ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 61 หลุมพรางอาชาขาว
ณ ซีเหลียง นอกด่านเตี๋ยชุ่ย ทิวทัศน์เขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
ใน ‘กลอนด่านเตี๋ยชุ่ย’ ที่ส้างกวานสืออีเขียนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของตนต่อเสิ่นจั้งเฟิง บอกว่าเขาเตี๋ยชุ่ยเป็นถึงสถานที่ที่ ‘กางกั้นซีเหลียงเอยเป็นด่านแรก’ ไม่เพียงแค่บอกว่าภูมิประเทศของด่านเตี๋ยชุ่ยมีความสำคัญเท่านั้น หากแต่ยังบอกถึงสภาพภูมิประเทศที่แท้จริงด้วยว่า …ทางทิศตะวันตกของด่านเตี๋ยชุ่ยเป็นทุ่งหญ้าที่ทอดตัวยาวต่อกัน มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา
จากดินแดนของชิวตี๋เข้ามาสู่ต้าเว่ย ด่านเตี๋ยชุ่ยเป็นเมืองหน้าด่านแรก เป็นสถานที่อยู่ในระยะพันลี้เพียงแห่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นปราการหน้า
ตำบลตงเหอที่เสิ่นจั้งเฟิงเคยเข้าทำศึกอย่างดุเดือดก็ยังอยู่ถัดเข้ามาจากด่านแห่งนี้ไปทางตะวันตกอีกร้อยลี้
เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างต้าเว่ยกับชิวตี๋ซึ่งอยู่ไกลที่สุดก็คือตำบลตงเหอ
เพราะไปทางทิศตะวันตกจากตำบลตงเหอไปอีกก็จะไม่มีหมู่บ้านอีกแล้ว และไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะเป็นฐานที่มั่นของทัพต้าเว่ย เมื่อไม่มีกองทัพประจำอยู่ ชาวตี๋ที่ไปมาดังลมพัดย่อมต้องพยายามครอบครองที่แห่งนี้
ดังเช่นในยามที่ไฟสงครามไม่เคยสงบมาตลอดหลายปีมานี้ พื้นที่ที่มีลักษณะดังเช่นตำบลตงเหอ ก็มักจะต้องตกอยู่ในมือของพวกเขาสักวันหนึ่ง เพียงแต่สถานที่ที่เมื่อถูกยึดครองแล้วจะผลกระทบในวงกว้างกลับมีอยู่จำกัด และที่ที่เป็นตัวกำหนดความปลอดภัยของซีเหลียงก็ยังคือด่านเตี๋ยชุ่ย
เพียงแต่ ตลอดทางจากด่านเตี๋ยชุ่ยถึงตำบลตงเหอ ล้วนถูกโจมตีได้โดยง่าย อีกทั้งระหว่างทางก็ยังเป็นพื้นที่ราบที่เหมาะให้ทหารม้าเดินทางไปมา …ฉะนั้นไม่ว่า ตำบลตงเหอจะอยู่ในกำมือของชาวเว่ยหรือไม่ ด่านเตี๋ยชุ่ยก็ยังคงเป็นเขตต้องห้ามเสมอไป ซึ่งนี้ก็คือประสบการณ์ที่บรรพชนใช้เลือดและน้ำตาสั่งสมมาจนทุกวันนี้
แม้ในตัวเมืองยังคงมีการเตรียมการป้องกันชาวตี๋เอาไว้ตลอดเวลา แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เคยทำลายความงดงามของด่านเตี๋ยชุ่ยไปเลย
ด่านเตี๋ยชุ่ยในยามฤดูร้อน มีสีเขียวทั้งอ่อนและเข้มอยู่ทั่วไปหมดทั้งนอกและในด่าน เมื่อเงยหน้าออกไปมองไกลๆ บนท้องฟ้าที่สดใสปลอดโปร่ง เหยี่ยวนกเขาบินร่อนอยู่สูงๆ และคอยส่งเสียงร้องก้องไปทั่วท้องฟ้า ยามลมกระพือมา ทั้งนอกด่านในด่าน ก็ล้วนกลายเป็นระรอกคลื่นเขียวสาดซัด
