ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 50 กลอนด่านเตี๋ยชุ่ย
วันรุ่งขึ้น เมื่อได้ยินรายงานเกี่ยวกับวิธีที่จี้กู่และเฉายาอยู่ด้วยกันอย่างละเอียด เว่ยฉางอิ๋งก็หมดคำพูดเสียอย่างยิ่ง
นางหวงที่มาฟังด้วยก็ตื่นตกใจนักเช่นกัน “แม้จี้กู่จะระหกระเหิรอยู่ในป่าดง แต่อย่างไรก่อนนี้ก็เป็นถึงบุตรชายของหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงคนก่อน ไม่มีทางจะไม่รู้หนังสือไม่เข้าใจหลักมารยาท เขามีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในป้อมตระกูลเฉา หากไม่ได้อบรมสั่งสอนผู้อื่นก็ยังแล้วไป แต่เหตุใดแม้แต่หลานสาวของตนเองก็ยังละเลยถึงขั้นนี้?”
สกุลจี้อายุร้อยปีมีแพทย์หลวงอยู่ทุกรุ่น และนี่ก็เป็นงานที่เอาไว้ปรนนิบัติดูแลผู้คนชั้นสูง หากไม่รู้หลักมารยาทจารีตธรรมเนียม แล้วจะไปอยู่ต่อหน้าเหล่าคนชั้นสูงได้ที่ใด? ฉะนั้นสิ่งที่ถ่ายทอดกันมาในสกุลจี้ย่อมไม่ได้มีเพียงวิชาแพทย์เท่านั้น!
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจว่า “ก็มิใช่หรอกรึ? หากเขามีทายาทมากมายจนอบรมดูแลได้ไม่ทั่วถึงก็ยังแล้วไป แต่นี่มิใช่ว่าเขาก็มีเฉายาเป็นหลานตาเพียงคนเดียวหรอกหรือ?”
นายบ่าวทั้งสองคนล้วนรู้สึกว่าเฉายาไร้มารยาทเกินไปสักหน่อย ส่วนเรื่องที่จี้กู่พูดจากระแนะกระแหนหลานสาวนั้น …เอ่อ จี้ชวี่ปิ้งเองก็มิใช่ว่าเป็นเช่นนี้? คนแซ่จี้พูดจาไม่เข้าหู เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับกันโดยปริยายและเคยชินไปทั่วเมืองหลวงแล้ว แต่เมื่อมาคิดดูดังนี้ แม้เฉายาจะไม่ได้แซ่จี้ แต่ก็เป็นสายเลือดของสกุลจี้ แล้วที่นางทำต่อผู้เป็นตา …เอ่อ นี่เรียกว่าเป็นผลกรรมหรือไร?”
หรือว่า….
นี่ก็คือสาเหตุที่จี้ชวี่ปิ้งไม่แต่งงานสักที…?
…แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นจี้กู่ก็ดี เฉายาก็ช่าง ล้วนไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งก็คร้านจะไปมากความ ว่าต้องไปอบรมให้เฉายาเคารพผู้ใหญ่ …หรือว่าจี้กู่ไม่มีปัญญาอบรมหลานตาตัวน้อยผู้นี้? ก็เขาเองเอาแต่ออกปากด่าทอ ไม่แน่ว่าเฉายาตัวน้อยแสนร้ายกาจผู้นี้ ก็อาจเป็นเขาเองที่สั่งสอนออกมา!
