ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 64 ประหลาดใจ
“หลานชาย?” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจหนักหนา ว่าพลางลุกขึ้นยืนในทันใด “เด็กหนุ่มชาวตี๋ผู้นี้ที่แท้ก็คือหลานชายของเรา?! ด้วยเหตุนี้เขาจึงช่วยชีวิตข้าหรือ?”
ยามอยู่ต่อหน้าภรรยา เสิ่นจั้งเฟิงก็มิได้ปิดบังท่าทีตื่นตกใจและสงสัยของตนอีก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเร่งร้อนกว่ายามปกติสักหน่อยว่า “ตัวเขาเองว่าเช่นนี้ ดูจากอายุของเขาแล้ว ก็กลับพอจะเทียบได้กับช่วงเวลาที่พี่ชายใหญ่เคยอยู่ที่ซีเหลียง เพียงแต่หน้าตาเขาไม่เหมือนพี่ชายใหญ่แม้สักน้อยก็ยังแล้วไป พอข้าถามว่ามีของต่างหน้าที่พี่ชายใหญ่ทิ้งไว้ให้ในครานั้นหรือไม่ หากเขาไม่บอกว่าฝังไปพร้อมกับศพแม่แล้ว ก็เผาไปแล้ว! ยามนี้ก็ไม่อาจแน่ใจได้ทั้งหมดว่า…เขาพูดเรื่องจริง ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพี่ชายใหญ่จะมีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ข้างนอกด้วย!”
ในตระกูลใหญ่โตแม้จะมีทายาทมากมาย ทว่าก็มิใช่ว่าทุกคนล้วนได้รับความสำคัญที่เท่าเทียมกัน แต่ทายาทชายในรุ่นหลานของหมิงเพ่ยถังจนทุกวันนี้ก็มีเพียงสามคน เสิ่นซูหมิงซึ่งมีอายุมากที่สุดก็ยังเล็กกว่าโม่เหยี่ยหลายปี และยังมีเด็กเล็กๆ ยังไม่รู้ประสีประสาอีกสองคน …ในสภาพการณ์เช่นนี้ เหล่าทายาทโดยเฉพาะที่เป็นชายจึงได้รับความสำคัญเป็นอย่างมาก
เว่ยฉางอิ๋งยังจำได้ว่า เสิ่นจั้งลี่รักใคร่เสิ่นซูหมิงเป็นพิเศษกระทั่งเอาใจเขาหนักหนา แม้แต่เสิ่นซูหมิงไม่ตั้งใจเรียน เสิ่นเซวียนจะอบรบหลานชาย เสิ่นจั้งลี่ก็ยังมาปกป้องเขา จากที่นางสังเกตเห็น ความรักใคร่เอาใจที่เสิ่นจั้งลี่มีต่อลูกๆ ก็ยังมากกว่านางหลิวผู้เป็นมารดาเสียอีก จึงดูทีว่าบ้านใหญ่มีบิดาใจดีและมารดาที่เข้มงวด
แม้โม่เหยี่ยจะมิใช่บุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอก แต่อย่างไรก็เป็นบุตรชายจากภรรยาอีกคนหนึ่ง …ว่ากันตามหลักแล้ว เมื่อเสิ่นจั้งลี่รักใคร่ลูกๆ จากภรรยาเอกเพียงนั้น เขาก็น่าจะสงสารเห็นใจลูกๆ ที่เกิดจากภรรยาคนอื่นๆ ด้วยนี่! แล้วเหตุใด…ตนเองไม่รู้ก็ยังแล้วไป แม้แต่สามีก็ยังไม่รู้ด้วย…
เว่ยฉางอิ๋งรีบถามว่า “เช่นนั้นพี่ชายใหญ่รู้เรื่องเขาหรือไม่?”
“โม่เหยี่ยบอกว่าพี่ชายใหญ่รู้ว่าเขาเกิดมา ทั้งยังเขียนจดหมายตอบแม่ของเขาด้วย และแน่นอนว่าเป็นจดหมายฉบับที่ถูกเขาเผาไปแล้วนั่น” เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจพลางว่า “แต่เขาเป็นคนเสนอเองว่าให้ข้าเขียนจดหมายไปยันความกับพี่ชายใหญ่ ดูท่าแล้วก็คล้ายว่ามั่นอกมั่นใจและมิได้มีท่าทีเกรงกลัวอันใด”
“นี่กลับแปลกแล้ว ต่อให้เคียดแค้นบิดาเพียงใด ไยต้องทำลายสิ่งของของบิดาทิ้งจนหมด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เขาชิงชังพี่ชายใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า “ไม่แน่ว่าจะเป็นเพราะชังพี่ชายใหญ่ เกรงจะเป็นเพราะไม่มีทางอื่น”
“หา?”
