ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 57 ฆ่าตัวตาย? ถูกทำร้าย?
หลังจากรู้เรื่องที่ริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นซ่งไจ้สุ่ยก็เร่งเดินทางมาที่เรือนพักริมทะเลสาบ
เมื่อหมิ่นอีนั่วที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนรู้ว่าน้องสาวสามีกลับมาแล้ว ก็ฝืนตัวออกไปต้อนรับ เมื่อน้องสาวสามีได้พบกับพี่สะใภ้ ซ่งไจ้สุ่ยมองดูสีหน้าของนางหนหนึ่งก็รีบเข้าเดินเข้าไปสองก้าวและประคองนาง “พี่สะใภ้รองท่านร่างกายไม่แข็งแรง ยังออกมาต้อนรับข้าทำสิ่งใด? ดีชั่วก็แค่เดินไม่กี่ก้าว และข้าก็มิใช่ว่าไม่รู้ทาง”
นับแต่หมิ่นอีนั่วแต่งเข้าบ้านมา ก็จดจำคำที่บิดามารดากำชับมาอย่างดีว่าให้เคารพต่อนางฮั่วพี่สะใภ้ใหญ่ และรักใคร่เป็นห่วงซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเป็นน้องสาวของสามีให้มาก อีกทั้งมีตวนมู่อู๋เซ่อเอาไว้เปรียบเทียบอยู่ก่อนหน้า นางจึงเป็นที่ยอมรับของบ้านสามีอย่างมาก คำพูดนี้ของซ่งไจ้สุ่ยจึงเป็นเพราะเป็นห่วงนางจากใจจริง
ในเมื่อน้องสามีและพี่สะใภ้สนิทสนมกัน เมื่อถูกนางประคองในยามนี้ จึงไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอันใด เพียงยิ้มอย่างอ่อนล้าและบอกว่า “ภาพที่ข้าเห็นกับตาวานนี้ …แม้จะมีพี่ชายรองของเจ้าอยู่ด้วย แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับทั้งคืน เวลานี้ในใจยังยากสงบลงได้ ยิ่งอยู่ในห้องก็กลับร้อนใจ มิสู้ออกมาเดินเหินสักสองสามก้าว”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือว่าคนจะ….จริงๆ?”
“สวรรค์ทรงโปรด ให้ข้าได้ไปพบเข้าทันกาล กลางดึกวันก่อน ทางนั้นก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าช่วยเอาไว้ได้แล้ว…” จนถึงยามนี้ใบหน้าของหมิ่นอีนั่วก็ยังคงซีดเผือด กำลังจะพูดแต่ก็หยุดเสีย แล้วตบมือซ่งไจ้สุ่ยเบาๆ “พวกเราเข้าไปพูดกันในห้องเถิด!”
เมื่อเขาไปในห้อง สั่งให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และสั่งให้บ่าวคนสนิทสองคนเฝ้าประตูหน้าต่างเอาไว้แล้ว หมิ่นอีนั่วจึงพรั่งพรูเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “เช้าวานนี้ พี่ชายรองของเจ้าออกไปเยี่ยมเยือนสหาย ข้าอยู่คนเดียวในเรือนไม่มีเรื่องใดทำ จึงสั่งให้คนทำของว่างแล้วไปเดินใกล้ๆ นี้ เมื่อนับๆ ดูเวลาว่าพี่ชายรองของเจ้าจะกลับมาแล้ว จึงรีบเดินกลับมา ที่ใดจะรู้ว่าจวนจะเดินถึงเรือนพักแล้ว กลับเห็นน้องเว่ยเจ็ดนั่งอยู่ข้างล่างตลิ่ง เอาร่มพาดไว้ที่ไหล่ …ข้ามองมาตั้งแต่ทางเลี้วงบนตลิ่งก็คิดว่านางกำลังมองน้ำในทะเลสาบอยู่เสียอีก! พอข้าเข้าไปใกล้ๆ พูดกับนางไปหลายหนนางก็ไม่สนใจข้า ข้าก็รู้สึกแปลกใจ ทั้งยังเห็นว่าข้างกายนางล้วนไม่มีคน จึงสั่งให้สาวใช้ลงไปผลักร่มเตือนนางสักหน …ผู้ใดจะคิดว่า…”
ริมฝีปากของหมิ่นอีนั่วสั่นน้อยๆ คราวหนึ่ง จึงบอกว่า “ผู้ใดจะคิดว่า พอผลักไป กลับเห็นว่านางหาได้นั่งดูน้ำในทะเลสาบอยู่ไม่? หากแต่นางเอาปิ่นปักที่อกตนเองอยู่ เลือดที่ไหลออกมาก็ล้วนแห้งหมดแล้ว นอกจากจะไหลอาบไปเกือบทั่วเสื้อส้างหรูคอป้ายแขนแคบสีชมพูแดงอ่อนแล้ว …แม้แต่ลมหายใจก็ยังแทบไม่มีแล้วด้วย!”
