ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 62 เจรจาสงบศึก
เสียงสายคันศรดังไม่หยุด ลูกศรพุ่งออกมาดังพายุฝน
เพียงแต่ท่ามกลางเสียงดังห่าฝนนั้น พวกของเว่ยฉางอิ๋งต่างพากันประหลาดใจเมื่อพบว่าความเจ็บปวดที่คาดว่าจะได้รับกลับไม่ได้แผ่นซ่านมาบนตัวแต่อย่างใด
เมื่อลืมตาขึ้นมาด้วยความฉงน ภาพที่ทำให้พวกเขาต้องตาค้างปากสั่นก็คือ …พวกตี๋ที่เดิมทีห้อมล้อมพวกเขาอยู่นั้น แทบทุกคนล้วนมีศรขนนกสามดอกห้าดอกปักอยู่บนตัว และพากันล้มลงร้องครวญคราง กลิ้งไปมาพลางร้องด่าทออยู่ในพงหญ้า!
หัวหน้าพวกตี๋ที่ก่อนหน้านี้ตะโกนเสียงดังให้ยอมแพ้ เวลานี้เขาถูกยิ่งแทบทั้งตัวจนกลายเป็นเม่นตัวหนึ่งไปแล้ว!
ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองทางด่านเตี๋ยชุ่ยโดยไม่ทันรู้ตัว
แม้ประตูด่านเตี๋ยชุ่ยจะเปิดออกแล้ว ทหารม้ากลุ่มหนึ่งกำลังเร่งควบมาทางนี้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาเร่งมาเพียงใด แต่ปัญหาคือ …แม้เมื่อมองจากในสายตาของคนตาดีที่สุด ก็ยังมองเห็นพวกเขาตัวเล็กเท่ามดเท่านั้น ด้วยระยะห่างเพียงนี้ …ต่อเป็นผู้ที่มีฝีมือธนูล้ำเลิศไม่เป็นรองใคร แต่จะสามารถช่วยคนไว้ได้อย่างไรกัน?
“ดูทางนั้น!” องครักษ์นายหนึ่งสังเกตไปรอบทิศคราวหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดังขึ้นมา!
เมื่อมองตามทางที่เขาชี้ไปในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีคนกลุ่มหนึ่งในมือถือคันศร ซึ่งเห็นชัดว่าเมื่อครู่นี้นอนหมอบอยู่กับพื้นมาโดยตลอด เพราะในยามนี้บนตัวยังคงมีเศษดินและใบหญ้าติดอยู่ กำลังค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ทีละน้อย
สิ่งที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งใจหายวาบก็คือ คนเหล่านี้มีเบ้าตาลึกจมูกโด่ง หน้าตาแตกต่างกับชาวเว่ย ซึ่งกลับยังเป็นพวกตี๋!
พวกเขามีคนไม่มากเท่าพวกตี๋กลุ่มที่มาล้อมพวกของเว่ยฉางอิ๋งเมื่อครู่นี้ ทว่าฝีมือธนูกลับเหนือกว่ามาก หาไม่แล้วต่อให้เข้าโจมตีอย่างฉับพลันก็ไม่มีทางกำจัด พวกตี๋กลุ่มใหญ่เพียงนี้ไปได้ทั้งหมดโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันยิ่งธนูออกมาสักดอกเป็นแน่!