“โม่เหยี่ยเกิดมาตอนที่พี่ชายใหญ่ยังไม่ได้แต่งงาน” เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจพลางว่า “ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว เดิมทีแม่ของเขาก็มีฐานะสูงส่งพอควรในพวกตี๋ แต่เพราะมีบุตรก่อนแต่ง คล้ายว่าจะถูกบิดาและพี่ชายไล่ออกจากบ้าน และเพื่อเลี้ยงดูเขาก็ต้องถูกรังแกมาไม่น้อย เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะพี่ชายใหญ่มีใจแต่ไร้กำลัง แต่ก็ยังทอดทิ้งพวกเขาจริงๆ หากแพร่งพรายออกไป ย่อมไม่ดีต่อชื่อเสียงของพี่ชายใหญ่ โดยเฉพาะเวลานี้พี่ชายใหญ่แต่งงานกับพี่สะใภ้ใหญ่มาหลายปี และมีจิ่งเอ๋อร์และหมิงเอ๋อร์แล้วด้วย หากจู่ๆ ก็มีบุตรชายคนโตนอกสมรสโผล่มา ต่อให้พี่สะใภ้ใหญ่เพียบพร้อมดีงามเพียงใดและมิได้เอะอะอาละวาดด้วยเรื่องนี้ แต่ในใจย่อมต้องเป็นทุกข์ ฝ่ายพี่สะใภ้ใหญ่เองก็ไม่สบายใจ แม้พี่ชายใหญ่ก็จะรู้สึกผิดต่อโม่เหยี่ยและผิดต่อพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย ถูกบีบคั้นจากทั้งสองทางย่อมไม่มีทางเป็นสุขได้”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะส่งคนกลับไป แล้วแอบถามพี่ชายใหญ่สักคำ อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”
“มิใช่ว่าจะแพร่งพรายหรือไม่ ความหมายของข้าก็คือในสิ่งของที่โม่เหยี่ยทำลายไปแล้วอาจเป็นสิ่งของที่เป็นไปได้อย่างมากว่าจะสามารถพิสูจน์ฐานะของพี่ชายใหญ่ได้” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเสียงหนัก “โดยเฉพาะในจดหมายตอบมาหาแม่ของเขาหลังจากพี่ชายใหญ่รู้ว่าโม่เหยี่ยคลอดออกมาแล้ว ข้าคิดว่าพวกตี๋น่าจะยังไม่รู้ว่าโม่เหยี่ยมีฐานะเป็นถึงบุตรชายของพี่ชายใหญ่ หาไม่แล้วพวกเขาก็คงเอาโม่เหยี่ยมาเป็นตัวประกันเพื่อจัดการตระกูลเสิ่นของเราไปตั้งนานแล้ว”
แม้จะบอกได้ว่ามีความเป็นไปได้กว่าครึ่งหนึ่งว่าหมิงเพ่ยถังจะไม่ไยดีความเป็นตายของบุตรชายนอกสมรสผู้นี้ ซึ่งต่อให้เป็นหลานชายแท้ๆ ของประมุขตระกูลก็ตามที แต่ในทำนองเดียวกันพวกตี๋ก็จะไม่เห็นหลายชายของตระกูลเสิ่นเป็นของมีค่าอันใดเช่นกัน …ต่อให้ตายก็มิได้อาทรร้อนใจ ทั้งยังสามารถทำลายชื่อเสียงของเสิ่นจั้งลี่ได้สักหนด้วย …ฉะนั้นสำหรับพ่อลูกทั้งสองคนแล้ว ควรปกปิดฐานะของบิดาของโม่เหยี่ยเอาไว้เป็นความลับจะดีกว่า
ครั้งมารดาของโม่เหยี่ยยังมีชีวิตอยู่เมื่อก่อนนี้ บางทีนางอาจตัดใจไม่ได้ จึงยังคงขืนเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก รอจนนางจากไปแล้ว ด้วยความที่โม่เหยี่ยเป็นกังวลว่าหากชาติกำเนิดของตนแพร่งพรายออกไป ก็จะทำให้ตนเองไม่มีที่ยืนอยู่ในพวกตี๋ และตนเองก็มีความแค้นเคืองต่อเสิ่นจั้งลี่ ของที่ฝั่งไปพร้อมศพได้ก็ฝัง ทำลายได้ก็ทำลายไปให้หมดเกลี้ยงเสียเลย…
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วกล่าวว่า “เมื่อว่ามาดังนี้ ความจริงแล้วเจ้าก็ค่อนข้างเชื่อว่าเขาเป็นหลานชายของเราแล้ว?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “โม่เหยี่ยผู้นั้นก็หาใช่คนโง่ หากเป็นเพียงแค่ทูตเดินทางมา ต่อให้เจรจาสงบศึกไม่สำเร็จ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเขาลำบาก แต่หากบังอาจมาสวมรอยเป็นหลายชายตระกูลเสิ่นของเรา แล้วข้าจะยอมปล่อยเขาไปหรือ? ยามนี้เขาอยู่ที่ด่านเตี๋ยชุ่ย เป็นตายล้วนอยู่ในกำมือข้า มาพูดจาส่งเดชเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดกับเขา?”