ซ่งไจ้สุ่ยได้ยินคำ แม้จะไม่ได้เห็นกับตาตน เพียงแค่นึกภาพตามก็รู้สึกตื่นตระหนกนัก บอกว่า “เป็นผู้ใดทำกัน?!”
“ทางบ้านเว่ยบอกว่าเป็นหงเอ๋อร์ซึ่งเป็นสาวใช้รุ่นโตที่ดูแลใกล้ชิดน้องเว่ยเจ็ดทำ เพราะก่อนหน้านี้นางเคยขโมยของและถูกน้องเว่ยเจ็ดลงโทษ ภายหลังเพราะนางวิงวอนอย่างน่าเวทนา น้องเว่ยเจ็ดใจอ่อนจึงปล่อยนางไป ปรากฏว่าสาวใช้นางนี้กลับยังคงคิดแค้นอยู่ในใจ ฉวยโอกาสที่วานนี้น้องเว่ยเจ็ดพานางออกมาข้างนอกเพียงคนเดียวลงมือทำร้ายนายของตน!” แม้ในห้องเวลานี้จะมีเพียงพวกนางสองคนและประตูหน้าต่างก็ยังมีบ่าวคนสนิทคอยดูเอาไว้แล้ว แต่หมิ่นอีนั่วก็ยังคงกดเสียงลงต่ำ “แต่ข้า…ข้ากลับรู้สึกว่าปิ่นด้ามนั้น เมื่อมองจากตำแหน่งและทิศทางแล้ว …ไม่เหมือนหงเอ๋อร์เป็นคนลงมือ กะ…กลับเหมือนเป็นน้องเว่ยเจ็ดลงมือเองมากกว่า!”
ซ่งไจ้สุ่ยประหลาดใจนัก กล่าวว่า “พี่สะใภ้ ข้าจะพูดความจริงสักคำ ท่านโปรดอย่าถือโทษ ข้าย่อมเชื่อสายตาท่าน ทว่าด้วยนิสัยของคุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยผู้นี้ ข้าเองก็เพียงเคยได้ยินมาบ้างเล็กน้อย นางกลับไม่เหมือนคนที่จะฆ่าตัวตายเลย”
หากบอกว่าเป็นเว่ยฉางเจวียนเกิดบันดาลโทสะแล้วไปแทงคนตาย ซ่งไจ้สุ่ยกลับจะเชื่อได้มากกว่าสักหน่อย…
หมิ่นอีนั่วยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “โธ่ น้องหญิง เจ้าก็ไม่ได้คุ้นเคยกับน้องเว่ยเจ็ด น้องเว่ยเจ็ดผู้นี้ ความจริงแล้วนางก็มิได้ร้ายกาจดังเช่นที่ข้างนอกร่ำลือกัน นางก็เพียงไม่รู้ความ! หากว่ากันเรื่องเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง นางก็ไม่มีอันใดเลยจริงๆ หาไม่แล้วแต่แรกนางก็จะไม่ไปทำเช่นนั้นกับลูกผู้น้องฉางอิ๋งหรอก ผู้คนพากันมองว่านางดูคล้ายร้ายกาจไปหาเรื่องไม่ได้ ความจริงแล้วหากจะบอกว่านางกล้าก็ไม่ได้กล้าไปถึงที่ใด …ที่ได้ยินได้เห็นว่านางทำเรื่องบ้าบิ่นลืมตัว ล้วนเพราะตอนที่นางทำนั้นต้องไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาแน่ๆ!”
