ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 59-1 โม่หนู
จางเสากวงที่เป็นคนที่มีท่าทีเยือกเย็นสูงส่ง สงบนิ่งเสมอมา นานครั้งจะเสียกริยาอย่างในยามนี้ นางกุมไหล่บุตรสาวด้วยมือสั่นระริก เอ่ยเสียงต่ำๆ ไปว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?! เว่ยฉางเจวียน… นาง… เหตุใดเจ้าจึงเลอะเลือนเช่นนี้! เจ้านึกว่ารุ่ยอวี่ถังอ่อนแอมานานปีแล้วจะปล่อยให้คนข่มเหงรังแกจนถึงขั้นที่บุตรีจากภรรยาเอกถูกย่ำยีแต่ก็ยังจะอดทนต่อไปเช่นนั้นหรือ?”
หลิวรั่วเหยียยิ้มเยาะ กล่าวว่า “หรือว่าพวกเขาจะกล้าประกาศเรื่องนี้ออกมา? จะไม่รักษาหน้าตาของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวแล้วหรือ? จนถึงบัดนี้เว่ยเจิ้งหงก็ยังไม่ออกมารับราชการ รุ่ยอวี่ถังรับแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการถอดถอนองค์รัชทายาทได้หรือ? พวกเขาจะต้องให้เว่ยฉางเจวียนป่วยตายเพื่อเป็นการปิดปากนาง!”
“ตระกูลเว่ยปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนทำ!” นิ้วมือของจางเสากวงกุมไหล่ของหลิวรั่วเหยียแน่นๆ เพราะออกแรงมากเกินไป จึงทำให้หลิวรั่วเหยียรู้สึกว่าเจ็บไหล่เสียยิ่งนัก ทว่าเวลานี้สองแม่ลูกกำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนกเสียอย่างยิ่ง จึงไม่ว่างจะมาสนใจเรื่องนี้ จางเสากวงคล้ายว่าจะพูดจาสับสนไปหมด “หกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แม้ว่ารุ่ยอวี่ถังจะอ่อนแอลงไปช่วยขณะ ทว่าก็ไม่อาจลบหลู่ได้! เจ้าลืมแล้วหรือว่าก่อนนี้ใช่ว่าจือเปิ่นถังไม่เคยรุ่งเรืองมาก่อน? ทว่าไม่ว่าจือเปิ่นถังจะรุ่งโรจน์เพียงใด แต่อย่างไรก็ต้องถูกตระกูลสายหลักควบคุม! ครานี้เจ้าสร้างความแค้นจนถึงตายแก่รุ่ยอวี่ถังแล้ว! แม้อันดับตระกูลหลิวของพวกเราไม่ได้ด้อยกว่าตระกูลเว่ย ทว่าเมื่อตระกูลเว่ยพุ่งเป้ามาที่เจ้าผู้เดียว ตระกูลเราก็จะไม่อาจปกป้องเจ้าได้รอบด้าน!”
หลิวรั่วเหยียขบฟัน กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะมีวิธีใดอีก? หากไม่ใช่เว่ยฉางเจวียนมาแทนข้า แล้วฉวยโอกาสเปิดโปงจนทำให้องค์รัชทายาทตกพระทัย หรือต้องเป็นตัวข้าเองที่ถูกองค์รัชทายาทข่มเหง?! หลิวรั่วอวี้นังสารเลว ยามนี้กำลังหาหนทางผลักข้าไปอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาท! ท่านแม่ท่านยังสามารถเชิญท่านพ่อเข้าออกพร้อมกันท่าน ทว่าลูกเล่า? หลิวรั่วอวี้เดี๋ยวก็ป่วย เดี๋ยวก็จัดงานเลี้ยงอยู่ทุกสามวันห้าว่า ทุกคราล้วนส่งคนมารับข้าไปที่ตำหนักตะวันออก! คะ…คราก่อนหากมิใช่เพราะเว่ยฉางเจวียนออกทุกข์พอดี ข้าจึงถือโอกาสเชิญนางไปด้วยกัน หากมิเช่นนั้น คนที่ถูกองค์รัชทายาททำลายความบริสุทธิ์ก็ต้องเป็นข้าแล้ว!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนที่มีแผนแยบยลนักหนาเช่นนางก็อดจะน้ำตาพรั่งพลูออกมาไม่ได้! นางร้องไห้คร่ำครวญว่า “แต่แรกนั้นไยต้องเลือกนางไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาทให้ได้เล่า? บ้านเราก็ไม่ได้คิดจะถอดถอนองค์รัชทายาท ยามนี้นางเป็น พระชายาองค์รัชทายาท ก็สามารถหันมาทำร้ายข้าเช่นนี้ได้แล้ว วันพรุ่งเมื่อนางเป็น ฮองเฮา แล้วข้าจะทำเช่นใด? นังสารเลวใจชั่วเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ควรให้นางมีชีวิตอยู่จนได้ออกเรือน!”