บนหัวเป็นท้องฟ้าใสดังทะเลคราม และที่ย่างกรายผ่านไปก็เป็นพื้นดินที่เขียวดังมรกต …เว่ยฉางอิ๋งสวมชุดแดงรองเท้ายาวสีดำ ในมือถือแส้ม้าสีทอง นั่งคาบอยู่บนอานม้างดงาม ควบทะยานอย่างสนุกสนาน เพียงแค่คลายบังเหียน ม้าชั้นเลิศพันธ์พื้นเมืองที่ทั้งตัวเป็นสีขาวไร้สีอื่นใดปะปนแม้แต่เส้นเดียวก็ขยับขายาวๆ ทั้งสี่ข้างของมัน แล้วทิ้งกลุ่มคนที่ติดตามมาไปอย่างง่ายดาย พานางวิ่งไปยังเนินเตี้ยๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
“ฮูหยินน้อยโปรดช้าสักหน่อยขอรับ!” ม้าตัวนี้ของเว่ยฉางอิ๋ง เป็นม้าที่นายทหารรักษาการณ์ในด่านเตี๋ยชุ่ย สรรหามาอย่างยากลำบาก ซึ่งเดิมทีวางแผนเอาไว้ว่าจะมอบให้แก่เสิ่นจั้งเฟิง แต่กลับไม่คิดว่าคราวนี้เสิ่นจั้งเฟิงจะพาภรรยามาด้วย พอนายทหารรักษาการณ์เพิ่งจูงม้าเข้ามา ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันใด …นายทหารรักษาการณ์เคยได้ยินเรื่องความรักที่เสิ่นจั้งเฟิงมีต่อภรรยามานานแล้ว จึงเปลี่ยนคำจากที่จะบอกว่านำมามอบให้เสิ่นจั้งเฟิงว่าเตรียมเอาไว้ให้ฮูหยินเว่ยเสีย ปรากฏว่าสองสามีภรรยาล้วนพึงพอใจนัก … เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ม้าที่ถูกใจ อีกทั้งนอกด่านเตี๋ยชุ่ย ก็ยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะจะขี่ม้า อาศัยจังหวะที่เสิ่นจั้งเฟิงจะนำของกำนัลไปมอบให้ส้างกวานสืออีผู้เก่งกาจผู้นั้น ตนเองจึงได้ควบม้าออกมาท่องเที่ยวคราวหนึ่ง
ทว่าม้าตัวนี้เป็นม้าที่นายทหารรักษาการณ์ใช้ทุกวิถีทางไปจัดหามา ม้าขององครักษ์และของสาวใช้ล้วนไม่ได้ดีเช่นนี้ โดยเฉพาะเหล่าสาวใช้ล้วนเพิ่งจะเรียนวิธีขี่ม้า ต่างพากันนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่าจะตกลงไป จึงไม่มีทางตามนางมาทัน
เมื่อเห็นว่านางขี่ม้าอย่างสำราญ องครักษ์นายหนึ่งจึงรีบไล่ตามไปเตือนว่า “อีกไม่ไกลก็เป็นเขตแดนตี๋แล้วขอรับ เกรงว่าอาจมีกองกำลังชาวตี๋ออกมาลาดตระเวน จะขัดความสำราญของฮูหยินน้อยเอาได้ขอรับ”
“ในเมื่อเป็นดังนี้ ข้าก็จะวิ่งไปมาใกล้ๆ แถบนี้เป็นพอแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยตอบอย่างสบายใจ “ที่แห่งนี้เป็นเขตแดนเว่ยของเรา พวกตี๋เพิ่งจะพ่ายแพ้ไป คิดว่าคงไม่กล้ามาหรอก”
องครักษ์ก็คิดดังนี้เช่นกัน จึงบังคับม้าให้ถอนไปครึ่งตัว และคอยอารักษ์ขาอยู่เยื้องๆ ไปทางด้านหลัง
อาชาขาวที่โลดแล่นอย่างปราดเปรียวทว่าแข็งแกร่งอยู่บนพรมสีเขียวขจีตัวนี้ ยามวิ่งเหยาะๆ ช่างสง่างามและมั่นคง เว่ยฉางอิ๋งต้องหรี่ตาลงเพราะมีลมเย็นบางเบาในฤดูร้อนพัดจากทุ่งหญ้าเข้ามาปะทะใบหน้าของนาง