ฉะนั้นนางจึงเพียงปลงอนิจจังกับวิธีอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองคราวหนึ่งและปล่อยผ่านไป
เมื่อถึงสิบวันสุดท้ายของเดือนสี่ กำหนดวันที่ผู้แทนพระองค์เพื่อมาปลอบขวัญและสรรเสริญกองทัพจะมาถึงซีเหลียงก็ได้กำหนดลงมาแล้ว ซึ่งก็คืออีกแปดวันข้างหน้า
…เดิมทีหลังจากมู่ซิวเอ่อร์ถูกสังหาร ทางซีเหลียงก็รายงานเรื่องชัยชนะใหญ่แก่ทางเมืองหลวงในทันที ซึ่งตามหลักแล้วผู้แทนพระองค์ก็ควรจะมาถึงตั้งนานแล้ว
แต่จนใจเหลือที่รายงานชัยชนะครานี้ยิ่งใหญ่นัก ทั้งยังเกี่ยวเนื่องไปถึงสถานการณ์ของทั้งซีเหลียง ราชสำนักจึงต้องหารือกันวุ่นวายไปหมดว่าจะมอบบำเหน็จรางวัลอย่างไร แม้แต่ฮ่องเต้ที่ทรงดูแลราชกิจเพียงน้อยนิดก็ยังต้องมาเรียกประชุมเหล่าขุนนางด้วยพระองค์เองหลายครั้ง ที่สุดกว่าจะกำหนดออกมาได้ก็ปรับหน้าปรับหลังกันอย่างยากเย็น กอปรกับความชอบของเหล่าทหารก็มีมากมีน้อยต่างกันมากมาย และการเคลื่อนขบวนก็เป็นไปอย่างล่าช้า ดังนี้แล้วจึงล่าช้ามาจึงถึงตอนนี้
ตั้งแต่ผู้แทนพระองค์เดินทางออกมาไม่นาน เว่ยฉางอิ๋งก็ได้รับจดหมายจากแม่สามีมาแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้แล้ว จะว่าไป ผู้แทนพระองค์ในครานี้ก็ช่างบังเอิญนัก เพราะเขาคือตวนมู่ฉิน ท่านอาสี่ของตวนมู่ซินเหมี่ยว และเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นขุนนางขั้นสาม
คาดว่าเมื่อตวนมู่ฉินประกาศราชโองการเสร็จแล้วก็จะต้องพา ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไปพร้อมกันด้วย
เดิมทีเป็นเพราะนับตั้งแต่หลังเทศกาลหยวนเซียวมา ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ให้การรักษาผู้คนมาโดยตลอด เหล่าผู้คนที่มาขอรับการรักษาไม่ขาดสายจึงพลันตาลีตาลานกันขึ้นมา…
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้รับกำหนดการที่แน่ชัดแล้ว นางเองก็ค่อนข้างเสียดายที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะต้องไปแล้ว …ในปีนี้ โดยเฉพาะในสถานที่เช่นซีเหลียงนี้ การมีหมอที่เก่งกาจอยู่ข้างกายย่อมสามารถวางใจได้ไม่น้อย
นางถอดถอนใจ แล้วสั่งให้ม้าเร็วไปแจ้งกับสามีที่ด่านเตี๋ยชุ่ยเพื่อให้กลับมาต้อนรับผู้แทนพระองค์
แม้จะบอกว่าทุกคนต่างรู้กันในใจว่าความดีความชอบหลักๆ ในครานี้จะมิได้เป็นของเสิ่นจั้งเฟิง แต่ผู้ที่จะได้ความชอบใหญ่ไปก็คือคุณชายกู้ทั้งสองและเติ้งจงฉี ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็อยู่ในกลุ่มคนที่ได้รับความชอบด้วย หากไม่ไปต้อนรับผู้แทนพระองค์ ไม่แน่ว่าอาจถูกคนนึกไปว่าเขาถือดีว่าตนมีความชอบ หรือไม่ก็รู้สึกไม่พอใจ และจะทำให้เกิดความขัดแย้งที่คาดไม่ถึงขึ้นได้
เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินข่าวก็ละทิ้งเรื่องของส้างกวานสืออีเอาไว้และเร่งกลับมาที่ตัวเมืองซีเหลียงในทันใด สามีภรรยาได้พบกัน เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบเล่าเรื่องนานาที่เกิดขึ้นในตัวเมืองซีเหลียงในระยะนี้ให้เขาฟัง …เมื่อรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลเรื่องที่มู่ชุนเหมียน คล้ายจะมีความเกี่ยวข้องกับไล่ต้าหย่งหัวหน้ากองโจรเขาเหมิงซาน จึงกลัวว่าด้วยเรื่องของจี้ชวี่ปิ้งจะทำให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องเข้าไปเกี่ยวพันด้วย ฉะนั้นเวลานี้จึงพาตัวจี้กู่มาอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้าน้อยๆ “ในกองโจรเขาเหมิงซานมีหลายคนที่ใช้สอยได้จริงๆ ดังว่า หยิวเจี่ยก็เคยบอกกับข้ามาก่อน เพียงแต่ระยะนี้มีเรื่องมากมาย จึงยังไม่ได้สนใจพวกเขา ยามนี้ในเมื่อจี้กู่มาอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงแล้ว รอข้าเกลี่ยกล่อมท่านส้างกวานได้แล้ว ก็จะสามารถขอให้เขาช่วยพาไปพบได้”
เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “ท่านส้างกวานผู้นั้นเป็นคนเช่นใดรึ?”
