต่ส่วนที่จี้กู่เจ้าเล่ห์ดังจิ้งจอกนั้น กลับดูลึกล้ำกว่าจิ้งจอกนัก จนเกือบจะเท่ากับสุนัขป่าเสียด้วยซ้ำ …
ตวนมู่ซินเหมี่ยวช่วยตรวจดูขาซ้ายของเขาซึ่งใช้เดินเหินไม่สะดวกแล้วก็บอกได้แต่ว่า “ขาข้างนี้ของท่านอาจารย์ปู่เล็กเคยหักมานานแล้ว แต่กลับพลาดช่วงเวลาที่สามารถรักษาได้ไปแล้ว หากยามนี้อยากจะรักษาให้หาย นอกเสียจากหักใหม่แล้วต่อใหม่อีกครั้ง…”
นี่เป็นเพียงการวินิจฉัยของตวนมู่ซินเหมี่ยวคนเดียว ตามความเห็นของนางแล้ว เพราะจี้ชวี่ปิ้งอาจารย์ของนางอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจวจึงไม่อาจเร่งเดินทางมาในตอนนี้ แต่ฝีมือแพทย์ของจี้กู่เองก็ไม่เลวเลย ฉะนั้นตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงคิดว่าจะบอกกล่าวความเห็นในการรักษาของตนให้จบก่อน แล้วค่อยไปขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ปู่เล็กว่าผิดพลาดประการใดหรือไม่…
จากนั้นก็เขียนจดหมายไปที่เฟิ่งโจว เมื่อทั้งสามคนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ค่อยเลือกเอาวิธีที่เชื่อถือได้มากที่สุดมาใช้รักษาจี้กู่
ปรากฏว่านางยังไม่ทันพูดจบ จี้กู่ไม่แม้แต่จะคิดก็ใช้มือข้างหนึ่งหักขาของตนเองดัง ‘แกรก’ แล้วสอบถามด้วยท่าทีประหนึ่งไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นกับตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ปากอ้าตาค้างว่า “เช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งที่ไม่ทันได้ตั้งตัว และถูกทำเอาตกอกตกใจจนเกือบจะลุกจากที่นั่งเช่นกัน
เมื่อหักขาของตนเองไปแล้วก็คล้ายว่าเพิ่งจะสำนึกตัวขึ้นมาได้ว่าการะทำเช่นนี้ปัจจุบันทันด่วนและน่ากลัวเกินไป จี้กู่เอ่ยด้วยท่าทีขอโทษว่า “ชาวป่าชาวดง อยู่ในป่าในดงมานานแล้วจึงทำให้มีความเคยชินเช่นนี้”
…เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่อาจตอบคำไปได้ว่า นี่มันเป็นความเคยชินชนิดใดกัน?!
ครั้นแล้วจี้กู่ก็อธิบายต่อไปว่า “ในเขาเหมิงซานมีงูพิษมากมาย ขาข้างนี้ของข้า ก็ด้วยปีนั้นเข้าไปเก็บยาในเขาแล้วได้พบกับงูพิษ ไม่ทันระวังยามวิ่งหนีจึงหกล้ม ในเขาเหมิงซานมีงูพิษที่มีพิษร้ายแรงจำนวนหนึ่ง สมุนไพรในมือข้าก็มีจำกัด จึงไม่สามารถปรุงยาต้านพิษงูได้สำเร็จเสียที เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ทุกครั้งก่อนจะเข้าไปในภูเขาต้องเตือนสติตนเองหนแล้วหนเล่าว่า หากถูกงูที่ข้ารักษาพิษไม่ได้กัดเอา ก็ต้องตัดขาทิ้งทันทีเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้! นานวันเข้าเมื่อได้ยินคำในทำนองนี้ตลอดมา จึงได้…”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างสะเทือนใจว่า “หลายปีมานี้ท่านอาจารย์ปู่เล็กต้องลำบากยิ่งแล้วเจ้าค่ะ!”