“ทว่าเจ้าสังเกตเห็นแล้วหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนเขา “เขาใช้เรื่องที่พวกเขาแม่ลูกประสบมาเพื่อขอให้เจ้าเห็นชอบกับการสงบศึก ตามที่เขาว่ามาก็เพื่อเป็นการแก้แค้นให้มารดาของเขา และสามารถก้าวหน้าได้อย่างง่ายดายเมื่ออยู่ต่อหน้าอาอีถ่าหู แต่หากเขาเป็นสายเลือดของพี่ชายใหญ่ เช่นนั้นก็เป็นทายาทของตระกูลเสิ่น…”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้ารับน้อยๆ ถอนใจว่า “แน่นอนว่าเขาไม่ประสงค์จะกลับมาอยู่ในตระกูลเสิ่นของเรา เพราะอย่างไรเสียหน้าตาของเขาก็ถ่ายทอดมาจากแม่ของเขาจนหมด หากกลับไปในตระกูลเสิ่น เมื่อไปอยู่ท่ามกลางชาวเว่ยก็จะเป็นที่ดึงดูดความสนใจเกินไป แม้พวกเราจะช่วยปกป้องเขาอีกเพียงใดก็ยังเกรงว่าจะยิ่งทำให้ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์และรังเกียจเดียดฉัน หลายปีมานี้ ด้วยเหตุที่ไม่รู้ชัดว่าผู้ใดเป็นบิดาของเขา คาดว่าเขาจะต้องถูกพวกตี๋รังเกียจเอาไม่น้อยเลย ยามนี้ในเมื่อมีโอกาสได้รับความสำคัญจากอาอีถ่าหู และตนเองสามารถไขว่คว้าเกียรติยศเงินทอง ก็คาดว่าคงไม่ยอมกลับมาทางต้าเว่ยหรอก”
อย่างไรเสีย โม่เหยี่ยก็ถูกพวกตี๋รังเกียจมานานปีแล้ว …ซึ่งก็หมายถึงว่าพวกตี๋เคยชินกับการมีตัวตนของเขาแล้ว แม้จะเย้ยหยันเขา แต่ก็สร้างเรื่องเดือดร้อนใหม่ๆ อันใดขึ้นมาไม่ได้อีก นอกเสียจากเมื่อเรื่องชาติกำเนิดเขาถูกเปิดโปง คาดว่าโม่เหยี่ยเองก็คงเคยชินกับสิ่งเหล่านี้แล้ว
แต่หากกลับมาตระกูลเสิ่น เขากลับต้องมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด
แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับคิดว่าที่โม่เหยี่ยเลือกเช่นนี้ ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับที่เขานำบัญชาของอาอีถ่าหูมาเจรจาสงบศึกในครานี้ เมื่อเขาลองดูแล้วว่าการเจรจาธรรมดาไม่เป็นผล จึงไปเสนอข้อเรียกร้องต่อหน้าเสิ่นจั้งเฟิงเสียเลยว่า…. ในฐานะที่ตนเองซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเสิ่นจั้งลี่ และยังมีมารดาที่ต้องรับเคราะห์เพราะเสิ่นจั้งลี่ทั้งชีวิต กระทั่งวันตายก็ยังคงปกป้องเสิ่นจั้งลี่ หากโม่เหยี่ยยังคงพเนจรอยู่ข้างนอก เสิ่นจั้งลี่ที่ติดค้างเขาเป็นหนักหนา ก็อดจะต้องสงสารและมาช่วยดูแลเขาไม่ได้