หลังจากต้องตื่นตะลึงกับฝีมือธนูที่พวกเขาสังหารคนเผ่าเดียวกัน ยามอยู่ภายใต้คันศรที่เล็งมาหา พวกของเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่กล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว
เพียงแต่เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงตรงหน้า กลับเห็นว่ามีคนหนึ่งในนั้นสะบัดมือคราวหนึ่ง แล้วคนทั้งกลุ่มก็หยุดเดินทันใด แม้แต่คันศรก็ยังเอาลดลงด้วย เป็นสัญญาณว่าไม่เข้าโจมตี
เว่ยฉางอิ๋งเพ่งตามองออกไปแล้วก็สะดุ้งขึ้นมาน้อยๆ หัวหน้าแสนสง่าสุขุมของพวกตี๋กลุ่มนี้ ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตนัก
เมื่อมองตามมาตรฐานของชาวเว่ยแล้วเขาน่าจะอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ทว่าพวกตี๋มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าชาวเว่ย ฉะนั้นเขาควรจะอายุน้อยกว่านั้นสักหน่อย
เด็กหนุ่มชาวตี๋ผู้นี้มีสองตาคมลึก จมูกโด่งเป็นสันชัดเจน ริมฝีปากแนบสนิทกัน แม้จะเป็นคนละเชื้อชาติ ทว่าเมื่อมองด้วยสายตาของชาวเว่ยแล้วก็เป็นคนที่หล่อเหล่านัก เขาทิ้งคันศร ดาบที่พกมาและอาวุธอื่นๆ ของตนลงต่อหน้าทุกคน เพื่อแสดงว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย แล้วเดินเข้ามาหาเว่ยฉางอิ๋งเพียงลำพัง
จนกระทั่งเดินมาตรงหน้าเว่ยฉางอิ๋งห่างออกไปราวสามจั้ง พวกองครักษ์พลันยกคันศรขึ้นมาเล็งในทันใด เสิ่นเถียนร้องห้ามเขา เด็กหนุ่มชาวตี๋ผู้นี้จึงไม่ได้มีท่าทีจะเดินมาข้างหน้าอีก เขาหยุดยืนอยู่ห่างออกไปสามจั้ง เผยสองมือออก แล้วเอ่ยภาษาฮั่นที่แม้จะไม่ได้ฝึกฝนจนคล่องแต่ก็ฟังออกชัดเจนว่าเป็นสำเนียงของเมืองหลวงว่า “ตามคำบัญชาของท่านข่านอาอีถ่าหู ให้เป็นมิตรต่อแคว้นเว่ย”
เมื่อเห็นว่าพวกของเว่ยฉางอิ๋งยังคงตกตะลึงยากเอ่ยคำใด เด็กหนุ่มผู้นี้จึงพูดต่อไปอีกว่า “พวกคนเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นคนในเผ่าของอูกู่เหมิง อาชาขาวที่ฮูหยินผู้นี้ขี่มา ก็เป็นอูกู่เหมิงหาหนทางอาศัยพวกไส้ศึกนำมามอบให้แก่นายทหารรักษาการณ์ของ ด่านเตี๋ยชุ่ย ความจริงแล้วมันเป็นหนึ่งในม้าที่อูกู่เหมิงรักที่สุด พวกเราสังหารคนของอูกู่เหมิงเพื่อช่วยท่าน ก็เพื่อแสดงความจริงใจของท่านข่านอาอีถ่าหู”
