ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 65 ต้นเฟิงในลานบ้าน
จวนราชครู เมืองหลวง
เสิ่นเซวียนวางจดหมายด่วนในมือลง แล้วเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง
ปลายฤดูร้อนของเมืองหลวงยังคงเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม มองผ่านกระจกหลิวหลีในกรอบหน้าต่าง สามารถมองออกไปเห็นแนวต้นเฟิง[1]สูงต่ำไม่เท่ากันแถวหนึ่งตรงกำแพงเรือนที่อยู่ตรงข้ามกับลานบ้าน ใบเขียวที่ไม่เคยจับตัวเป็นน้ำแข็ง ล้วนแตกใบเขียวชอุ่มจนเต็มลานงามจับตายิ่งนัก
นี่ล้วนเป็นต้นเฟิงที่ปลูกขึ้นมาตามจำนวนของทายาทที่เป็นชายของตระกูลเสิ่น
ต้นที่สูงที่สุด ยามนี้งอกเงยสูงตระหง่าน ผลิใบแน่นขนัด และโตเต็มที่แล้ว
เสิ่นเซวียนหยุดมองที่ยอดของต้นที่แผ่กิ่งใบจนเหมือนเป็นหลังคากว้างอยู่เนิ่นนาน พลันหวนนึกถึงเรื่องครั้งอดีต ตอนบุตรชายคนโตยังเล็ก ตนเองอุ้มเขายืนอยู่ใต้ต้นเฟิงที่ครั้งนั้นยังเล็กอยู่ บอกเขาว่าต้นเฟิงนี้มีอายุเท่ากับเขา…
ครั้งนั้น เสิ่นจั้งลี่ยังสูงแค่เพียงเข่าของเขาเท่านั้น ถูกตนเองอุ้มอยู่ในอกพลางเบิกตาที่มองเห็นตาขาวและดำชัดเจน และเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งในเวลานั่นต้นเฟิงก็เป็นเพียงกอเล็กๆ เหมือนพุ่มไม้เท่านั้น …วันเวลาสามสิบกว่าปี ประหนึ่งว่าเพียงดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสิ่นเซวียนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่ถาโถมเข้ามา จากนั้นก็เรียกเด็กรับใช้เข้ามาถามว่า “จั้งลี่ยังอยู่ข้างนอกหรือไม่?”
“เรียนท่านประมุข คุณชายใหญ่ยังรออยู่ขอรับ” เด็กรับใช้ตอบอย่างระมัดระวัง
“ไปเรียกเขาเข้ามาเถิด”
จากนั้นสักพัก เสิ่นจั้งลี่ที่แต่งกายด้วยชุดชาวฮั่นแสนสง่างดงาม ทว่ากลับมีสีหน้าอิดโรยก็เข้าประตูมาคารวะ พลางเอ่ยทักทายเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ!”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก นั่งลงเถิด” เสิ่นเซวียนมองดูบุตรชายที่แม้ว่าจะเตรียมตัวมารับการด่าทอ ทว่าก็ยังคงเดินตัวตรง กริยาท่าทีและมารยาทล้วนไร้ที่ติ พลางสั่งความใจด้วยจิตใจสับสน
“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ” เสิ่นจั้งลี่เข้ามานั่งในที่นั่งรองตามคำบิดา นิ่งเงียบอยู่สักพักจึงเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ตนขอเข้ามาพบ “น้องชายสามเขียนจดหมายมา บอกว่าโม่เหยี่ย…”
เสิ่นเซวียนเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เด็กคนนี้เป็นเด็กดี สมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเสิ่นเรา แม้จะต้องทนทุกข์อยู่ในกำมือของมู่ซิวเอ่อร์มาไม่น้อย ทว่าก็ยังฉวยโอกาสที่อาอีถ่าหูและอูกู่เหมิงแตกคอกัน สังหารบุตรชายคนรองของอูกู่เหมิง แล้วนำหัวของเขาเข้าไปสวามิภักดิ์กับอาอีถ่าหู จึงได้รับความสำคัญขึ้นมาและสามารถพลิกสถานการณ์จากที่เคยถูกดูแคลนจากในเผ่าด้วยเรื่องฐานะบิดาไม่ชัดเจนได้ในทันที จากนั้นเมื่อเห็นว่าอาอีถ่าหูพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครา เขาจึงเข้าไปขอโอกาสด้วยตนเองโดยทันที เพื่อให้ได้มาติดต่อกับจั้งเฟิงที่ด่านเตี๋ยชุ่ย แล้วใช้สิ่งที่พวกเขาแม่ลูกต้องประสบมา มาบีบให้พวกเราออกแรงช่วยเขา …หมิงเอ๋อร์ถูกเจ้าเอาใจเกินไปโดยแท้ ต่อให้ถึงวัยที่อายุเท่าโม่เหยี่ย เพียงคิดก็รู้ว่าหมิงเอ๋อร์ยากจะมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงเช่นเขา! เรื่องนี้กลับเตือนสติข้าว่าเมื่อกวงเอ๋อร์และอี้เอ๋อร์โตขึ้นสักหน่อย ก็ห้ามให้คนเอาใจจนพวกเขาเสียคน! ชายชาตรีอย่างไรก็ต้องขัดเกลามากๆ เข้าไว้เป็นดี!”