แม้แต่เสิ่นจั้งเฟิงที่เป็นอา เมื่อพิสูจน์ชาติกำเนิดของเขาได้แล้วก็จะต้องเห็นใจเขายิ่งขึ้น อย่างไรเสีย โม่เหยี่ยก็เป็นบุตรหลานในสายหลักของตระกูลเสิ่น แต่กลับไม่เคยได้รับการปกป้องดูจากตระกูลเสิ่นมาก่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังต้องได้รับความลำบากมามายมายเพียงนั้น อย่างไรตระกูลเสิ่นก็ติดค้างเขา
แต่หากเขากลับไปตระกูลเสิ่น …
ในฐานะบุตรชายของเสิ่นจั้งลี่กับสตรีชาวตี๋ ซึ่งลอบคบหากันโดยไม่ได้แต่งงาน เมื่อว่ากันตามกฎเกณฑ์แล้วก็ไม่อาจมีฐานะใดได้ หรือต่อให้มอบฐานะใดแก่เขา นั่นก็เท่ากับว่าชดเชยเคราะห์กรรมที่เขาเคยได้รับมาตลอดหลายปีนี้ไปหมดแล้ว คน ตระกูลเสิ่นก็จะไม่ได้รู้สึกติดค้างเขามากมายเกินไป …สิ่งสำคัญที่สุดก็ยังคงคือเรื่องที่นางหลิวซึ่งเป็นภรรยาเอกที่เสิ่นจั้งลี่ตบแต่งมาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เวลานี้ก็มีบุตรสาวคนโตเสิ่นซูจิ่งและบุตรชายคนโตเสิ่นซูหมิงแล้ว
นางหลิวมีชื่อเสียงว่าเป็นภรรยาที่ดีงามนัก ทั้งรักดูแลพ่อแม่พี่น้องของสามีตลอดมา และคนทั้งตระกูลก็ล้วนเห็นบุตรชายและบุตรสาวทั้งคู่ของนางเป็นดังไข่มุกมาแต่เล็กจนโต นอกจากโม่เหยี่ยจะเป็นบุตรชายนอกสมรสที่กฎตระกูลไม่ยอมรับแล้ว มารดาของเขาก็ยิ่งเป็นคนที่ตระกูลเสิ่นไม่ได้ยอมรับแต่อย่างใดด้วย และเขาก็มิได้เติบโตมาในตระกูลเสิ่น ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีความผูกพันใดกับตระกูลเสิ่น ในสถานการณ์เช่นนี้ หากโม่เหยี่ยกลับมาอยู่ในตระกูลเสิ่น ความจริงแล้วเขาก็จะวางตัวลำบากเสียอย่างยิ่ง
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เวลานี้ตระกูลเสิ่นมีหลานชายอยู่น้อย บางทีอาจจะสนใจเขาอยู่บ้าง รอจนหลายชายของตระกูลเสิ่นมีมากขึ้นแล้ว แล้วโม่เหยี่ยก็จะถูกทิ้งไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งเอาง่ายๆ
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การที่ไม่กลับมาตระกูลเสิ่น แล้วแสดงท่าทีว่าเคยได้รับเคราะห์กรรมมามาก เพื่อเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากตระกูลเสิ่นมาช่วยเสริมสร้างอนาคตที่สดใสท่ามกลางชาวตี๋ก็นับว่าคุ้มค่ากว่า…
เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเรื่องเรือนซินอี๋ขึ้นมาได้ จึงถามสามีว่า “เรือนที่พี่ชายใหญ่อาศัยอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่ชื่อว่าเรือนซินอี๋ คล้ายจะมีเรื่องเล่าบ้างอย่าง?”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้าพลางว่า “ข้าไม่รู้ มีอันใดหรือ?”