“คนผู้นี้มีความสามารถด้านกลศึกยิ่งนัก” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะพลางว่า “เพียงแต่เป็นตายเขาก็ไม่ยอมมารับราชการ กลับเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือทน”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เพียงแต่ไม่ยอมมารับราชการรึ? มาเป็นที่ปรึกษาให้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรับราชการนี่”
เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วไปไล้ปลายจมูกนาง อมยิ้มพลางว่า “หากเขายินยอมเช่นนี้ก็ดีน่ะสิ แม้การให้ตำแหน่งขุนนางแก่เขาจะมิใช่เรื่องยากเย็นอันใด แต่หากจะเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาแต่ไม่รับราชการ ก็นับว่าทุ่นแรงข้าไปได้เรื่องหนึ่ง แต่จนใจนัก ทั้งสองประการนี้เขาก็ไม่ยอมแม้สักประการ”
ว่าพลางหยัดตัวขึ้นมาที่ข้างโต๊ะ แล้วหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากม้วนเอกสารที่นำกลับมาครานี้เอาให้ภรรยาดู “ข้าไปหาเขาที่บ้านสามครั้งสองครา ขอให้เขาออกมารับราชการ ปรากฏว่าหนสุดท้ายที่ไป เขาเขียน ‘กลอนด่านเตี๋ยชุ่ย’ ให้ข้า ซึ่งนับว่าบ่งบอกปณิธานที่แน่ชัดของเขา”
“จันทร์เสี้ยวโผล่พ้นยอดเขาสูง น้ำค้างบางเสื้อเกราะวาวยิ่งเหน็บหนาว
ต้นตีนเป็ดคลุมนภา หมู่บุรีมวลภูผา เป็นสีเขียวขนัดแน่น
ป่าไม้โบราณทอดตัวยาว ลำน้ำกร้าวขนาบน้ำตกสูง ไหลผ่านปะทะถาโถม
หมอกเขาสงัดกลางพง เคยสดับนกเค้าแมวสรวล
ละอองน้ำหยาดหยดจากกิ่งไม้ ฤาผู้ใดจักรู้หมอกใสหวาน?
ดินแดนเพลิงสงครามร้อยปีผ่าน ซ้อนตระหง่านเขียวขจีเก้าทบคือที่แห่งนี้
ด่านปิดกั้น ณ พันลี้ สูงโดดเด่นเอยหนึ่งทางเปิดยากกางกั้น
อนิจจาชีวิตข้ามีจำกัด หญ้าเขียวโลหิตหลั่งหล่อเลี้ยงเพียงบ้านเกิด
แทนคุณแผ่นดินที่ชายแดนด้วยน้าวเกาทัณฑ์ ผ่าดวงใจห้าวหาญออก สิ้นคุณธรรมดังอสูรกาย
คันศรไม้เจ้อมู่เอยยิงดาวสุนัขป่า[1] กระบี่ยาวชิงเฟิงเอยพวกตี๋พรั่นพรึงโกลาหน
ข่านเอยหวั่นหวาด ชิวตี๋เอยระส่ำระสาย
เอ่ยอ้างแดนนี้รกร้างห่างไกล กางกั้นซีเหลียงเอยเป็นด่านแรก
บอกแต่เป็นเมืองสงัดเงียบ หากปิดชิวตี๋ไว้ด้วยธาราภูผางาม!