ไม่คิดว่า…
พลันมีเสียงผิวปากยาวๆ ดังมาจากที่ไกลๆ
องครักษ์เป็นคนใน ‘จี๋หลี’ ที่อยู่ในซีเหลียงมาเป็นเวลานาน มีประสบการณ์โชกโชน เมื่อได้ยินเสียงสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันใด ทางหนึ่งก็ควบม้าเร่งไปให้ทันเว่ยฉางอิ๋ง อีกทางหนึ่งก็ร้องเตือนเสียงลั่นว่า “ฮูหยินน้อยโปรดระวัง! มีพวกตี๋…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เว่ยฉางอิ๋งก็กลับต้องตื่นตกใจอย่างยิ่ง …ด้วยคล้ายว่าในขณะเดียวกันกับที่เสียงผิวปากดังขึ้นมา ม้าขาวของนางคล้ายว่าจะส่งเสียงฮี่ออกมายาวๆ อย่างเบิกบานใจ จากนั้นก็ไม่อยู่ในการควบคุมของนางอีกเลย หากแต่รีบสาวเท้าทั้งสี่ออก และวิ่งพุ่งตรงไปทางเขตแดนตี๋ดังลมกรดเช่นนั้น
“ม้าตัวนั้น!” องครักษ์พลันตระหนักขึ้นมาทันใด ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ปลดคันธนูยาวจากข้างอานม้า แล้วยิ่งศรพิ้วๆๆ ไปทางม้าขาวที่ตามไปไม่ทันตัวนั้นติดต่อกันสามดอก!
“เจ้าทำสิ่งใด?” สาวใช้จูเสียนมีฝีมือขี่ม้าย่ำแย่ เวลานี้เพิ่งจะตามมาทันองครักษ์ พลันร้องเสียงแหลมขึ้นมา “เจ้ายิงม้า แล้วฮูหยินน้อยจะทำเช่นใด?!”
“พวกตี๋เหี้ยมโหด หากฮูหยินน้อยถูกพวกตี๋จับไปอยู่ในมือ แล้วจะรอดได้อย่างไร?!” มองไปก็เห็นว่าศรสามดอกกำลังจะยิ่งถูกม้าจนล้มแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าพลันมีศรอีกสามดอกพุ่งออกมาจากทางด้านข้างในเวลาเดียวกัน และยิงศรสามดอกที่ประสงค์จะสังหารม้าร่วงหล่นลงไปทั้งหมดอย่างแม่นย่ำ! ม้าขาวตัวนั้นวิ่งเร็วเหนือธรรมดา ในเวลาเพียงน้อยนิดเท่านี้ก็วิ่งเลยรัศมีที่ศรจะยิงถึงไปแล้ว องครักษ์หน้าถอดสิในทันใด พลันหันหลังตะโกนบอกทุกคนว่า “รีบส่งคนกลับไปรายงานโดยไว! ให้เชิญนายทหารรักษาการณ์ออกมาก่อน แล้วเชิญคุณชายมาควบคุมกองกำลังป้องกันทั้งด่านเอาไว้ …เพื่อป้องกันมิให้พวกตี๋จับฮูหยินน้อยเป็นตัวประกันแล้วเข้ามาโจมตี!”
องครักษ์ที่ชำนาญการขี่ม้านายหนึ่งไม่ทันส่งเสียงใดก็ดึงหัวม้าให้หันจากไป …ในเวลานั้นเองกลับมีองครักษ์ที่สายตาดีร้องออกมาเบาๆ ว่า “ดูสิ!”
ทุกคนหันมองตามไปในขณะที่กำลังควบม้าตาม กลับเห็นว่าม้าขาวที่เดิมทีวิ่งอยู่อย่างรวดเร็วจู่ๆ ก็เซอย่างรุนแรง คล้ายว่าถูกโจมตี เว่ยฉางอิ๋งที่เดิมทีนั่งอยู่บนหลังมันก็ถูกสะบัดให้หลุดออกมาด้วย และร่วงหล่นลงไปบนพงหญ้าสูงไกลๆ ออกไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย!
ม้าขาวสะบัดคนบนหลังม้าลงแล้วตัวมันเองก็พยายามพยุงตัวไปอีกหลายก้าว คล้ายว่าจะร้องด้วยความเจ็บปวดไปหลายครั้ง แล้วก็ล้มลงที่พื้นอย่างแรง!