“เอ๋ แม้แต่คุณหนูสิบเอ็ดบ้านหลิวก็ยังรู้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่รู้?” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจนัก “ได้ยินว่าครานั้นมารดาของพี่สะใภ้ใหญ่ยังเคยเดินทางมาที่บ้านเพื่อหารือกับท่านแม่ของเรา แต่จนใจเหลือที่พี่ชายใหญ่ยังคงยืนกราน…”
เสิ่นจั้งเฟิงฟังนางเล่าเรื่องที่หลิวรั่วเหยียเล่าให้ฟังในคราวนั้นอย่างละเอียดแล้วใคร่ครวญพักหนึ่งจึงบอกว่า “พี่สะใภ้ใหญ่อาจเคยบอกกับพระชายาองค์รัชทายาท แต่กลับเป็นพระชายาองค์รัชทายาทหรือคนข้างกายของพระชายาองค์รัชทายาทไม่ระวังและแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คุณหนูหลิวสิบเอ็ดฟัง”
เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพักจึงบอกว่า “นี่ก็อาจเป็นได้… หรือไม่ก็ลองถามโม่เหยี่ยผู้นั้นดู?”
“ยามนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ทั้งหมด อย่าเพิ่งไปแตะต้องเขาดีกว่า” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยพลางยิ้มเจื่อนๆ “ต้องรู้ก่อนว่าเขาเคยช่วยชีวิตเจ้า แล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องเรียกเจ้าว่าท่านอาสะใภ้ ถ้าเกิดเขาเสนอขอเรียกร้องอันใดที่ไม่เหมาะจะรับปากก็กลับเป็นการยุ่งยาก”
เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเองก็เคลือบแคลงว่าโม่เหยี่ย อาจมิได้เคืองโกรธหรือเคียดแค้นเหมือนที่มองเห็นจากภายนอก และเป็นไปได้อย่างมากว่าเพียงแค่รู้สึกว่าท่าทีที่แสดงออกในเวลานี้ยิ่งจะทำให้ตระกูลเสิ่นเห็นใจและสงสาร และจะยิ่งเข้ามาชดเชยให้เขามากขึ้น จึงได้จงใจแสดงออกเช่นนี้ เสิ่นจั้งเฟิงจึงเป็นกังวลว่าหากเว่ยฉางอิ๋งแอบไปพบเขาแล้วจะถูกเขาทำร้ายเอา
สำหรับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งแล้ว การคาดเดาเช่นนี้ก็ออกจะไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง แต่ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นตัวแทนของตระกูลเสิ่น จะสงบศึกกับอาอีถ่าหูหรือไม่ และร่วมมือกันอย่างไร ล้วนเป็นการตัดสินใจที่มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเขาก็จะไม่มีทางตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของตระกูลเสิ่นเพราะบุญคุณใดๆ นี่เป็นความตระหนักรู้ที่ผู้ซึ่งมีคุณสมบัติจะเป็นประมุขตระกูลคนต่อไปพึงมี เรื่องส่วนตัวไม่มีทางอยู่เหนือกว่าผลประโยชน์ของทั้งตระกูล!
ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาไปพบกับโม่เหยี่ยตามลำพังก่อนหน้านี้ และพอได้พบหน้าเขาก็คารวะขอบคุณแทนเว่ยฉางอิ๋งทันที …ข้ารู้ว่าเจ้ามีบุญคุณต่อภรรยาข้า ฉะนั้นพอเข้ามาพบจึงเอ่ยเรื่องนี้ออกมาก่อน หากโม่เหยี่ยมีทางทีลำเลิกบุญคุณ เสิ่นจั้งเฟิงก็จะบอกกล่าวกับเขาอย่าชัดเจนในทันใดว่าเรื่องใดก็เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน บุญคุณที่ช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งเขาจะไม่เอาผลประโยชน์ของตระกูลเสิ่นไปตอบแทน สรุปก็คือปิดทางโม่เหยี่ยไม่ให้อ้างเอาบุญคุณครานี้มาบีบให้เขาตัดสินใจใดๆ