เว่ยฉางอิ๋งปรายหาตาไปมองกองกำลังที่กำลังวิ่งปรี่เข้ามาไม่ห่างออกไปคราวหนึ่ง เพื่อเป็นการแสดงว่าเสิ่นเถียนไม่ต้องขว้างอยู่หน้าตนแล้ว
นางเดินออกไปจากวงป้องกันของ ‘จี๋หลี’ แล้วเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “ขอบใจพวกเจ้ามาก เพียงแต่ข้าเคยได้ยินว่า ข่านมู่ซิวเอ่อร์ซึ่งเป็นข่านคนก่อนเป็นน้องชายของอาอีถ่าหู”
เด็กหนุ่มชาวตี๋เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “มู่ซิวเอ่อร์ใช้แผนการฉ่อฉลช่วงชิงตำแหน่งข่านที่เดิมทีควรเป็นของท่านข่านอาอีถ่าหู ต่อให้พวกท่านไม่สังหารเขา ท่านข่านอาอีถ่าหูก็จะไม่ละเว้นเขาเช่นกัน ฉะนั้นท่านข่านจึงหาได้มีความแค้นกับพวกท่าน กลับกันกลับยิ่งขอบใจพวกท่านมาก เป็นอูกู่เหมิงเสียอีก เดิมทีเขาก็เป็นบุตรชายคนโตของมู่ซิวเอ่อร์ และมู่ซิวเอ่อร์เองก็เคยบอกว่าวันหน้าจะมอบตำแหน่งข่านให้แก่เขา ฉะนั้นเขาจึงมีความแค้นลึกล้ำดังทะเลลึกกับพวกท่านชาวเว่ย หาไม่แล้วก็จะไม่เอาม้าที่ตนเองรักที่สุดมาสร้างหลุมพรางในวันนี้เพื่อมาทำร้ายท่าน มิใช่หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งรีบใคร่ครวญในใจว่าเสิ่นจั้งเฟิงเคยบอกว่า หลังจากมู่ซิวเอ่อร์ตายแล้ว ด้วยเหตุที่อูกู่เหมิงบุตรชายคนโตของเขาและอาอีถ่าหูพี่ชายของเขาช่วงชิงตำแหน่งกันจึงต่างมองกันเป็นศัตรู เรื่องการตายของมู่ซิวเอ่อร์นั้น อาอีถ่าหูที่วางแผนจะช่วงชิงตำแหน่งจากมู่ซิวเอ่อร์ตั้งแต่เขายังมีชีวิตอยู่จะต้องยินดีต่อการตายของมู่ซิวเอ่อร์เป็นแน่ ทว่าสำหรับอูกู่เหมิงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาเป็นบุตรชายคนโตของมู่ซิวเอ่อร์ ยิ่งไปกว่านั้นมู่ซิวเอ่อร์ก็ยังเคยให้สัญญาว่าจะให้เขาสืบทอดตำแหน่ง…เมื่อคิดไปดังนี้ คำของเด็กหนุ่มชาวตี๋ผู้นี้ก็เป็นความจริง
ทว่า ว่ากันจริงๆ แล้วอาอีถ่าหูก็เป็นชาวตี๋ ยามชัยชนะครั้งใหญ่ของต้าเว่ยครั้งก่อนก็ไล่สังหารพวกตี๋เข้าไปอีกกว่าพันลี้ ทั้งทรัพย์สินที่ไปแย่งชิงมาและศีรษะที่ตัดมาได้ก็กองกันเป็นภูเขาเลากา ซึ่งในระหว่างนั้นก็มิได้มีชาวเว่ยคนใดไปแยกแยะว่าเผ่าที่ถูกสังหารและถูกปล้นนั้นเป็นฝ่ายของอูกู่เหมิงหรือว่าอาอีถ่าหู แม้แต่อาอีถ่าหูเองก็ยังถูกไล่สังหารจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
อาอีถ่าหูจะรู้สึกซาบซึ้งและไม่เกลียดชังชาวเว่ยเพราะการตายของมู่ซิวเอ่อร์จริงหรือ?