เสิ่นจั้งลี่นั่งฟังอยู่เงียบๆ สักจากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านพ่อขอรับ ลูกขอโท…”
“ลี่เอ๋อร์เอย…” เมื่อเสิ่นเซวียนฟังเขาเอ่ยคำนี้ ดวงตากลับหยุดนิ่ง แล้วทอดถอนใจออกมา “เจ้าน่าจะรู้ เหตุใดครั้งพ่อรับเจ้ากลับมาเมืองหลวงแต่แรกนั้น จึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะให้เจ้ารับช่วงต่อหมิงเพ่ยถังในทันใด และเปลี่ยนไปบ่มเพาะน้องชายสามของเจ้าแทน?”
“ลูกล้มป่วย ทำให้ท่านพ่อท่านแม่และท่านอาต้องพลอยลำบาก หลายปีจากนั้นจึงพอจะลุกจากตั่งได้ แล้วจะรับผิดชอบภาระสำคัญของทั้งตระกูลไหวได้อย่างไรขอรับ?” เสิ่นจั้งลี่กลับมิได้มีท่าทีขุ่นเคืองในเรื่องนี้ เขายิ้มเยาะตนเอง บอกว่า “ยังดีที่น้องชายสามเก่งกาจ สามารถแบ่งเบาภาระท่านพ่อท่านแม่และท่านอาได้ ลูกคิดว่าท่านพ่อตัดสินใจอย่างเหมาะสม และมีเหตุผลแล้วขอรับ”
เสิ่นเซวียนส่ายหน้า กล่าวว่า “ ประมุขตระกูลจะต้องมีร่างกายแข็งแรงหรือ? เจ้าดูตระกูลเว่ย ตระกูลซ่ง ตระกูลตวนมู่ ประมุขตระกูลสูงศักดิ์ทั้งสามตระกูลนี้มีผู้ใดบ้างที่หากไม่ชราก็เจ็บป่วย? ท่านเว่ยก็สูงวัยแล้ว ท่านซ่งก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นท่านซ่งก็ยังมีอาการเจ็บป่วยที่ขา จะเข้าออกล้วนต้องอาศัยไม้คำยันมานานสิบกว่าปีแล้ว! ตวนมู่สิ่งเองก็สามวันดีสี่วันไข้ห่างจากถ้วยยาไม่ได้ ประมุขตระกูลทั้งสามท่านนี้ มีผู้ใดที่บ่าวอายุน้อยๆ สักคนในบ้านจะไม่สามารถสังหารเขาขณะนอนอยู่บนตั่ง? ทว่าเมื่อพวกเขาเป็นประมุขตระกูล มีผู้ใดบ้างที่โฉดเขลาและไร้ความสามารถ? แม้เจ้าจะมีโรคเรื้อรังไม่อาจรักษาให้หายขาด ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วเจ้าก็ยังแข็งแรงกว่ามาก!”
เขาจดจ้องลึกลงไปในดวงตาของบุตรชายคนโต “อาการเจ็บป่วยที่ติดตัวเจ้ามาครั้งเข้าทำศึกมิใช่สาเหตุที่ทำให้พ่อล้มเลิกความคิดจะบ่มเพาะเจ้าให้เป็นว่าที่ประมุข ตระกูลเสิ่นคนต่อไป ซึ่งสิ่งนี้เดิมทีควรเป็นสิทธิ์และเกรียติยศของเจ้า …หากแต่เป็นเพราะสาเหตุใด เจ้าจึงได้บาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ จนพ่อและอาของเจ้าต้องผิดหวังเช่นนี้!”