จางเสากวงเองก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้หนักหนา ถอนใจพลางโอบหลังบุตรสาว เอ่ยเสียงเบาว่า “นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ครานั้นสตรีในตระกูลที่เหมาะสมจะเป็น พระชายาองค์รัชทายาทก็มีอยู่สามคน ข้าย่อมตัดใจให้เจ้าไปไม่ได้ ท่านอาสะใภ้ก็ตัดใจให้ลูกผู้พี่ของเจ้าไปไม่ได้ หากมิใช่นังสารเลวหลิวรั่วอวี้ แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้? ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ต้องยากระเรียนระทม เดิมทีก็อยู่ได้อีกไม่กี่ปี ตอนแรกคิดว่าให้นางเป็น พระชายาองค์รัชทายาทสักปีสองปีก่อน เพื่อให้ฮองเฮาวางพระทัย หากนางไม่มีชีวิตรอดแล้ว รอจนสตรีในคนอื่นๆ ในตระกูลเราโตแล้ว อย่างมากก็ให้แต่งใหม่อีกครั้ง …แต่ผู้ใดจะรู้ว่า…”
ผู้ใดจะรู้ว่าบุตรีจากภรรยาคนก่อน อยู่ดีๆ ก็เหมือนกับรู้แจ้งขึ้นมาเสียในทันใด นอกจากพวกนางแม่ลูกเกินจะรับมือได้แล้ว กระทั่งหลิวไห้บิดาของนางก็ยังทำอันใดนางไม่ได้? เวลานี้กลับหันมาเล่นงานพวกนางแม่ลูกสองคนเสียอีก ด้วยฐานะของนาง แม้จางเสากวงและหลิวรั่วเหยียจะรู้ดีว่านางประสงค์สิ่งใด แต่ก็ยังต้องแอบถอนใจและอดรนทนไม่ไหวแล้ว
“ผู้ที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญมิใช่นาง แต่เป็นตระกูลหลิวของเรา หรือว่าจะไม่อาจให้นาง…” ดวงตางามของหลิวรั่วเหยียขยับคราวหนึ่ง มีแววร้ายกาจเผยออกมา ยกมือขึ้นมาส่งสัญญาณที่ข้างลำคอ
“แต่องค์รัชทายาทไร้ยางอาย ยามนี้ก็จ้องพวกเราแม่ลูกทั้งน้ำลายไหลย้อยแล้ว!” จางเสากวงเอ่ยเสียงหนัก “หากว่านังสารเลวหลิวรั่วอวี้เกิดเรื่องขึ้นมา ก็มิใช่ว่าจะสมดังปรารถนาขององค์รัชทายาทพอดี แล้วฉวยโอกาสนี้แต่งเจ้าเข้าไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่หรอกหรือ? เวลานี้ตระกูลเสิ่นมีอำนาจยิ่งใหญ่ ตระกูลเว่ยก็ดูท่าว่าจะเรืองอำนาจขึ้นมาแล้ว ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก และกำลังทรงหาวิธีจะทำให้ผู้สืบราชบัลลังก์มีความมั่นคง เพื่อมิให้เหล่าตระกูลสูงศักดิ์เป็นภัยต่อแผ่นดินของตระกูลเซิน! เมื่อองค์รัชทายาทมีพระประสงค์ใดขึ้นมาในยามนี้ ฮ่องเต้จะต้องทรงพระราชทานอนุญาตเป็นแน่!”
หลิวรั่วเหยียสะดุ้ง พึมพำไปว่า “แต่ท่านแม่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่? เวลานี้องค์รัชทายาทยังไม่ขึ้นสืบราชบัลลังก์ก็กล้าลงมือกับเว่ยฉางเจวียนแล้ว นี่หากให้เขาขึ้นครองราชย์ ฮองเฮาจะทรงขัดขวางไม่ให้เขาลงมือกับพวกเราได้หรือ? หรือต่อให้ ฮองเฮาทรงขัดขวางได้ ถึงยามนั้นขึ้นมา ไยนางต้องมาปกป้องพวกเราต่อไปด้วยเล่าเจ้าคะ?”
จางเสากวงสะดุ้งหนแล้วหนเล่า โพล่งออกไปว่า “เจ้าหมายถึง…?”
“ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโอรสและพระราชนัดดามากมายมิใช่หรือเจ้าคะ?”
…ณ ตำหนักตะวันออก พระชายาองค์รัชทายาทหลิวรั่วอวี้อุ้มแมวฮวาหลีที่เห็นได้ชัดว่าอ้วนเกินไปตัวหนึ่ง เอนตัวอิงอยู่บนตั่งอย่างเกียจคร้าน มองดูจวีจงเดินเข้ามา แล้วเอ่ยถามอย่างสบายๆ ว่า “มีเรื่องใดรึ?”
“เมื่อครู่นี้ ตอนบ่าวเดินใกล้จะมาถึงประตูตำหนัก จู่ๆ ก็มีคนมาขวางเอาไว้ บอกว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งจะมอบให้แก่พระชายาพะยะค่ะ” จวีจงคำนับแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดว่า “คนผู้นั้นนำจดหมายมอบให้บ่าวก็บอกมาคำหนึ่ง ว่าจะขอแลกจดหมายฉบับนี้กับหนึ่งพันตำลึงเงินจากพระชายาพะยะค่ะ!”
หลิวรั่วอวี้สะดุ้ง หัวเราะลั่นว่า “ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ? เจ้าวางจดหมายเอาไว้ แล้วออกไปเรียกโม่หนูเข้ามา”
จวีจงออกไปตามคำนาง แล้วพาขันทีน้อยอายุราวสิบสองสิบสามปีผู้หนึ่งเข้ามา
ขันทีน้อยผู้นี้มีหน้าตาซื่อๆ ซึ่งความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่เฉลียวฉลาดจริงๆ ในตำหนักไม่ได้ห้ามให้ขันทีร่ำเรียนหนังสือ กระทั่งบางคราวก็ยังมีขันทีเฒ่ามาสอนเหล่านางกำนัลและบ่าวในตำหนักร่ำเรียนเขียนอ่านด้วย เพียงแต่โม่หนูโง่เขลา ว่ากันว่าเขาถูกขายเข้ามาทำงานในวังตั้งแต่อายุเจ็ดแปดขวบ จนยามนี้แม้แต่ชื่อของตัวเองก็ยังอ่านไม่ออก
ทว่า เหตุที่หลิวรั่วอวี้สั่งให้เขามาดูแลรับใช้ในเรือนพักของตน ก็ด้วยความไม่เฉลียวฉลาดอันนี้ของเขานี่เอง
ยามนี้เห็นเขามาแล้ว หลิวรั่วอวี้เงยคางไปทางหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ “เปิดอ่านดูซิ”
โม่หนูตอบรับคำหนหนึ่ง และไม่ถามถึงเหตุผล ก็เดินเข้าไปหยิบจดหมายขึ้นมาและแกะจดหมายออกอย่างงกๆ เงิ่นๆ …ระหว่างนั้น หลิวรั่วอวี้และนางกำนัลข้างกายล้วนจับจ้องไปที่เขาตาไม่กระพริบ ผ่านไปพักใหญ่ โม่หนูที่ถือจดหมายอยู่ก็ยังคงปลอดภัยดี หลิวรั่วอวี้จึงพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าวว่า “วางจดหมายลง แล้วเจ้าก็ออกไปได้”
แล้วสั่งนางกำนัลว่า “ให้รางวัลเขาห้าตำลึงเงิน!”
หลิวรั่วอวี้ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างโต๊ะ นางเคยทนทุกข์ในมือของแม่เลี้ยงมามาก หลังจากเข้าวังมานางก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น แม้เมื่อครู่นี้จะเรียกโม่หนูมาทดสอบดูว่าจดหมายฉบับนี้มีลูกไม้ใดหรือไม่ แต่เวลานี้ก็ยังคงไม่กล้าเอามือไปแตะต้องมัน นางดึงปิ่นเงินที่อยู่ข้างมวยผม เขี่ยจดหมายให้เปิดออก …จดหมายฉบับนั้นกลับไม่ยาว ทว่าตัวลายมือหวัดไม่กี่ประโยคนั้น กลับทำให้สีหน้าของหลิวรั่วอวี้เปลี่ยนไปทันใด!
ชั่วพริบตาเดียว สีหน้าของนางที่เดิมทีก็ค่อนข้างซีดขาวอยู่แล้วกลับยิ่งซีดขาวลงไปอีก ไม่เพียงเท่านั้น นางถึงขั้นตื่นตกใจเสียจนยกมือขึ้นปิดปากโดยไม่รู้ตัว เพื่อปิดเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก!
หลังจากใคร่ครวญอย่างรวดเร็วสักพัก หลิวรั่วอวี้ก็ไม่สนใจว่าจดหมายนี้จะมีลูกไม้ใดซุกซ่อนอยู่หรือไม่อีกแล้ว พลันหยิบเอาจดหมายรวมทั้งซองจดหมายที่โม่หนูฉีกออกมายัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ แล้วสั่งบ่าวซ้ายขวาด้วยเสียงหนักว่า “เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปเฝ้าฯ พระมารดาเดี๋ยวนี้!”
…………………