ใจบริสุทธิ์เรียบง่ายอยู่ ณ ที่นี้ ความมั่งคั่งเกียรติยศในหล้า ที่ว่ากัน….
ห่านฟ้าบินสูงยาวไกลไม่อาทร ยอมเป็นหมาบ้านเห่าหอนข้างรั้วตราบตะวันขึ้นลง!”
เว่ยฉางอิ๋งอ่านจบสองตาพลันส่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นนักหนาว่า “ด่านเตี๋ยชุ่ยมีทิวทัศน์งดงามเพียงนี้เชียว? หาได้ด้อยว่าในซีเหลียง ทั้งยังมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์? และมีน้ำตกด้วย…คราวหน้าพาข้าไปด้วย!”
เสิ่นจั้งเฟิง “…”
เขาคิดสักพักจึงบอกว่า “คนผู้นี้รักบ้านเกิดเมืองนอนนัก ไม่ยอมรับการทาบทาม ในสายตาของเขาแล้ว ด่านเตี๋ยชุ่ยย่อมเป็นที่ที่ดีเป็นที่สุด”
“ฮ่าๆ!” มิใช่ว่าเว่ยฉางอิ๋งอ่านบทกลอนนี้แล้วก็จะลืมธุระสำคัญ แล้วห่วงแต่จะไปเที่ยวเล่นจริงๆ นางก็เพียงกระเซ้าไปคำหนึ่งเท่านั้น ยามนี้จึงหัวเราะออกมา แล้วว่า “ตามความเห็นข้า ในเมื่อคนผู้นี้รักด่านเตี๋ยชุ่ยไม่ยอมจากมา เจ้าก็เอาด่านเตี๋ยชุ่ยไปเจรจากับเขาสิ! เขาไม่ยอมออกมารับราชการ เจ้าก็ไม่ให้ด่านเตี๋ยชุ่ยได้อยู่อย่างสุขสงบ ก็มิสิ้นเรื่องแล้วรึ?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางโอบเอวนาง กล่าวว่า “จะได้อย่างไร? เจ้าไม่เห็นที่เขียนไว้บนนั้นว่า ด่านเตี๋ยชุ่ยเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญขั้นคอขาดบาดตายที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย หากให้ข้าเลือกว่าจะทิ้งซีเหลียงหรือให้ทิ้งด่านเตี๋ยชุ่ย ข้าก็ยังต้องยอมให้คฤหาสน์ดั้งเดิมตกอยู่ในมือศัตรูไปชั่วขณะ แต่จะต้องรักษา ด่านเตี๋ยชุ่ยเอาไว้ให้จงได้ หากมีด่านเตี๋ยชุ่ยอยู่ ช้าเร็วก็จะสามารถช่วงชิงเอาซีเหลียงกลับมาได้ แต่หากเสียด่านเตี๋ยชุ่ยไปก็ยากจะรักษาทั้งซีเหลียงเอาไว้ได้แล้ว”
“หากเอ่ยคำนี้ออกไป ระวังคนจะด่าว่าเจ้าอกตัญญูเสียเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดพลางตีเขาไปเบาๆ หนหนึ่ง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในใต้หล้านี้จะมีคนที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย หรือว่าคนผู้นี้นอกจากรักบ้านเกิดแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นที่เขาโปรดปรานอีก?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “ไม่รีบ ดีชั่วยามนี้ มู่ซิวเอ่อร์ก็ถูกประหารแล้ว อูกู่เหมิงและอาอีถ่าหูช่วงชิงตำแหน่งข่านยังไม่เป็นผล ต่อให้ยามนี้ทาบทามเขามาได้ก็ยังไม่มีที่ใดให้ใช้สอยไปชั่วขณะ ค่อยๆ หาทางไปเป็นพอ คนผู้นี้มีความสามารถไม่เลวเลย จะใช้เวลากับเขามาสักหน่อยก็มิเป็นไร”
เรื่องนี้เอ่ยถึงเพียงตรงนี้ก็พอประมาณแล้ว ทั้งสองคนเย้าแหย่กันสองสามคำก็พากันเข้านอน
ถึงวันต่อมา ยังคงห่างจากวันที่ผู้แทนพระองค์จะมาถึงหนึ่งวัน ตั้งแต่เช้าเว่ยฉางอิ๋งก็ส่งคนในนามของเสิ่นจั้งเฟิงไปเชิญกู้ซีเหนียนให้มาพบที่หมิงเพ่ยถัง