สีหน้าของเสิ่นจั้งลี่เปลี่ยนไปทันใด …แต่เสิ่นเซวียนก็เอ่ยไปอย่างเย็นเฉียบว่า “ความเก่งกล้าสามารถที่เจ้าเข้าห้ำหั่นกับศัตรูในสองสามปีที่เจ้าอยู่ในซีเหลียง ล้วนทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าซาบซึ้งประทับใจ จึงได้ภักดีต่อเจ้านัก! จึงพากันช่วยเจ้าปกปิดเรื่องนี้เรื่อยมา! ฉะนั้นเจ้าจึงนึกว่าข้าจะเชื่อที่บอกว่าเหตุที่เจ้าล้มเจ็บสาหัสจนแม้กระทั่งจี้ชวี่ปิ้งก็ยังไม่อาจรักษาได้นั้น เพราะเจ้าไล่สังหารไส้ศึกชาวตี๋จนตกลงในธารน้ำแข็งในยามค่ำคืน และแช่อยู่ในน้ำที่เป็นน้ำแข็งท่ามกลางพายุหิมะทั้งคืนรึ?!
แววตาของเสิ่นเซวียนเย็นเฉียบ ถอนใจยาว “แม้จะบอกว่าตระกูลเสิ่นของเราทำศึกกับชาวตี๋มานับร้อยปี ไฟสงครามไม่เคยสงบ ทั้งสองฝ่ายมีความแค้นต่อกันตั้งขุนเขา! ทว่าเจ้าก็เป็นชาย หาใช่สตรีที่ต้องแต่งออกไปจากเรือน ในเมื่อเจ้าชื่นชอบองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นจริงๆ จะรับเข้ามาเป็นเล็กเป็นน้อยในเรือนก็มิใช่ว่าทำไม่ได้! ดีชั่วก็แค่อนุคนหนึ่งเท่านั้น จะส่งผลกระทบต่อส่วนรวมได้สักกี่มากน้อยกัน? หากเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าก็จะไม่โทษเจ้า …ครั้งเจ้าไปซีเหลียงนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุเท่าใดเอง? สิบห้าปี เพิ่งจะเกล้าผม ก็เป็นเด็กหนุ่มนี่ ผู้ใดไม่เคยมีรักแรกครั้งเป็นเด็กหนุ่มบ้าง? ข้ามิใช่ท่านเว่ย ทั้งข้าและท่านอาของเจ้าก็ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ยังแบกรับความผิดของพวกเจ้าไหว! ความจริงแล้วข้าเองก็หวังให้พวกเจ้าทำผิดเล็กน้อยให้มากสักหน่อยในยามนี้ อาศัยช่วงเวลาที่พวกเรายังอยู่ จะได้ช่วยพวกเจ้าคิดหรือไม่ก็อบรมสั่งสอนพวกเจ้า หาไม่เมื่อพวกเราไม่อยู่แล้ว หากพวกเจ้าต้องพบเจอกับเรื่องที่เจ้าจัดการไม่ได้ หาหนทางไม่ได้ ก็จะไร้คนมาออกความเห็นให้พวกเจ้าอย่างจริงจัง …แม้เรื่องที่เจ้าเก็บซ่อนองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นเอาไว้ และลักลอบมีสัมพันธ์กับนางจะทำให้ข้าเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับสั่นคลอนฐานะของเจ้าที่จะรับช่วงหมิงเพ่ยถังต่อไป!”
“แต่เจ้าไม่ควรถูกองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นทำเอาจนลุ่มหลงหัวปักหัวปำ ไม่ควรเลยแม้สักน้อยนิด แล้วเลอะเลือนจนกระทั่งละทิ้งฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลสายหลัก จนถึงขั้นคิดพานางหนีไปด้วยกัน!”
