ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 66-1 ญาติผู้ใหญ่
เสิ่นโจ้วถอนหายใจพลางตบไหล่พี่ชาย “เรื่องก็แล้วไปแล้ว ยามนี้เฟิงเอ๋อร์ก็ตระหนักในหน้าที่ของตนดี จะต้องสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ตระกูลเสิ่นของเราได้อย่างแน่นอน! พี่ใหญ่ไยต้องเสียใจเช่นนี้อีก?”
แม้ว่าหลังจากเสิ่นเซวียนให้เสิ่นจั้งลี่ไปแล้ว เขาก็เรียกให้คนเอาน้ำเข้ามาให้ล้างหน้า แต่ดวงตาที่ร้องไห้อย่างหนักจนแดงก่ำมาก่อนหน้านี้ก็ยังไม่หายไปในทันที เมื่อถูกน้องชายเอ่ยถึงในยามนี้ เสิ่นเซวียนจึงยกมือขึ้นปิดหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว ทว่าน้ำเสียงกลับสงบนิ่งเสียยิ่งนัก “ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องดี”
“เรื่องดี?” เสิ่นโจ้วเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว “ความหมายของพี่ใหญ่ก็คือ โม่เหยี่ยผู้นี้สามารถ…?”
เสิ่นเซวียนส่ายหน้า กล่าวว่า “ทางนั้นยังเป็นเรื่องรอง ที่ข้าว่าเป็นเรื่องดีนั้นคือลี่เอ๋อร์ที่รักสตรีปักใจนัก กับลูกชายที่ไม่เคยพบหน้าก็ยังคิดถึงเขาเพียงนี้… คนที่เห็นความรู้สึกเป็นใหญ่เช่นเขา แม้ไม่อาจรับภาระหน้าที่สำคัญของ ตระกูลเสิ่นได้ ทว่าก็จะไม่ไปแก่งแย่งตำแหน่งกับเฟิงเอ๋อร์!”
“พี่ใหญ่ท่านคิดมากเกินไปแล้วกระมัง?” เสิ่นโจ้วตะลึงพลางว่า “ลี่เอ๋อร์และเฟิงเอ๋อร์เป็นพี่น้องแท้ๆ วรยุทธ์ของเฟิงเอ๋อร์ก็เป็นลี่เอ๋อร์สอนสั่งมากับมืออยู่ระยะเวลาหนึ่ง แล้วจะไม่ปรองดองกันได้อย่างไร?”
เสิ่นเซวียนยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “คนเป็นพ่อแม่ ผู้ใดไม่หวังให้ลูกๆ รักใคร่ปรองดองกัน? ทว่าสรรพสิ่งยากจะคาดเดา มิใช่ทุกคนจะโชคดีได้เช่นข้าที่มีน้องชายรองเจ้าเป็นน้องชายแสนประเสริฐยินยอมจะเป็นแรงหนุนให้ข้า ยิ่งไปกว่านั้นลี่เอ๋อร์ก็ยังเป็นลูกชายคนโตด้วย! ทั้งบุ๋นบู๊และการวางกลยุทธของเขาความจริงแล้วก็ไม่ได้ด้อยกว่าเฟิงเอ๋อร์แต่อย่างใด หมิงเอ๋อร์โตกว่ากวงเอ๋อร์สิบปี แม้จะบอกว่าหมิงเอ๋อร์ไม่ชอบร่ำเรียนหนังสือ และค่อนข้างเป็นคนไร้เดียงสาอยู่บ้าง ทว่าข้อดีที่เขาอายุมากกว่าสิบปีก็วางอยู่ตรงหน้านี้แล้ว และก็ไม่แน่ว่ากวงเอ๋อร์จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันใด …วันหน้าเมื่อลูกๆ โตขึ้นแล้ว พวกเราแก่ตัวลงแล้ว ถ้าเกิดไปฟังคำยุยงของคนเลว ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำการเลอะเลือน”