แต่เมื่อครู่นี้หากมิได้คนเหล่านี้ ตนเองก็ต้องตายอย่างแน่นอน เห็นได้ว่าแม้อาอีถ่าหูจะมีแผนการใด แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความจริงใจนัก
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนักไปว่า “พวกเจ้ามีความจริงใจยิ่งนักจริงดังว่า แต่ข้าก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง จึงไม่อาจตัดสินใจในเรื่องนี้ได้”
เด็กหนุ่มชาวตี๋ผู้นั้นเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “มิเป็นไร ยามนี้สามีของท่านก็อยู่ในด่านเตี๋ยชุ่ยมิใช่หรือ? คล้ายว่าเขาคงจะอยู่ในกลุ่มคนที่มารับท่านแล้ว”
เนื่องจากพวกเขาช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงได้รับการตอบรับว่าให้ไปพักในศาลาพักม้า[1]ของด่านเตี๋ยชุ่ยชั่วขณะเพื่อรอพบกับเสิ่นจั้งเฟิง ทว่า แม้จะเป็นดังนี้ก็ยังถูกริบอาวุธทั้งหมดไป และถูกขอร้องว่าห้ามออกไปจากศาลาพักม้า แต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดียิ่ง
บนโต๊ะจัดเลี้ยงมีอาหารอยู่เต็มไปหมด ให้พวกตี๋ได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ รวมทั้งเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าโม่เหยี่ยซึ่งเป็นหัวหน้าของพวกเขาด้วย
ท่ามกลางความครึกครื้นระหว่างที่ชนจอกสุรากันไปมา ชาวตี๋ผู้หนึ่งมองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นมีชาวเว่ยอยู่ จึงขยับเข้าไปใกล้โม่เหยี่ย ใช้ภาษาตี๋ถามไปตรงๆ ด้วยเสียงเบาว่า “ไยยามกลางวันเจ้าจึงไปช่วยสตรีสูงศักดิ์ชาวเว่ยผู้นั้น? ทั้งที่ท่านข่านให้พวกเรารอจนคนของอูกู่เหมิงทำสำเร็จหรือสังหารคนแล้ว ค่อยไปสังหารคนของอูกู่เหมิงเพื่อแสดงความจริงใจ จากนั้นจึงไปเจรจาสงบศึกกับชาวเว่ย! ให้พวกชาวเว่ยมีความแค้นกับอูกู่เหมิงยิ่งขึ้นไปอีกไม่ดีหรือ? เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินว่าสตรีสูงศักดิ์ชาวเว่ยผู้นั้นมีฐานะไม่ต่ำต้อยเลย เป็นถึงภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิงว่าที่ประมุขของตระกูลเสิ่นและนางยังมีบุตรชายคนหนึ่งแล้วด้วย!”
โม่เหยี่ยกรอกสุราคำโตใส่ปากคำแล้วคำเล่า ยิ้มเยาะว่า “ทัวลี่ว์เอ่อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด! ตั้งแต่ครั้งมู่ซิวเอ่อร์ยังอยู่ เจ้าก็อาศัยว่าท่านอาของเจ้าเป็นนักรบในอาณัติของมู่ซิวเอ่อร์ จึงคอยรังแกข้าเรื่อยมา ยามนี้เห็นว่าท่านข้าได้รับความสำคัญจากท่านข่าน เจ้าอิจฉาข้า ฉะนั้นจึงกลัวว่าจะจับผิดข้าไม่ได้ใช่หรือไม่?”
ทัวลี่ว์เอ่อร์โมโหโกรธายกใหญ่! พลันเอามือทาบลงไปที่เอว แต่กลับคว้าเพียงความว่างเปล่า ยามนี้จึงเพิ่งนึกออกว่าอาวุธถูกชาวเว่ยเก็บไปจนหมดแล้ว เขาจึงหันหลังมากระชากสาบเสื้อของโม่เหยี่ยขึ้นมา กล่าวอย่างมีโทสะว่า “โม่เหยี่ย ไอ้เลือดผสมสวะ!”
“ถุย!”
หมัดหนักๆ หนึ่งหมัดซัดเข้าไปตรงๆ ที่จมูกของทัวลี่ว์เอ่อร์ จนเขาล้มลงไปจากโต๊ะ กระทั่งกลิ้งออกไปไกลหลายฉื่อ และเลือดกำเดาไหลท่วมไปหมด!
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เหล่าชาวตี๋ที่กำลังสวาปามกันเต็มคราบล้วนแตกตื่น จึงพากันหยุดกินและเดินมาดู เพียงชั่วพริบตาทั้งโถงก็เงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกกระทบพื้นได้!
“โม่เหยี่ย เจ้าทำสิ่งใด?” มีบางคนลุกขึ้นมาทันใด และมาขวางโม่เหยี่ยที่คิดจะเตะซ้ำใส่ทัวลี่ว์เอ่อร์อีกครั้งพลางตำหนิไป “นี่เป็นที่ของพวกเว่ย หากเจ้าต้องการจะสั่งสอนทัวลี่ว์เอ่อร์ ก็ไม่ต้องมาทำให้พวกตี๋เราเสียหน้าเช่นนี้!”