“แม้แต่คน ฮูหยินน้อยก็ยังสังหารมาแล้ว แล้วจะไม่กล้าสังหารม้าได้อย่างไร?” จูเสียนตกตะลึง จากนั้นก็นึกขึ้นได้และร้องไปทางเหล่าองครักษ์ “เร็ว! ตามเข้าไป ปกป้องฮูหยินน้อย!”
พลันมีจุดดำเล็กๆ หลายจุดปรากฏขึ้นมาในพงหญ้าสูงที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เช่นกัน แล้วจุดดำเล็กๆ นั้นก็พากันวิ่งกรูไปตรงที่เว่ยฉางอิ๋งร่วงลงไป!
“เสิ่นอี้ ฝีมือธนูเจ้าดีที่สุด เตรียมคันธนูให้ดี!” หัวหน้ากองของ ‘จี๋หลี’ กองนี้คาดคะเนระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่าย แล้วร้องด้วยเสียงเฉียบขาดไปว่า “หากพวกเราช่วยฮูหยินน้อยกลับมาได้ ก็ให้ช่วย! หากช่วยกลับมาไม่ได้…เจ้าก็ทำไปตามกฎทันที! คนในตระกูลสายหลัก ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงชราเด็กเล็ก ล้วนฆ่าได้หยามไม่ได้!”
องครักษ์ที่ชื่อว่าเสิ่นอี้เอ่ยด้วยเสียงหนักว่า “ขอรับ!”
ในเวลาเดียวกัน เว่ยฉางอิ๋งอาศัยพงหญ้าสูงอำพรางตัวและพยายามสงบใจที่เต้นรัวแทบคลั่ง ค่อยๆ ขยับทีละก้าวไปในทิศของด่านเตี๋ยชุ่ย นางสำนักเสียใจหาใดเปรียบว่าเหตุใดวันนี้จึงได้เลือกสวมเสื้อผ้าสีแดงทับทิม และที่ยิ่งเสียใจไปมากกว่านั้นก็คือก่อนนางจะออกมาก็ไม่ยอมฟังคำแนะนำขององครักษ์ ว่าให้เปลี่ยนมาสวมเครื่องแต่งกายที่ทะมัดทะแมงของบุรุษ ด้วยถือดีในฝีมือขี้ม้าของตนจึงได้สวมชุดสตรีสูงศักดิ์เต็มยศที่ทั้งหนักและรุ่มร่ามออกมา
เวลานี้ ยามมาอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี เสื้อผ้าที่แดงดังเพลิงนี้เพียงคิดก็รู้ว่าจะเป็นที่ดึงดูดสายตาคนเพียงใด แม้นางจะพยายามหมอบลงยามเคลื่อนที่ไปในพงหญ้า แต่เสื้อผ้าของชนสูงศักดิ์ก็รุ่มร่ามเพียงนี้…
ผืนดินใต้ตัวนางกำลังสั่นสะเทือน ทั้งเศษดินทรายเล็กๆ และฝุ่นผงในพงหญ้ากำลังตลบขึ้นมา …เพราะม้าของทั้งสองฝ่ายล้วนเร่งควบมาทางนี้ประหนึ่งเสียสติ
หากคนที่มาถึงก่อนเป็น ‘จี๋หลี’ ก็ยังแล้วไป …แต่หากคนที่มาถึงก่อนเป็นพวกตี๋ ในแววตาของเว่ยฉางอิ๋งพลันมีความเคว้งคว้างฉายวาบเข้ามา และกำปิ่นทองที่เหลืออยู่เพียงด้ามหนึ่งไว้ในอุ้งมือแน่น
เมื่อครู่นี้นางถูกม้าขาวสะบัดตกลงมาในเขตแดนตี๋ ด้วยกำลังตื่นตระหนกไม่ทันระวังและเตรียมตัว จึงคว้าบังเหียนม้าเอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ แต่ภายหลังได้เห็นภาพที่พวกองครักษ์คิดจะสังหารม้าแต่กลับถูกพวกตี๋ขัดขวางเอาไว้ เมื่อเว่ยฉางอิ๋งถูกเตือนสติดังนั้นจึงดึงปิ่นทองหนึ่งด้ามจากปิ่นหนึ่งคู่ที่ปักบนมวยผมในวันนี้ออกมาอย่างไม่ลังเลและแทงลงที่หัวม้า สังหารม้าขาวที่ความจริงแล้วนางชื่นชอบนักหนาตัวนั้น
ปิ่นด้ามนั้นยังคงปักอยู่บนตัวมาจนยามนี้ และตอนนี้เหลือเพียงด้ามนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นของมีคมชิ้นสุดท้ายข้างกายนาง