ซ่งไจ้สุ่ยกลับเชื่อคำพูดนี้… นับตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งแต่งมาอยู่ที่เมืองหลวง เรื่องที่ เว่ยฉางเจวียนทำทุกๆ เรื่อง คล้ายว่านางพุ่งเป้าไปที่เว่ยฉางอิ๋ง แต่ความจริงแล้วผู้ที่ถูกนางเล่นงานสาหัสที่สุดก็ยังเป็นทางเว่ยเซิ่งอี๋ทั้งบ้าน ก่อนนี้คุณหนูเจ็ดผู้นี้ถูกเอาใจมากมายในบ้านตน ตามความประสงค์เดิมของนางจะต้องไม่คิดทำร้ายคนในบ้านตนเองแน่ แต่จนใจเหลือที่แทบทุกเรื่องที่นางทำล้วนย้อนกลับมาเล่นงานทั้งบ้านนางเอง …หากไม่ใช่เพราะนางไม่รู้ความ เช่นนั้นก็เป็นไปได้แต่ว่าแต่ชาติก่อนเว่ยฉางเจวียนเคยมีความแค้นใหญ่หลวงกับคนทั้งบ้านของเว่ยเซิ่งอี๋ หากไม่ทำร้ายคนทั้งบ้านจนถึงตายก็จะไม่เป็นสุขเท่านั้นแล้ว
ซ่งไจ้สุ่ยใคร่ครวญแล้วบอกว่า “ความหมายของพี่สะใภ้รองก็คือเป็นไปได้จริงๆ ว่าคุณหนูเว่ยเจ็ดจะ…ฆ่าตัวตาย?”
“เป็นดังนั้นจริง” หมิ่นอีนั่วเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ กับเว่ยฉางเจวียน ทั้งยังเติบโตมาด้วยกัน จึงเข้าใจนิสัยของลูกผู้น้องผู้นี้อย่างมาก นางพยักหน้ายืนยันพลางว่า “ตอนแรกที่ท่านน้าเพิ่งจะเสีย ข้าไปเยี่ยมนาง ครั้งนั้นพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนางเพิ่งจะมาปกครองบ้าน ก็ต้องมีเรื่องต่างๆ ที่ดูแลไม่ทั่วถึงเป็นธรรมดา และละเลยต่อความเสียใจที่มารดาของน้องเว่ยเจ็ดเสียไป …นางยืนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใต้ต้นเหมยกลางวันหิมะตกอยู่เพียงผู้เดียว ช่างทำให้ผู้ที่พบเห็น….”
หมิ่นอีนั่วสงสารเว่ยฉางเจวียนซึ่งเป็นลูกผู้น้องห่างๆ ที่เติบโตมาด้วยกันยิ่งนัก ส่วนซ่งไจ้สุ่ยก็รักใคร่ลูกผู้น้องแท้ๆ ของตนมากเช่นกัน จึงไม่ได้มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อ เว่ยฉางเจวียนที่คอยเป็นปรปักษ์กับเว่ยฉางอิ๋งลูกผู้น้องของตนเสมอมา นางจึงคร้านจะฟังว่าเว่ยฉางเจวียนน่าสงสารเพียงใด พลันเอ่ยขัดขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้รองเข้าใจคุณหนูเจ็ดจริงๆ ในเมื่อพี่สะใภ้บอกว่านางเป็นคนที่ฆ่าตัวตายได้ ก็คงจะผิดไปจากนี้ไม่ได้ เพียงแต่ข้าคิดว่าแม้ว่าคุณหนูเว่ยเจ็ดจะไม่ร้ายกาจเหมือนที่ข้างนอกร่ำลือกัน ทว่านางน่าจะเป็นคนที่บีบให้ผู้อื่นไปตายได้และไม่มีทางเป็นคนที่ลงมือกับตนเอง แต่ก็มิใช่เป็นคนที่พอผู้อื่นมาพูดจาสองสามคำก็จะทำให้นางคิดสั้นได้กระมัง? แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดที่ทำให้นางต้องเดินมาถึงจุดนี้?”
“ข้าจะไปรู้ได้ที่ใด?” หมิ่นอีนั่วยิ้มเจื่อนๆ หนหนึ่งพลางว่า “เรื่องวานนี้ทำเอาข้าตกอกตกใจเสียจน….แล้วบ่าวบ้านเว่ยที่ไปอยู่กับนางที่เรือนพักริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิก็มีไม่มากเสียอีก ต้องเป็นข้าบอกให้พวกสาวใช้ช่วยกันจึงหามนางกลับไปช่วยรักษาได้ ทว่าบ่าวพวกนั้นพูดไปพูดมาก็ล้วนบอกว่าหลายวันก่อนน้องเว่ยเจ็ดมีเรื่องทุกข์ใจหนัก จู่ๆ ก็เพิ่งพูดเอ่ยออกมาตอนมาถึงที่เรือนพักที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองวันมานี้เอง หลังจากมาถึงแล้วนางก็ไม่ใคร่สนใจพวกบ่าวเท่าใด … เจ้าก็รู้ว่าตอนที่ข้าออกเรือนนั้นนางยังไม่ออกทุกข์ ไม่สะดวกไปมาหาสู่กัน ตลอดระยะเวลามานี้จึงได้ห่างเหินกันไป ข้าจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับนาง?”