เสียงของเสิ่นเซวียนเบานัก ทว่ากลับเต็มไปด้วยโทสะที่ไร้ขีดจำกัด “เจ้าเป็นลูกชายคนโตของข้า ทั้งยังเกิดจากภรรยาเอกของข้า! ครั้งนั้นข้าเพิ่งจะรับตำแหน่ง ประมุขตระกูลจากท่านปู่ของเจ้าได้ไม่นาน เหล่าคนในตระกูลล้วนจ้องจะขย้ำดังเสือ! เจ้าไม่มีทางไม่รู้ว่าข้าและแม่ของเจ้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพียงใด ต้องหวั่นหวาดเพียงใดจึงปกป้องเจ้าเอาไว้ได้! นับแต่เจ้าลืมตาดูโลก ทั้งข้า แม่เจ้า และท่านอารวมทั้งท่านอาสะใภ้ที่เสียไปนานแล้วของเจ้าล้วนทุ่มเททุกสิ่งไว้ที่ตัวเจ้า …ก่อนที่เจ้าจะหนีไปกับองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้น พวกเราล้วนหวังว่าเจ้าจะสามารถฝึกฝนตนที่ซีเหลียงจนแข็งแกร่งเติบใหญ่ และสยบคนในตระกูลได้ เพื่อให้หมิงเพ่ยถังสามารถรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ในมือเจ้า …แต่เจ้ากลับเตลิดหนีไปเพื่อสตรีต่างชนชาติ โดยไม่ไยดีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ไม่ไยดีคนสายเลือดเดียวกัน!”
“….ครั้งเจ้าทำเช่นนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามาจะต้องได้รับผลเช่นใดจากการกระทำของเจ้า และจะถูกเจ้าทำร้ายหนักหนาสาหัสเพียงใด?!”
“เจ้าคู่ควรเป็นบุตรชายคนหนึ่งหรือไม่!”
เสิ่นเซวียนที่มีชั้นเชิงดังนี้ เสิ่นเซวียนที่มีฐานะเช่นนี้ ยามเมื่อเอ่ยถึงบุตรชายคนโตที่ตนสอนสั่งมาอย่างตั้งใจและแทบจะฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่ตัวเขา แต่กลับไปลุ่มหลงในอิสตรี ไม่ไยดีวงศ์ตระกูล จนยามนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บดังถูกแทงเข้าที่หัวใจ เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจอดทนต่อไปได้ พลันยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า แล้วปล่อยโฮขึ้นมาดังลั่น!
ท่ามกลางน้ำเสียงสะอื้นของบิดาเฒ่า สีหน้าของเสิ่นจั้งลี่ซีดเผือดขึ้นมาทันใด เขาดึงชายเสื้อขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงกับที่ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โขกหัวลงกับพื้นโป๊กๆๆ จนเลือดที่หน้าผากกระเด็นออกมา “ลูกผิดจนไม่อาจอภัย!”
“…แม้เมื่อข่าวนั้นแพร่กลับมา แล้วท่านแม่ของเจ้าจะโกรธจนอาเจียนเป็นเลือดอยู่หลายวัน” เสิ่นเซวียนยังคงเอาแขนเสื้อปิดใบหน้าเอาไว้ ได้ยินแต่เพียงเสียงสะอื้นยากจะหยุดได้ของเขา “แต่ยามนั้นเจ้าก็ยังคงเป็นลูกที่พวกเราทุ่มเทแรงใจให้มากที่สุด ทว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็แสดงฝีมือที่ซีเหลียงได้ไม่เลวมาโดยตลอด ฉะนั้นท่านอาของเจ้าจึงเสนอว่าควรจะให้โอกาสกับเจ้าอีกครั้ง …แต่แล้วเจ้ากลับทำสิ่งใดลงไปอีก?”
เสิ่นจั้งลี่อ้าปากหนแล้วหนเล่า พักใหญ่ จึงเอ่ยออกมาอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “ลูกรู้ผิดแล้ว แต่…โม่เหยี่ย เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลูก เมื่อรู้ว่าเขาเกิดมา ลูกจึงไม่อาจแม้แต่จดหมายก็จะไม่ตอบไป…”
“เลอะเลือน!” ด้วยเสิ่นเซวียนจะเป็นประมุขตระกูลมานาน แม้จู่ๆ จะเจ็บปวดใจจนเสียอาการ ทว่าก็กลับมาสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว เขารีบเช็ดหน้าอย่างลวกๆ วางแขนเสื้อลง แล้วตวาดไปดังกว่าเดิมว่า “เจ้ารู้ว่าเรื่องนี้ผิดด้วยรึ?! นอกจากจะใช้ชื่อภาษาฮั่นขององค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นมาเป็นชื่อของเรือนใหญ่ที่เจ้าอยู่หลังแต่งงานแล้ว เจ้ายังไปบอกกล่าวเรื่องนี้แก่ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ของเจ้าด้วย?!”