จะว่าไปแล้วแม้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นจะมีบุตรชายคือเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วสองพี่น้องเท่านั้น ทว่าท่านอาและลูกพี่ลูกน้องที่เป็นชายของสองพี่น้องนี้ก็มีไม่น้อย ทว่าหลังจากประมุขผู้เฒ่าเสียไปแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเบือนหน้าหนี ไม่มีสักคนที่จะออกแรงช่วยสองพี่น้องให้นั่งในตำแหน่งประมุขตระกูลได้อย่างมั่นคง กลับไปจับมือรวมกันเป็นหลายฝักฝ่าย และยิ่งมีอีกหลายคนที่แอบยุยุงเสิ่นโจ้วให้ไปช่วงชิงตำแหน่ง ประมุขตระกูลจากเสิ่นเซวียน …ดีที่เสิ่นเซวียนและฮูหยินซูล้วนเป็นผู้ที่มีกลอุบายและชั้นเชิงอย่างมาก ทั้งยังมีซูผิงจ่านคอยชี้แนะอยู่เบื้องหลัง และตัวเสิ่นโจ้วเองก็ไม่ยอบเชื่อคำยุยงของบรรดาท่านอา ทว่าแม้จะเป็นดังนี้ก็ตาม ด้วยการช่วยเหลือจากฉางซานกงเว่ยฮ่วนจึงสามารถมีชัยในการลอบต่อสู่ที่สำคัญครั้งหนึ่งในปีนั้นมาได้
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเสิ่นจั้งลี่ถือกำเนิดมา เสิ่นเซวียนจึงได้อบรมเลี้ยงดูเขาเพื่อมาให้เป็นว่าที่ประมุขคนต่อไป …นั่นเพราะทั้งเขาและเสิ่นโจ้วล้วนได้รับความลำบากจากการที่บิดามารดาเสียไปเร็วและตนเองมีกำลังพื้นฐานที่ตื้นเขินมามากพอแล้ว
ภายหลังเมื่อ เสิ่นจั้งลี่ไม่เหมาะจะรับช่วงหมิงเพ่ยถังจริงๆ เสิ่นเซวียนจึงรีบเลือกเสิ่นจั้งเฟิงบุตรชายคนที่สามจากผู้สืบสกุลทั้งหมดและบ่มเพาะเขาอย่างเต็มกำลังในทันใด ส่วนสาเหตุที่ไม่เลือกเสิ่นเหลี่ยนสือซึ่งเป็นบุตรชายคนรองนั้น ประการแรกด้วยคำนึงถึงความรู้สึกของฮูหยินซู ซึ่งเป็นภรรยาเอกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ประการที่สองก็กลับเป็นเพราะว่าเสิ่นเซวียนได้รับบทเรียนว่าหลังจากบิดามารดาตนเสียไป เหล่าท่านอาและลูกพี่ลูกน้องชายที่เป็นสายเลือดเดียวกันแท้ๆ กลับพากันหันมาเป็นปรปักษ์ในทันใด จึงกลัวว่าบุตรหลานของตนเองจะเดินซ้ำรอยเดิม ฉะนั้นในเมื่อได้บ่มเพาะเสิ่นจั้งลี่บุตรชายคนโตอย่างสุดกำลังตั้งแต่แรกแล้ว จึงจงใจสอนสั่งเสิ่นเหลี่ยนสือซึ่งเป็นบุตรชายคนรองจากอนุอย่างผ่อนคลายสักหน่อย
แม้แต่ตวนมู่เยี่ยนอวี่สะใภ้รอง ก็ยังเลือกมาจากบ้านที่อ่อนแอที่สุดในสายหลักของตระกูลตวนมู่ด้วย