จะว่าไปแล้วตอนที่เว่ยฉางอิ๋งไปส่งสามีออกเดินทางที่เมืองหลวงก็เคยได้พบกับคุณชายกู้ทั้งสองคนนี้มาก่อนแล้ว แต่จนใจเหลือที่ตอนนั้นดวงใจทั้งดวงของนางล้วนผูกติดอยู่ที่ตัวสามี หรือจะมีเวลาไปสนใจผู้อื่น? ฉะนั้นตอนนั้นจึงไม่ได้สนใจรูปร่างหน้าตาของกู้ซีเหนียน
ยามนี้กู้ซีเหนียนเข้ามาคารวะในโถง ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งก็ยิ้มแย้มบอกให้เขาไม่ต้องเกรงใจ อีกทางหนึ่งก็คอยสำรวจดูเขา แล้วพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาทันใด!
หาใช่เพราะกู้ซีเหนียนมีหน้าตาอัปลักษณ์จนกระทั่งยามอยู่ใต้ท้องฟ้ายามกลางวันแสกๆ ก็ยังทำให้นางตกอกตกใจ หากแต่หน้าตาของกู้ซีเหนียนเหมือนกับกู้หน่ายเจิงพี่ชายของเขาถึงหกเจ็ดส่วน! แม้เค้าโครงหน้าของเขาจะหล่อเหลากว่า ทั้งตัวสวมเสื้อผ้าธรรมดาสีแดงเข้ม คาดเข็มขัดหยก สวมกว้านรัดผมทองคำ ทีท่าสง่างามอย่างคุณชายสูงศักดิ์เหนือคนทั่วไปยิ่งนัก กริยาก็สำรวมสุภาพออกจะผ่อนคลาย ตามแบบฉบับของบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่เว่ยฉางอิ๋งเคยพบเห็นมาแต่เล็ก แต่…
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อาจหักลบกลบหนี้กับเรื่องที่เขาหน้าตาเหมือนกู้หน่ายเจิงได้!
หรือว่าตนเองจะอับโชคเพียงนี้ หลังจากมาซีเหลียงแล้ว ก็ได้หนีห่างจากจี้ชวี่ปิ้งและกู้หน่ายเจิง แต่กลับยังหนีไม่พ้นศิษย์และพี่น้องของเขา? เว่ยฉางอิ๋งคิดไปอย่างรันทดใจ ในใจก็พลันตั้งท่ารับอย่างหนักหน่วงขึ้นมา!
ด้วยเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงก็อยู่ในซีเหลียงด้วย ครานี้เชิญกู้ซีเหนียนมาเขาก็ย่อมต้องอยู่ด้วย รอจนเขาทักทายกับกู้ซีเหนียนเรียบร้อยแล้ว จึงเอ่ยพลางยิ้มจางๆ ว่า “เหตุที่เชิญน้องชายมาวันนี้ ด้วยพี่สะใภ้เจ้ามีคำจะบอกกับเจ้า”
ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งก็ระวังตัว อีกทางหนึ่งก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็มิใช่เรื่องอื่นใด …โหรวจางก็อยู่ในซีเหลียงมาเนิ่นนานแล้ว ด้วยก่อนนี้มีเรื่องศึกสงคราม นางจึงไม่กล้าไปรบกวนท่านเรื่อยมา ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะนางอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงแล้วไม่ใคร่คุ้นชินเท่าใด จึงย้ายไปอยู่ที่อำเภอทางใต้ชั่วขณะ เดิมทีก่อนท่านจะกลับมา ข้าก็ส่งคนไปรับนางแล้ว แต่ปรากฏว่าบังเอิญนัก คนที่ส่งไปกลับมารายงานว่านางเข้าไปล่าสัตว์ในภูเขาแล้ว …ด้วยสองวันนี้ต้องต้อนรับผู้แทนพระองค์ คนของข้าทางนี้มีไม่พอจริงๆ ข้าจึงคิดว่า หากท่านมีเวลาว่าง…”
พูดถึงตรงนี้ กู้ซีเหนียนก็เข้าใจเรื่องราวแล้ว น้องสาวแท้ๆ ของเขามีนิสัยเช่นใดเข้าจะไม่รู้หรือ? ไม่กล้าไปรบกวน อยู่ไม่คุ้นเคย พอดีเข้าไปล่าสัตว์ในภูเขาอันใดกัน …ล้วนเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ตนเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างอิดออดต่อไปต่างหาก!