เสิ่นจั้งลี่ยิ้มแหยๆ “ลูกรู้ผิดแล้วขอรับ”
เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างหมดคำพูด “เจ้ารู้ผิด แต่กลับไม่รู้ว่าผิดที่ใด!”
เสิ่นจั้งลี่กลับไม่พูด คล้ายยอมรับโดยปริยาย และคล้ายมีท่าทีล่าถอย ไม่มีแก่ใจจะโต้แย้งหรืออธิบายใดๆ
“ก่อนนี้เจ้ารักปักใจองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นจนถึงขั้นไม่ไยดีวงศ์ตระกูลและหนีไปกับนาง แล้วทั้งสองคนก็ยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยกัน …แต่หลังจากกลับมาเมืองหลวงแล้ว เจ้าก็ไม่มีโอกาสกลับไปที่ซีเหลียงอีกแล้ว ทั้งยังแต่งกับนางหลิวแล้ว ก็ควรปล่อยวางเรื่องก่อนหน้านี้ไปเสีย และครองคู่กับนางหลิวให้ดี!” แววตาของเสิ่นเซวียนดังตาเหยี่ยว จ้องเขม็งไปที่บุตรชายคนโต เอ่ยเสียงแข็งไปว่า “ปรากฏว่าแต่งงานเจ้าก็แต่งกับนางหลิวแล้ว แต่ยังเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้และไปบอกกับนางในคืนวันแต่งงานใหม่ ทั้งยังหวังให้นางเห็นชอบให้เจ้าตั้งชื่อเรือนพำนักว่าเรือนซินอี๋ …โดยใช้ชื่อภาษาฮั่นขององค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นมาตั้ง! จนนางหลิวเหมือนถูกฟาดลงกลางกระหม่อมในคืนวันแต่งงานใหม่ และโกรธเคืองกระทั่งบัดนี้ก็ไม่ยอมให้ในเรือนมีดอกซินอี๋[2]แม้สักครึ่งต้น! เจ้านึกว่าแม่เจ้าไม่บอกเรื่องนี้แก่ข้ารึ?!”
“เห็นว่าตลอดหลายปีมานี้เจ้าก็ดีกับนางหลิวไม่เลว ทั้งยังไม่ยอมรับอนุด้วย เห็นได้ว่าแม้เจ้ายังคงคิดถึงองค์หญิงชาวตี๋ที่ชื่อว่าซินอี๋ผู้นั้นอยู่ ทว่าก็ยังมีน้ำใจต่อนางหลิวอยู่บ้าง” เสิ่นเซวียนผ่อนน้ำเสียงลง
เสิ่นจั้งลี่เอ่ยเสียงเบาว่า “รั่วอี๋ดีงาม ลูกติดค้างนางมากมายนัก”
เสิ่นเซวียนได้ยินเขาว่าดังนี้ ดวงตากลับผิดหวังหนักหนากว่าเดิม “เดิมทีเจ้าก็รักใคร่ซิ่นอี๋ผู้นั้นยิ่งนัก แต่กลับไม่ยอมให้รับนางมาอยู่กับเจ้าในฐานะอนุ จึงหุนหันพากันหนีไป แต่กลับทำให้ตนเองพลั้งตกลงในธารน้ำที่เป็นน้ำแข็งในยามค่ำคืน หากมิใช่ว่าข้าจัด ‘จี๋หลี’ คอยจับตาดูเจ้าไปไว้ทุกฝีก้าว ก็กลัวว่าข้าคนหัวขาวต้องมาส่งคนหัวดำไปเสียตั้งนานแล้ว! แม้เจ้าจะโชคดีได้รับการช่วยเหลือมาได้ ทว่าซินอี๋กลับไปในเผ่าก็ต้องทนทุกข์สาหัสนับแต่นั้น! ภายหลังแม้ข้าและแม่เจ้าจะบีบให้เจ้าแต่งกับนางหลิว ทว่าเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อนางหลิว …แต่กลับยังไปบอกนางเรื่องของซินอี๋! ตั้งหลายปีผ่านไปแล้ว ได้ยินแม่เจ้าบอกว่า แม้นางหลิวจะไม่เอ่ยปากพูด แต่ในใจก็ยังคงเก็บเรื่องของซินอี๋เอาไว้ในใจเรื่อยมา และเจ้าก็ไม่เคยยอมเปลี่ยนชื่อเรือนซินอี๋เสียที! ลี่เอ๋อร์เอย เจตนาดั้งเดิมของเจ้าคืออยากจะทำดีต่อซินอี๋ และอยากทำดีต่อนางหลิวด้วย เจ้าดูเรื่องที่เจ้าทำสิ ที่สุดแล้วเจ้าทำดีต่อผู้ใดบ้าง? เจ้าว่ามาซิ แม้แต่สตรีสองนางที่เจ้าผ่านมาเจ้าก็ยังจัดการเสียพังพินาศหมด แล้วยังจัดการด้วยอารมณ์ พะว้าพะวังไม่เด็ดขาด ปักใจในบุตรและสตรี แล้วจะให้ข้าวางใจให้เจ้าดูแลตระกูลเสิ่นได้อย่างไร?”