แม้จะพูดไปดังนี้ แต่หมิ่นอีนั่วก็ยังเดาไปคำหนึ่ง “แต่แรกครั้งท่านน้าของข้าผู้นั้นเสีย น้องเว่ยเจ็ดก็เสียใจนัก คล้ายว่า…คล้ายว่าจะทะเลาะกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนาง? หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้?”
ซ่งไจ้สุ่ยกลับบอกว่า “คนเป็นน้องสามีแต่กลับไม่รู้ความ คนเป็นพี่สะใภ้จะอบรมสักคำสองคำก็เป็นเรื่องธรรมดา ข้าคิดว่าพอครบกำหนดไว้ทุกข์ของท่านแม่คุณหนูเว่ยเจ็ดแล้ว ก็ไม่น่าจะเพิ่งมาคิดถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อนขึ้นมายามนี้ และต้องมาโกรธจนเป็นเช่นนี้กระมัง? หากบอกว่าระยะนี้นางเพิ่งถูกพี่สะใภ้ต่อว่ามา ดีชั่วก็มิใช่ว่าเป็นหนแรกแล้ว ไยต้องโกรธจนคิดสั้นด้วย?”
เพียงแต่นางถามไปถามมาหมิ่นอีนั่วก็บอกต้นสายปลายเหตุออกมาไม่ได้ …ซ่งไจ้สุ่ยจึงเสนอความคิดว่า “มิสู้พวกเราไปเยี่ยมนางสักหน่อย?”
หมิ่นอีนั่วย่อมรู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่ชอบเว่ยฉางเจวียน ที่นางรีบมาสอบถามเรื่องนี้เป็นพิเศษจะต้องมิใช่เพราะเป็นห่วงเว่ยฉางเจวียน หากแต่จะต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่าง เพียงแต่สตรีที่แต่งงานแล้ว ทั้งยังอยู่กับสามีและคนบ้านสามีได้เป็นอย่างดี อย่างไรย่อมไม่ยอมล่วงเกินคนบ้านสามีเอาง่ายๆ ฉะนั้นแม้ในใจยังคงสงสัย แต่นางก็ยังไม่ได้ออกปากถามเป้าหมายที่แท้จริงของซ่งไจ้สุ่ย เพียงพูดอ้อมๆ ไปว่า “เรือนพักทางนั้นแม้แต่พ่อบ้านคอยดูแลบ้านก็ยังไม่มี คิดว่ายามนี้คงจะวุ่นวายกันนัก ยิ่งไปกว่านั้น แม้น้องเว่ยเจ็ดจะถูกช่วยกลับมาได้แล้ว แต่ปิ่นด้ามนั้นก็ปักลงในเนื้อจริงๆ และนางก็เสียเลือดไปมากเพียงนั้น ข้าว่ายามนี้บ้านเว่ยคงจะรับนางกลับไปรักษาที่เมืองหลวงแล้วกระมัง?”
ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “ยามนี้ยังเร็วไปด้วยซ้ำ! อีกประการ หากวานนี้มิได้พี่สะใภ้รอง ก็จะช่วยคุณหนูเว่ยเจ็ดกลับมาไม่ได้ ในเมื่อในเรือนพักของ ตระกูลเว่ยแม้แต้พ่อบ้านก็ยังไม่มี พี่สะใภ้รองไยไม่เป็นคนดีให้ถึงที่สุด ด้วยการไปช่วยอีกสักหน่อยเล่าเจ้าคะ?”
หมิ่นอีนั่วมองนางคราวหนึ่งด้วยแววตาค่อนข้างสงสัย …นับแต่นางแต่งเข้ามา นางก็เข้าใจอุปนิสัยของน้องสามีผู้นี้ได้ชัดเจนแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยมีสายตาสูงส่งนัก คนทั่วยากจะอยู่ในสายตานาง แต่นี่ก็มิได้หมายความว่านางเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก ความจริงแล้ว เพียงแค่ไม่ไปหาเรื่องนางหรือขวางทางนาง ซ่งไจ้สุ่ยก็เป็นคนที่เข้ากับคนง่ายมาก
….แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ถูกอบรมออกมาตามแบบฉบับของเจ้านางที่อยู่เหนือสนมทั้งเจ็ดสิบสองในหกเรือนของสามตำหนัก นางจึงมีจิตใจกว้างขวางจนสตรีทั่วไม่อาจเทียบได้
ตามหลักแล้ว ในเมื่อหมิ่นอีนั่วผู้เป็นพี่สะใภ้ก็แสดงท่าทีออกไปแล้วว่าไม่ยอมไป ‘เยี่ยม’ เว่ยฉางเจวียน ตามอุปนิสัยเดิมของซ่งไจ้สุ่ยก็ควรจะหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้แล้ว
แต่ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยกลับค่อนข้างมีท่าทีไม่ละไม่วางอยู่เช่นนั้น
หมิ่นอีนั่วลังเลสักพัก จึงขยับเข้าไปใกล้นางพลางเอ่ยเสียงเบาไปว่า “น้องหญิง เจ้าอย่าถือโทษว่าข้ามากความ เพียงแต่ …หรือว่าเจ้าไปรู้บางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องของน้องเว่ยเจ็ดมา?”