โม่เหยี่ยมองชาวตี๋ผู้นี้ด้วยสายตาเย็นเฉียบ พลันโน้มตัวไปหยิบเอาไหสุราข้างมือที่ดื่มแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วฟาดลงไปบนหัวเขาอย่างใจเย็น! ทำเอาชาวตี๋ผู้นั้นถูกฟาดจนหัวแตกเลือดอาบ ต้องร้องอย่างเจ็บปวดแล้วถอยไปข้างหลังและล้มลงกับพื้น!
“โม่เหยี่ยเจ้าเป็นบ้าไปแล้ว!” พวกตี๋อีกหลายคนพากันลุกขึ้นมาแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น …แต่กลับต้องชะงักไปเพราะป้ายเหล็กที่โม่เหยี่ยชูขึ้นมา และไม่กล้าลงมือ เพียงแค่เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวอยู่กับที่ “มีป้ายเหยี่ยวที่ท่านข่านมอบให้เจ้าแล้วจะอย่างไร? เจ้ามาทำเช่นนี้กับคนในเผ่าได้อย่างไร!”
“ครั้งท่านข่านมอบหมายเรื่องเจรจาสงบศึกกับชาวเว่ยให้แก่ข้า ข้าก็บอกแล้วว่าข้ายอมมาที่ด่านเตี๋ยชุ่ยเพียงผู้เดียว แต่ไม่ต้องการไอ้พวกลูกน้องไม่เชื่อฟังกลุ่มหนึ่ง!” แววตาของโม่เหยี่ยดังสายฟ้า จ้องมองอย่างเกรี้ยวกราดไปรอบทิศ จนทำให้ พวกตี๋หลายคนไม่กล้าสบตาเขา ในมือเขาถือป้ายเหล็ก ร้องเสียงดังไปว่า “แต่ท่านข่านก็ยังให้พวกเจ้ามาด้วย และยังให้พวกเจ้าสาบานต่อหน้าเขาว่าจะไม่ดูแคลนและไม่ยอมไม่เชื่อฟังข้าเพราะชาติกำเนิดของข้า!”
เขาเอาป้ายเหล็กฟาดลงบนโต๊ะอาหารตรงหน้าอย่างแรง จนทำให้อาหารหลายจานต้องล้มคว่ำไปข้างหนึ่งก็ยังไม่สนใจ แล้วเอ่ยอย่างเย็นเฉียบไปว่า “หากพวกเจ้าคิดว่าคำที่ท่านข่านให้พวกเจ้าสาบานก็ไม่ต้องทำตามได้ เมื่อข้ากลับไปแล้วก็จะนำความทุกอย่างรายงานต่อท่านข่านไปตามจริง! หากพวกเจ้ายังคงคำนึงถึงพ่อแม่ลูกเมียของเจ้า เป็นห่วงพวกเขาไม่ยอมให้พวกเขากลายเป็นทาส ก็ล้วนเบิกตาดูให้ชัดๆ สักหน่อยเป็นดีที่สุด! ผู้นำที่ท่านข่านมอบหมายให้มาเจรจาสงบศึกคือข้า มิใช่พวกเจ้า เข้าใจหรือไม่?!”