จึงเป็นเหตุให้หลังจากที่เสิ่นจั้งลี่ทำให้เสิ่นเซวียนผิดหวังแล้ว ก็ทำให้ช่วงวัยที่เหมาะสมที่สุดที่จะบ่มเพาะเสิ่นเหลี่ยนสือได้ผ่านไปแล้ว ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงบุตรชายคนที่สามจากภรรยาเอกซึ่งอยู่ในลำดับถัดลงไปอายุยังน้อย จึงเหมาะที่จะอบรมสั่งสอน และตัวเขาเองก็มีพรสวรรค์ที่ดียิ่งด้วย …อายุสามขวบก็ได้รับคำชมเชยอย่างมากมายจากฉางซานกงที่ได้ชื่อว่ามีสายตาหลักแหลมเกินคน กระทั่งเสนอให้แต่งงานกับหลานสาวในสายหลัก ซึ่งกว่าเขาจะได้หลานสาวคนนี้มาก็ยากเย็นนักหนา ฉะนั้นเรื่องวาสนาของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง
ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงอายุน้อยกว่าเสิ่นจั้งเฟิงสิบกว่าปีเต็มๆ อายุของบุตรชายคนโตของทั้งสองคนก็ห่างกันมาก เวลานี้เสิ่นจั้งลี่ยังคงเป็นทุกข์ว่าจะชดเชยให้แก่บุตรชายนอกสมรสอย่างไร แต่เสิ่นจั้งเฟิงกำลังเริ่มก่อฐานกำลังของเขาในซีเหลียงแล้ว เสิ่นซูหมิงที่ตอนนี้โตครึ่งไม่โตครึ่งก็ยังไร้เดียงสาอยู่มาก ส่วนเสิ่นซูกวงที่เพิ่งอายุครบหนึ่งขวบได้ไม่นานก็ยังมองนิสัยของเขาไม่ออก ในขณะนี้จึงยังมองไม่ออกว่าจะมีสิ่งใดไม่เหมาะควรหรือไม่ ทว่าเวลาเปลี่ยนสรรพสิ่งแปร ภายหลังผู้ใดจะบอกได้ชัดเจนเล่า?
… เสิ่นเซวียนจึงอดจะเป็นกังวลไม่ได้ว่าอีกหลายปีให้หลัง พี่น้องจะยังแตกสามัคคีกันด้วยเหตุนี้หรือไม่ และหลานชายทั้งสองคนจะกลายเป็นศัตรูกันด้วยเหตุนี้หรือไม่? ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงกลับหวังให้เสิ่นจั้งลี่เป็นคนที่เอาแต่พะว้าพะวังไม่เด็ดขาดและสับสนอลม่านอยู่เช่นนี้ไปทั้งชีวิต อย่าทำให้เกิดเรื่องพี่น้องช่วงชิงตำแหน่งขึ้นมาได้เป็นดี
“ข้ากลับรู้สึกว่าพี่ใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว” เสิ่นโจ้วส่ายหน้าพลางว่า “ลี่เอ๋อร์ทำการเลอะเลือนในเรื่องขององค์หญิงชาวตี๋นั้นจริงดังว่า แต่ก็เพราะยังเด็กนัก …แต่แรกนั้น เฟิงเอ๋อร์ก็มิใช่ว่ายืนกรานจะแต่งนางเว่ยผู้นั้นเข้าบ้านเสียให้จงได้เช่นกัน? เราล้วนเห็นพวกเขาสองพี่น้องเติบโตมา แม้จะมีความผิดเล็กน้อยมาบ้าง ทว่าน้ำใสใจคอของเขาก็ไม่เลวร้าย จะต้องไม่มีทางเดินซ้ำรอยพวกท่านอาของเราเป็นแน่”
เสิ่นเซวียนแย้มยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าเอ็นดูพวกเขามาแต่ไร คำพูดนี้เจ้าจึงกลับขืนพูดให้มีเหตุผลไปสักหน่อยแล้ว สะใภ้สามจะไปเหมือนกับองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้นได้ที่ใด? องค์หญิงชาวตี๋ ผู้นั้นเป็นคนต่างชนชาติ แม้จะเป็นองค์หญิงของพวกตี๋ ทว่าองค์หญิงของพวกตี๋จะทัดเทียมกับเหล่าองค์หญิงที่เป็นดังกิ่งทองใบหยกของต้าเว่ยเราได้ที่ใด? เมื่อนับไปแล้วบุตรีบ้านใหญ่ของตระกูลใหญ่ของชาวเว่ยเราก็ยังได้รีบการประคบประหงมดูแลดีกว่านางเสียด้วยซ้ำ ความสูงศักดิ์ของนางมีจำกัดนัก ก่อนนี้ก็ยังไม่เคยได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่ไปตกลงแต่งงานกันเองเท่านั้น! แต่สะใภ้สามเป็นถึงบุตรีบ้านใหญ่ตระกูลเว่ย เป็นบุตรหลานในตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกับเฟิงเอ๋อร์ ทั้งยังหมั้นหมายกันตามคำสั่งของพ่อแม่ เป็นคู่หมั้นที่ออกหน้าออกตาของเฟิงเอ๋อร์! องค์หญิงชาวตี๋นั่นแม้จะเรียกขานว่าองค์หญิง แต่หากนับฐานะของนางในตระกูลเสิ่นของเราแล้ว นางไม่ได้รับความเห็นชอบจากสะใภ้ใหญ่ ฉะนั้นแม้แต่เป็นอนุก็ยังนับไม่ได้เลย อย่างมากที่สุดก็นับได้ว่าเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยเท่านั้น แต่สะใภ้สามเป็นสะใภ้ในบ้านใหญ่ที่ถูกต้องของตระกูลเรา …ทว่า ในเมื่อเจ้าเอ่ยเรื่องสะใภ้สามขึ้นมา ก็เพราะแต่แรกนั้นเป็นเฟิงเอ๋อร์ตัดสินใจเลือกเอง วันนี้ข้าจึงอยากจะลองทดสอบลี่เอ๋อร์ดูสักหน่อย”
เสิ่นโจ้วขมวดคิ้ว บอกว่า “พี่ใหญ่?”
“เฟิงเอ๋อร์แสดงความรับผิดชอบอย่างมากในเรื่องของสะใภ้สาม แม้จะบอกว่าสามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียว ทว่าครานั้น สะใภ้สามยังไม่ทันแต่งเข้าบ้าน เรื่องที่เล่าลือกันออกมาก็เป็นเรื่องที่ชายทั่วไปล้วนไม่อาจทนรับได้” เสิ่นเซวียนถอนใจ กล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะเป็นคนรับชื่อเสียๆ นี้แทนเขาเอง ปรากฏว่าเขากลับรีบตามไปด้วยตนเอง …หากเพียงแค่เท่านี้ก็ยังไม่เป็นสิ่งใด และลี่เอ๋อร์ก็มิใช่ว่าล้วนพยายามปกป้องทั้งองค์หญิงชาวตี๋และสะใภ้ใหญ่เช่นกันหรอกหรือ? สิ่งที่ข้าเล็งเห็นและให้ความสำคัญก็คือเฟิงเอ๋อร์ให้เหล่าสาวใช้หน้าตางดงามที่ปรนนิบัติเขามาจนโตออกไปในทันทีหลังจากเขากลับมาจากเฟิ่งโจว!”
เสิ่นโจ้วพยักหน้า กล่าวว่า “ยามนั้นหลานสะใภ้สามต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง สาวใช้เหล่านั้นรับใช้เฟิงเอ๋อร์มาหลายปี มีความชอบไม่น้อย ทั้งยังมีหน้าตางดงามด้วย เดิมทีเป็นคนที่พี่สะใภ้ตระเตรียมเอาไว้ปรนนิบัติอยู่บนเตียงให้แก่เฟิงเอ๋อร์ หากไม่เกิดเรื่องเหล่านั้นกับหลานสะใภ้สาม อาศัยฐานะภรรยาที่แต่งงานกันถูกต้องตามธรรมเนียม ทั้งยังเป็นบุตรีจากภรรยาเอกของรุ่ยอวี่ถัง จึงไม่ต้องกลัวว่าพวกนางจะไม่เคารพต่อนายผู้หญิง แต่สถานการณ์ของหลานสะใภ้สามในยามนั้น ก็ไม่เหมาะจะเก็บพวกนางเอาไว้ในเรือนหลังจริงๆ”
………………………..