“ข้าก็จะไม่ปิดบังพี่สะใภ้” ซ่งไจ้สุ่ยถอนใจคำหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอันใด แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “หากมิใช่เพราะยามนี้กลัวว่าจะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องใหญ่ เช้าวันนี้ข้าก็จะไม่กะเวลาให้ใกล้เวลาที่ประตูเมืองจะเปิดและเร่งเดินทางมาหรอก…”
หมิ่นอีนั่วได้ยินนางบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ พลันตื่นตะลึงขึ้นมา ซ่งไจ้สุ่ยหาใช่คนช่างตื่นตระหนก แม้แต่นางก็ยังบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว! ยามนี้ทั้งสองคนเกี่ยวดองกันเป็นน้องสามีกับพี่สะใภ้ ว่ากันว่ามีเกียรติด้วยกัน เสียหายด้วยกัน นางจึงไม่กล้าชักช้า รีบหยัดตัวขึ้นมานั่งตรงๆ “มีเรื่องใด?”
“เรื่องนี้ เวลานี้ข้ายังไม่อาจพูดออกมาได้” ซ่งไจ้สุ่ยชี้นิ้วขึ้นทำสัญญาณ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่สะใภ้อย่าได้ถือโทษข้า นี่ก็หาใช่เป็นความต้องการของข้า แต่เพราะข้ารับปากคนที่ให้ข่าวนี้กับข้ามา ว่าแม้แต่ท่านพ่อก็ห้ามบอกเด็ดขาด! เพียงขอให้พี่สะใภ้ช่วยข้าสักน้อย ต้องพาข้าไปพบกับคุณหนูเว่ยเจ็ดสักครั้งได้เป็นดีเจ้าค่ะ!”
หมิ่นอีนั่วขบริมฝีปาก กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะบอกข้าว่า เมื่อเจ้าพบกับนางแล้วเจ้าจะทำสิ่งใดบ้างกระมัง? เช่นนี้ข้าจึงจะพอช่วยเจ้าได้! ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะน้องเว่ยเจ็ดจะต้องยังไม่ฟื้นขึ้นมาแน่!”
“ข้าไม่ได้อยากจะคุยกับนาง ข้าเพียงแค่อยากพบนางสักครา” ซ่งไจ้สุ่ยส่ายหน้าพลางเอ่ย “หากสามารถสอบถามสาวใช้รุ่นโตที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนางเสมอมาได้สักน้อยจะยิ่งดี”
“ในบรรดาสาวใช้รุ่นโต เดิมทีนางก็เชื่อใจหงเอ๋อร์เป็นที่สุด แต่วานนี้หงเอ๋อร์ถูกตีตายไปแล้ว” หมิ่นอีนั่วเอ่ยพึมพำ “เรื่องนี้….”
ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “ยามนั้นพี่สะใภ้ก็ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อหงเอ๋อร์ผู้นี้เป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูเว่ยเจ็ด ในเรือนพักก็ไม่มีพ่อบ้านที่ใช้การได้สักคน แล้วกลับเป็นผู้ใดที่กล้ามาตีหงเอ๋อร์ผู้นั้นจนตาย?”
หมิ่นอีนั่วได้ยินคำพลันสะท้านไปทั้งตัว กล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าก็คิดอยู่ว่าวานนี้มีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล… แต่เพราะเห็นน้องเว่ยเจ็ดอยู่ในสภาพเลือดท่วมตัว จึงทำให้ข้าตกใจเสียจน…จนตอนนี้ก็ยังจิตใจไม่สงบเลย! ยามนี้จึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ พวกบ่าวที่ออกมาบอกว่าหงเอ๋อร์ทำร้ายน้องเว่ยเจ็ดและถูกตีตายไปแล้วเหล่านั้น ครั้งข้าไปบ้านเว่ยก่อนหน้านี้ล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน! ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังเมื่อท่านหมอถูกเชิญเข้าไปรักษาน้องเว่ยเจ็ด พอข้าหันหลังกลับมาก็ไม่เห็นคนสองสามคนนั้นแล้ว!”
___________