“…ลูกรู้วาตนไม่เก่งกาจทัดเทียมน้องชายสาม จึงไม่เคยอิจฉาว่าน้องชายสามจะมาดูแลตระกูลเสิ่นขอรับ” เสิ่นจั้งลี่เอ่ยไปทั้งใบหน้าเหม่อลอย “ท่านพ่อขอรับ ลูกยินดีเสมอมาที่ลูกมีน้องชายที่เก่งกาจกว่าลูก เพื่อจะได้มาแทนลูกซึ่งเป็นบุตรชายคนโตที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ขอรับ”
แววตาของเสิ่นเซวียนหนักอึ้ง “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าอิจฉาจั้งเฟิง!” เขาหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ข้าหวังว่า เรื่องที่เจ้าจะมาพูดกับข้าในครานี้ เจ้าจะไตร่ตรองให้ดีๆ เสียก่อน ค่อยพูดออกมา!”
เสิ่นจั้งลี่นิ่งเงียบ สักพักจากนั้น เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ต้องไตร่ตรองแล้ว ท่านพ่อขอรับ ยามนี้ทางฝ่ายของอาอีถ่าหูไม่อาจสร้างความหวาดกลัวใดให้แก่ซีเหลียงได้ ขะ…ข้าติดค้างโม่เหยี่ย ฉะนั้น…”
“เจ้าก็ติดค้างตระกูลเสิ่นด้วย” เสิ่นเซวียนปิดตาลงแรงๆ พึมพำว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมว่า เมื่อเทียบกับโม่เหยี่ยแล้ว เจ้ายิ่งติดค้างตระกูลเสิ่นมากกว่า! ตระกูลเสิ่นให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้า บ่มเพาะเจ้าอย่างลำบากมาหลายสิบปี จะ…เจ้ากลับตอบแทนตระกูลเสิ่นเช่นนี้?!”
“หากซีเหลียงเกิดไฟสงครามขึ้นอีก ลูกยินดีจะออกแรงอยู่แนวหน้า แม้ต้องตายในสนามรบ ก็จะ…”
“ฉะนั้นตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูเจ้า บ่มเพาะเจ้าอย่างลำบากมาหลายสิบปี ที่สุดแล้วก็ยังต้องเลี้ยงดูลูกกำพร้าและแม่ม่ายให้เจ้า?!” เสิ่นเซวียนลืมตาขึ้น แววตาแห่งความผิดหวังฉายวาบขึ้นมาแล้วจางหายไป และกลับกลายเป็นความสับสนไม่ชัดแจ้ง “พูดไปพูดมา เจ้าว่าเจ้าติดค้างนี่ ติดค้างนั่น แต่เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอีกรึ? เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าองค์หญิงชาวตี๋ที่มีนามว่าซินอี๋ผู้นั้น และโม่เหยี่ยที่เจ้าว่าในยามนี้ ล้วนเป็นหลุมพรางที่พุ่งเป้ามาที่เจ้า?!”
เสิ่นจั้งลี่พลันสะท้านไปทั้งตัว!
_______________________________
[1] ต้นเฟิง คือ ต้นเมเบิ้ล
[2] ดอกซินอี๋ เป็นดอกไม้ในตระกูลดอกแมกโนเลีย หรือดอกยี่หุบ มีสีชมพูอมแดง กลีบดอกหนา กลิ่นหอมมาก