“ฆ่า!” เสียงตะโกนดังมาจากที่ไม่ไกลนัก เป็นคนทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้กันมากแล้ว
เสียงคันธนูและลูกศรดังพึบพั่บไม่ขาดสาย
จากนั้นก็เป็นเสียงคนกระโดดลงจากม้า แล้วใช้ดาบและหลังคันธนูแหวกพงหญ้า เดินสาวเท้ายาวๆ เข้าค้นหามาทางทิศที่ตนอยู่
เว่ยฉางอิ๋งหยุดมุดหนี ยกมือขึ้นมาช้าๆ และตั้งใจฟังเสียงที่เข้ามาใกล้ตน
ด้วยหวาดกลัวต่อศัตรูอย่างสุดขั้วหัวใจ ทำให้รู้สึกว่าฟ้าดินช่างห่างไกลหาขอบเขตไม่ได้ขึ้นมาในทันใด ทั้งโลกเหลือเพียงแค่เสียงหัวใจเต้น เสียงค้นหากับเสียงม้าร้องที่ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที และเสียงดิ้นรนและร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดของคนที่ล้มลงมาดังไม่ขาดสาย
เว่ยฉางอิ๋งตึงเครียดไปทั้งตัวประหนึ่งคันธนูที่กำลังขึ้นศรเตรียมยิง … คำสอนทั้งหมดเกี่ยวกับการสังหารที่เคยได้ยินจากเจียงเจิงนับตั้งแต่นางอายุห้าขวบ พลันแล่นผ่านเข้ามาในสมองเหมือนสายน้ำไหล
คันธนูคันหนึ่งแหวกหญ้าเยื้องๆ มาจากด้านหลัง ในพงหญ้าสีเขียวขจี เสื้อผ้าสีแดงทับทิมฉูดฉาด ทำให้เจ้าของคันธนูส่งเสียงร้องออกมาอย่างดีใจโดยไม่ทันคิด กำลังจะหันหัวไปบอกกับพวกพ้อง อึดใจต่อมา เขาก็กลับกุมลำคอและดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง …ชาวตี๋ผู้นี้ยังไม่ทันขาดใจตาย ก็รู้สึกว่าที่เอวพลันว่างเปล่า ความคิดสุดท้ายของเขาก็คือ “มิใช่บอกว่าชาวเว่ยล้วนอ่อนแอ สตรีล้วนอ่อนแอรังแกง่ายดังลูกแกะตัวน้อย ยิ่งสูงศักดิ์ก็ยิ่งไร้น้ำยา เหตุใดสตรีผู้นี้จึง….หลุมพราง?”
เว่ยฉางอิ๋งดึงดาบมาจากเอวของชาวตี๋แล้วก็ต้องสำนึกเสียใจที่พบว่าแต่ไรมาตนเองไม่เคยใช้ดาบวงพระจันทร์มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นแม้คมมีดจะเพิ่งลับมา ด้วยสายตาของนางที่เคยเห็นอาวุธชั้นดีมาก่อนแล้ว ก็ยังเห็นชัดว่ามันไม่คมเอาเสียเลย
แต่อย่างไรก็ดีกว่าไม่มี
แม้ปิ่นทองจะคมแต่ก็สั้นนัก นอกจากจะใช้เป็นอาวุธลับแล้วก็ใช้ในการต่อสู้แบบประชิดตัวได้เท่านั้น การเข้าต่อสู้กับพวกตี๋แบบประชิดตัวในขณะที่นางสวมชุดสตรีสูงศักดิ์ทั้งตัว และท่ามกลางพงหญ้าในช่วงที่หญ้าขึ้นแน่นที่สุดของปีโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียง นั่นนับว่าเป็นวิธีการที่โง่เง่าเป็นที่สุด
เว่ยฉางอิ๋งได้ดาบมา ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ไม่ได้หมอบตัวทั้งหมดอยู่ในพงหญ้าเหมือนก่อนอีก ด้วยหวังจะค้นหาร่องรอยขององครักษ์ของตน