“ท่านผู้อาวุโสจี้ต้องประสบเคราะห์กรรมจริงๆ เพียงแต่ในเมื่อยามนี้ก็มาถึงตัวเมืองซีเหลียงและไม่ได้อยู่บนเขาเหมิงซานแล้ว ท่านผู้อาวุโสก็โปรดทำใจให้สบาย พักฟื้นให้สบายจึงจะถูกเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยคำปลอบโยน แต่ในใจกลับคิดว่ามิน่าเล่า ป้อมตระกูลเฉาก่อร่างสร้างป้อมมาหลายสิบปี ยามนี้จึงได้เปลี่ยนมามีหัวหน้าป้อมแซ่มู่ ทังยั้งเป็นสตรีผู้หนึ่ง ที่แท้ก็มิใช่เพราะใดอื่น …แม้แต่กับตนเองจี้กู่ผู้นี้ก็ยังเหี้ยมโหดเพียงนี้ แล้วประสาอันใดกับผู้อื่น? เฉาเหยี่ยนผู้นั้นนับว่ารู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางแล้ว ตนเองจึงได้ยอมถูกไล่ลงจากตำแหน่งแต่โดยดี หากไม่รู้จักหลบหลี ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของจี้กู่ผู้นี้ ยังกลัวว่าจะเขาจะไม่ถูกสับเป็นแปดชิ้นหรอกหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้การที่จี้กู่หักขาตนเองอยู่ตรงหน้า ก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับที่ตัวเขาเองเล่ามาหรือไม่ ประการแรก เกรงว่าเพราะเขาต้องการบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่าในเมื่อเขามาถึงตัวเมืองซีเหลียงแล้ว ก็จะอยู่ต่อไปเพื่อรอจี้ชวี่ปิ้งอย่างสบายใจ ไม่ไปสงสัยสิ่งใดอีกแล้ว …ซึ่งนี่ก็นับเป็นการขอขมาเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาทดสอบพวกนางด้วยทองคำสามพันตำลึง ประการที่สองก็ใช้โอกาสนี้มาบอกเล่าความยากลำบากนานาที่เคยประสบมาในวันเก่าก่อน เพื่อปกปิดสายตาแหลมคมที่เขาบ่มเพาะมาหลายปี …แต่การที่เขาอธิบายโดยมีการวางแผนเอาไว้ก่อนเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ใคร่ทำให้คนรู้สึกดีอยู่แล้ว
แต่ก็เป็นเพราะหลายปีก่อนเขาเคยต้องเผชิญกับความเป็นตายมาหลายครั้งหลายหน จึงพอจะให้อภัยได้มากอยู่สักหน่อย
ด้วยเหตุที่จี้กู่หักขาตนเองในทันใด ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะไปขอคำชี้แนะจากจี้ชวี่ปิ้งเสียก่อนแล้วค่อยมาลงมือรักษาไปเสีย และทำได้เพียงสั่งให้คนนำสมุนไพร่มาปรุงยาและต่อกระดูกให้เขาในทันใด
วุ่นวายกันไปดังนี้ กว่าจะต่อกระดูกให้จี้กู่ใหม่จนเสร็จก็เป็นเวลาจุดตะเกียงแล้ว
ครานี้เป็นเพราะมู่ชุนเหมียนยังอยู่ในป้อมไม่ได้ด้วย จึงเป็นเฉายาที่เป็นคนออกหน้ามาส่งแขกแทนจี้กู่ คงเป็นเพราะนางอายุยังน้อย เฉายาจึงไม่ได้เอ่ยคำใดเลยตลอดทาง เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางอายุไล่เลี่ยกับพวกหลานๆ ผู้หญิงและมีหน้าตาน่ารัก และเพราะทำไปตามมารยาทด้วย จึงได้กระเซ้านางไปสองสามคำ ก็เห็นแต่เพียงเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้เบิกตาเมล็ดท้อที่มองเห็นตาขาวและตาดำชัดเจนมองมาหนแล้วหนเล่า จากนั้นก็ก้มหน้าไม่พูดไม่จา … เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้คงไม่เคยได้พบเห็นโลกภายนอกมากนัก ทั้งไม่มีผู้ใหญ่อยู่ข้างกาย คงจะกลัวคน อย่าได้หยอกจนนางร้องไห้ดีกว่า จากนั้นจึงไม่เอ่ยคำใดอีก
แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อเฉายาส่งคนออกไปนอกประตูใหญ่แล้ว ก็ทำตามคำที่มารดากำชับมา นางมองดูรถของเว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวจนออกไปไกลแล้ว จากนั้นก็กลับเข้ามาในจวน เรียกให้คนเปิดประตูใหญ่ออก แล้วยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ ชะเง้อคอมองไปทั่วทิศอย่างเกียจคร้านและตื่นเต้นยินดี แล้ววางมือลง ตบที่ต้นขาแรงๆ ไปหนหนึ่ง ตะโกนเสียงดังอย่างดีอกดีใจว่า “ย่าแกเอ๊ย! คฤหาสน์ดีขนาดนี้ วันหน้าก็ต้องยกให้ตาแก่ไม่ยอมตายแล้วรึ?!”
“…” ฉีซานพ่อบ้านใหญ่ที่คอยเดินตามอย่างระมัดระวังไม่ยอมห่าง ด้วยถูกนางหวงกำชับมาหนแล้วหนเล่าว่าจะต้องดูแลรับใช้ตาหลานบ้านจี้ให้ดีๆ โดยเฉพาะเฉายาที่ยังเล็กอยู่ อย่าให้นางพลาดพลั้งบาดเจ็บโดยเด็ดขาด ยามนี้ต้องนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง จึงแน่ใจว่านี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของเฉายาจริงๆ…
แม้จะบอกว่าฉีซานรู้มานานแล้วว่าเฉายามีชาติกำเนิดต่ำต้อย ในที่ห่างไกลความเจริญเช่นป้อมตระกูลเฉา แม้จะเป็นบุตรสาวของหัวหน้าป้อมก็คาดว่าไม่น่าได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีอันใด เขาจึงเตรียมตัวที่จะมาอบรมมารยาทให้เฉายาตั้งแต่ต้น ทว่าความหยาบเถื่อนของเฉายาก็ยังเกินจากที่เขาคาดการณ์ไว้ …ยังไม่ทันรอให้เขาคิดออกว่าจะตอบคำมาอย่างไร เฉายาก็เลิกกระโปรงขึ้น …ชายกระโปรงถูกดึงขึ้นมาจนถึงน่อง เผยให้เห็นทั้งข้อเท้าและน่องอย่างชัดเจน
แม้นางอายุยังไม่มาก แต่ในสายตาของฉีซานซึ่งเป็นบ่าวที่สืบทอดกันมาใน ตระกูลเสิ่น เห็นเหล่าคุณหนูตระกูลเสิ่นที่มีกริยามารยาทสงบเสงี่ยมมาตั้งแต่เล็กๆ มาจนเคยตาแล้ว ก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ถูกตาเป็นร้อยเท่า โดยเฉพาะที่เฉายาเลิกกระโปรงขึ้นมาก็ไม่ได้สนใจผู้ใด แล้ววิ่งตึงๆๆ เข้ามาข้างในทันใด ทำให้หางตาของฉีซานกระตุกเสียอย่างแรง …นี่เป็นเรื่องที่นางหวงกำชับมาด้วยตนเอง ทั้งยังรู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นคุณหนูแปดแห่งตระกูลตวนมู่และเป็นบุตรีบุญธรรมของประมุขตระกูลผู้นี้ให้ความสำคัญกับตาหลานตระกูลจี้อย่างยิ่ง ฉีซานจึงไม่อาจไม่อดทน
……………………