…พวกตี๋หันมองกัน แล้วค่อยๆ นั่งลง ชาวตี๋ผู้หนึ่งในนั้นซึ่งอายุค่อนข้างมากเอ่ยเสียงหนักไปว่า “เจ้าว่ามาไม่ผิด ต่อให้บิดาเจ้าเป็นชาวเว่ย แต่เจ้าก็มีมารดาเจ้าเลี้ยงดูมาจนโต ทั้งยังได้เหล่านักรับผู้กล้าแห่งกระโจมอ๋องสอนวิชาเกาทัณฑ์และขี่ม้าให้เจ้า! ชาวเว่ยไม่เคยมาตามหาเจ้า เป็นพวกเราชาวตี๋เลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ เจ้าเป็นชาวตี๋! ยามนี้ในเมื่อท่านข่านเชื่อใจเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะมีชาติกำเนิดเช่นใด พวกเราจึงไม่อาจดูแคลนเจ้าอีก”
ชาวตี๋ผู้นี้มองไปซ้ายขวา “นับแต่บัดนี้ มันผู้ใดดูหมิ่นโม่เหยี่ยเพราะชาติกำเนิดของเขาอีก ล้วนมิใช่พวกพ้องของเราอีกต่อไป! พวกเจ้าเห็นชอบหรือไม่?”
สักพักจากนั้น ทุกคนจึงพากันพยักหน้ารับช้าๆ
ชาวตี๋คนก่อนหน้าทอดถอนใจออกมา กล่าวว่า “แม้ทัวลี่ว์เอ่อร์จะคอยรังแกเจ้ามาแต่เล็ก แต่ที่นี่เป็นที่ของชาวเว่ย และพวกเราก็มาเจรจาสงบศึกด้วย หากมาสังหารพวกเดียวกันที่นี่ ก็จะถูกพวกเว่ยหัวเราะเยาะเอา ฉะนั้นข้าขอเสนอแนะให้เจ้าปล่อยเขาไปครานี้ หากเขายังมีคราต่อไป เจ้าก็สามารถสังหารเขาได้ทันที เรื่องนี้ไม่ยากเย็นสำหรับเจ้า ใช่หรือไม่?”
โม่เหยี่ยขมวดคิ้วพลางฟังทุกคนตอบรับชาวตี๋ผู้นั้น เขารู้ว่าขบวนที่มาเจรจาสงบศึกในคราวนี้โดยนามแล้วมีตนเองเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว แม้จะเอาป้ายเหยี่ยวที่ข่านมอบให้ออกมา ทว่าตนเองก็ยังคงไม่อาจมาแทนที่บารมีของชาวตี๋ผู้นี้ได้
เมื่อชาวตี๋ผู้นั้นเห็นสภาพการณ์ดังนี้แล้วจึงค่อยโล่งใจลง เรียกพวกพ้องสองคนด้วยเสียงต่ำๆ ว่าให้ประคองทัวลี่ว์เอ่อร์และชาวตี๋ที่ช่วยออกปากแทนทัวลี่ว์เอ่อร์ออกไปหาชาวเว่ยช่วยรักษาให้ “โชคดีที่ชาวเว่ยมิได้ส่งคนมาคอยดูแลรับใช้ที่นี่ หลังจากพวกเจ้าออกไป ก็ให้บอกว่าเขาทั้งสองคนดื่นมากเกินไป เมาแล้วอาละวาดจึงบังเอิญไปทำร้ายอีกฝ่ายเข้า”
โม่เหยี่ยมองดูชาวตี๋ผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา เห็นเขาจัดแจงเรื่องนี่แล้วต่อด้วยเรื่องนั้น สั่งคนให้เก็บกวาดข้าวของที่เสียหาย ซักซ้อมคำให้การ เหมือนกับว่าเขาต่างหากที่เป็นมันสมองหลักของปฏิบัติการครานี้เช่นนั้น ทุกคนก็ยินยอมพร้อมใจจะเชื่อฟังคำสั่งการของคนผู้นี้ ขณะเดียวกันก็มีคนคอยเหลือบตามาทางโม่เหยี่ย แล้วหันหน้ากลับไปแอบหัวเราะกัน …โม่เหยี่ยกลับเพียงแค่กรอกสุราใส่ปากคำหนึ่ง แววตาสงบไม่ไหวติง
__________________________________
[1] ศาลาพักม้า ใช้เป็นที่พักม้าที่ใช้ส่งสารไว้ติดต่อกันระหว่างพื้นที่ต่างๆ