เพียงแต่คำตอบของโม่เหยี่ยไม่ได้อยู่ในแผนการของเสิ่นจั้งเฟิงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจลดทอนความระแวดระวังตัวที่เสิ่นจั้งเฟิงมีต่อเขา …หากเขาเพียงแค่เคยช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งนั่นก็ยังแล้วไป แต่นี่เขายังอาจจะเป็นหลานของทั้งสองคนด้วย ก่อนจะสามารถพิสูจน์ฐานะของเขา หากไปใกล้ชิดกับเขามากเกินไป ก็เกรงว่าเขาจะเรียกร้องมากเกินไป แต่ถ้าไม่ให้ความใกล้ชิดกับเขาเพียงพอ หากพิสูจน์ฐานะของเขาว่าเป็นจริงแล้วก็จะทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ความเมตตาอีก
เอาเป็นว่าไม่ต้องพบหน้าไปเสียเลย รอไว้ตรวจสอบข่าวให้เรียบร้อยก่อน ค่อยตัดสินใจว่าจะมีท่าทีและปฏิบัติต่อเขาเช่นใด
เสิ่นจั้งเฟิงบอกกับภรรยาว่า “ก่อนนี้ ข้าบอกว่าเจ้าตื่นตกใจไม่น้อย จำเป็นต้องพักฟื้นสักระยะ จึงไม่อาจมาขอบใจเขาด้วยตนเองได้ และข้าก็ไปขอบใจแทนเจ้ามาแล้ว หากเจ้าต้องการจะขอบใจเขา ก็รอไว้จนจดหมายของพี่ชายใหญ่มาก่อนเถิด”
“อย่างไรก็ไม่อาจพูดจาเพียงคำหนึ่งก็แล้วกันไปกระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งกลัดกลุ้มเสียยิ่งนัก “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดว่าชาวตี๋กลุ่มนี้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ และพวกเขาก็ต้องการมาเจรจาสงบศึก แล้วข้าควรจะตอบแทนบุญคุณครานี้อย่างไร? แต่เรื่องทำนองการเจรจาสงบศึก ข้าจะไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่ยามนี้เขาก็มาเปิดเผยถึงชาติกำเนิดของตนเองอีก…เฮ่อ!”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบปอยผมนาง กล่าวว่า “ข้าเดาว่าเขาคงจะเป็นสายเลือดของพี่ชายใหญ่ หรือแม้จะไม่ใช่ ครานี้ข้าก็จะไม่ทำร้ายเขา …เพราะอย่างไรเขาก็ช่วยเจ้ามา ส่วนเรื่องเจรจาสงบศึก จนยามนี้ข้าก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ด้วยต้องไปยันความกับพี่ชายใหญ่ในครานี้ จึงถือโอกาสขอคำความเห็นจากท่านพ่อไปด้วย”
…แม้จะบอกว่าคำของอาอีถ่าหูก็คือต้องการจะเจรจาสงบศึกกับต้าเว่ย ทว่าไม่ว่าโม่เหยี่ยที่มาเป็นทูต หรือตัวเสิ่นจั้งเฟิงเอง ก็ล้วนไม่ได้เอ่ยถึงว่าประสงค์จะทูลต่อฮ่องเต้ของต้าเว่ย
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปคำหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจว่า “ชาติกำเนิดของโม่เหยี่ยนั้นสามารถปิดบังได้ แต่การมาเพื่อขอสงบศึกของเขานี้ คาดว่าคงปิดบังฮ่องเต้ไม่ได้ เขาเห็นว่า ฮ่องเต้โปรดปรานจะฟังข่าวดีรังเกียจข่าวร้าย ในเมื่อก่อนนี้มีชัยครั้งใหญ่ เกรงว่าคงจะไม่รับคำ”
เสิ่นจั้งเฟิงไม่ยี่หระ เอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ขุนศึกอยู่ข้างนอก ไม่รับบัญชากษัตริย์ ยิ่งไปกว่านั้น ซีเหลียงและเมืองหลวงห่างกันแสนไกล หากพระประสงค์ของฮ่องเต้ไม่เป็นผลดีต่อบ้านเราจริงๆ ก็จัดทำรายงานส่งเดชขึ้นไปถวายสักเรื่องสองเรื่อง ให้ฮ่องเต้ไม่อาจไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยเป็นพอแล้ว”
“ในเมื่อเจ้ามีแผนการแล้ว ข้าก็จะไม่พูดมากอีก” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าพลางมีสีหน้าปล่อยวาง แต่ในใจกลับยังรู้สึกกังขาว่า ไม่คิดว่าเมื่อหลายปีก่อนพี่ชายใหญ่จะทิ้งสายเลือดเอาไว้ที่ซีเหลียง และครานี้ก็ยังมาช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย! เพียงแต่เด็กผู้นี้มีชาติกำเนิดที่ซับซ้อนนัก ทั้งยังเป็นชายเสียด้วย ข้าไปพบเขาก็ไม่สะดวก กลับไม่รู้ว่าครานี้จะตอบแทนเขาเช่นใด?
______________