กู้ซีเหนียนแอบถอนใจ คิดในใจว่ากว่าตนเองจะพอมีเวลาว่างสักน้อย ยังไม่วางแผนเลยว่าจะทำเรื่องใดดี ก็มาถูกน้องสาวยึดเวลาว่างไปเสียแล้ว เพราะเว่ยฉางอิ๋งและกู้โหรวจางไม่ได้สนิทสนิทกันนัก นางช่วยดูแลกู้โหรวจางมาเป็นเวลานานเพียงนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว และยามนี้ก็บอกกับกู้ซีเหนียนอย่างชัดเจนแล้วว่าจะขอให้เขาซึ่งเป็นคุณชายรองตระกูลกู้มารับภาระเรื่องของกู้โหรวจางเสียที ดีชั่วเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว
กู้ซีเหนียนเป็นน้องชายคนละแม่ของกู้หน่ายเจิง ทว่าก็ไม่ได้หน้าด้านไร้ยางอายเช่นพี่ชายบุตรภรรยาเอกของเขา จึงรีบรับคำว่า “พี่สะใภ้เว่ยเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ น้องสาวข้าดื้อรันนัก ตลอดทางที่มาซีเหลียงนี้ ดีที่ได้พี่สะใภ้คอยดูแล ตลอดเวลาที่อยู่ในซีเหลียงก็ต้องอาศัยพี่สะใภ้คอยปกป้องคุ้มครอง แต่ไม่คิดว่านางยังไม่รู้ความเพียงนี้ ยังจะมาเพิ่มความลำบากให้พี่สะใภ้ไปทั่วอีก รอให้ซีเหนียนหาตัวนางพบก่อนจะต้องอบรบนางให้หนักๆ และจะต้องให้นางมาขอขมาพี่สะใภ้ให้ได้ขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งแอบโล่งอกในใจ ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน ไอ้เจ้าคุณชายรองกู้ผู้นี้นับว่าเป็นคนปกติแล้ว!
ในเมื่อกู้ซีเหนียนไม่ได้บอกปัด จึงพูดเรื่องนี้จบเพียงไม่กี่ประโยค เว่ยฉางอิ๋งเรียกให้คนเอาที่อยู่ของเรือนรับรองที่กู้โหรวจางพักอยู่มอบให้เขา และส่งคนไปนำทางเขาด้วย …เรื่องของกู้โหรวจางก็มอบแก่พี่ชายนางเสีย เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ต้องมาร้อนใจเพราะนางแล้ว
เมื่อมอบกู้โหรวจางให้แก่พี่ชายของนางแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงพาคนตรวจตราหมิงเพ่ยถังทั้งนอกในทั้งใหญ่น้อยจนไม่มีเรื่องใดตกหล่นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีข้อบกพร่องแล้ว จึงส่งคนไปบอกกล่าวกับพวกของเสิ่นจั้งเฟิง แล้วกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนพัก เตรียมตัวให้พร้อมรับการมาถึงของผู้แทนพระองค์ในวันรุ่งขึ้น
_________________________________
[1] ดาวสุนัขป่า ในสมัยโบราณถือเป็นกลุ่มดาวที่เป็นสัญลักษณ์ของสงคราม เป็นดาวอัปมงคล ยิงดาวสุนัขป่าจึงเปรียบเทียบกับการทำลายศัตรู