ความจริงแล้วไม่ต้องให้นางหา บนหญ้าที่ขึ้นแน่นขนัดนี้ เหล่าผู้คนที่ทางหนึ่งกำลังเข้าห้ำหั่นกัน และอีกทางหนึ่งก็กำลังค้นหาต่างเห็นตั้งนานแล้วว่าจู่ๆ ชาวตี๋ผู้นั้นก็ล้มลง จึงพากันกรูเข้ามาทางนี้…
ท่ามกลางการต่อสู้ชุลมุน เว่ยฉางอิ๋งอาศัยฝีมือของตนสังหารชาวตี๋สองคนที่เข้ามาล้อมตนไปก่อน ที่สุดก็ได้มาพบกับเหล่าองครักษ์ของตน และถูกป้องกันและห้อมล้อมเอาไว้ภายในโดยทันที
ทว่าในเวลานั้นเอง พวกเขาเพิ่งจะพบว่าจำนวนของพวกตี๋มีมากกว่าที่พวกเขาคาดไว้มากนัก
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะได้รับการช่วยเหลือมาแล้วชั่วขณะ ทว่าทั้งนางและองครักษ์ก็ถูกพวกตี๋ปิดล้อมเอาไว้จนหมด
ด่านเตี๋ยชุ่ยที่อยู่ห่างออกไป ก็กลับยังไม่เห็นว่าจะมีกำลังหนุนส่งออกมา
คมดาบและคมกระบี่ที่มีมากมายดังป่าไม้ส่องประกายวิบวับเย็นยะเยือกและน่าสะพรึงกลัวยามอยู่ใต้แสงอาทิตย์ หัวหน้าของพวกตี๋เดินอยู่นอกวงดาบและกระบี่นี้ คอยตะโกนด้วยภาษาตี๋ออกมาไม่หยุด แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งที่ไม่รู้ภาษาตี๋ก็ยังฟังเข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดน่าจะเป็นคำพูดบอกให้ยอมแพ้เสีย
“ฮูหยินน้อย ข้าน้อยเสิ่นเถียนขอรับ” คนใน ‘จี๋หลี’ เข้าใจภาษาตี๋แต่ตอนนี้กลับไม่มีคนแปลให้เว่ยฉางอิ๋งฟัง ดาบยาวถูกกุมอยู่ในมืออย่างมั่งคงประหนึ่งหินผา เขาหันหลังชนหลังของเว่ยฉางอิ๋งพลางเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงที่เนิบนาบทว่าเย็นเฉียบ “ตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ข้าน้อยมิทราบว่าฮูหยินน้อยทราบหรือไม่ นั่นก็คือ คนในตระกูลสายหลัก ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงชราเด็กเล็ก ฆ่าได้ หยามไม่ได้!”
เว่ยฉางอิ๋งกุมดาบวงพระจันทร์ไว้แน่น เอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ข้าไม่รู้!”
เสิ่นเถียนพลันขมวดคิ้ว กำลังจะเตือนต่อไป กลับได้ยินเว่ยฉางอิ๋งพูดต่อว่า “ทว่าแต่เล็กมาข้าเคยได้รับการสั่งสอนมา ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวก็อบรมบุตรหลานว่า ฆ่าได้ หยามไม่ได้ เช่นกัน!”
“ข้าน้อยไร้ควานสามารถ ยามนี้ไม่สะดวก เอาไว้ข้าน้อยค่อยไปขอขมาฮูหยินน้อยในยมโลกขอรับ!” เสิ่นเถียนโล่งใจ พยักหน้าอย่างปลื้มปิติ
เวลานี้ชาวตี๋ที่ล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศล้วนกำลังน้าวคันศร แค่ฝนลูกศรเพียงห่าเดียว …ต่อให้ยามนี้ประตูของด่านเตี๋ยชุ่ยเปิดออก และกองทัพรักษาด่านดาหน้ากันออกมาก็ยังไม่อาจช่วยพวกเขาได้!
เว่ยฉางอิ๋งทอดตาไปยังประตูด่านที่ยังคงปิดแน่นและอยู่ห่างออกไปไกลลิบอย่างอาลัยอาวรณ์ สายตากลับยิ่งมองข้ามด่านเตี๋ยชุ่ยไปในทิศทางของเมืองหลวง ถอนใจเบาๆ ว่า “หากมีโอกาสได้เห็นกวงเอ๋อร์อีกสักครา จะดีเพียงใด?”