ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 66-2 ญาติผู้ใหญ่
เสิ่นเซวียนถอนใจ กล่าวว่า “ซึ่งนี่ก็คือเรืองที่เฟิงเอ๋อร์มองการแจ่มแจ้งกว่า ลี่เอ๋อร์ สะใภ้สามเป็นคู่หมั้นที่เคยพบกันเพียงครั้งตั้งแต่นางยังอยู่ในผ้าอ้อม ส่วนพวกบ่าวนั้นเป็นคนที่ดูแลเขามาหลายปี แม้เขาจะสามารถเลือกว่าจะยังคงเก็บสาวใช้หน้าตางดงามที่ตนเองใช้สอยจนคุ้นเคยเอาไว้หลังจากแต่งสะใภ้สามเข้าบ้านก็ตาม แต่การเลือกที่ดูคล้ายว่าจะดีกับทั้งสองฝ่ายนี้ กลับมิใช่ว่าจะทำให้ทั้งสองฝ่ายล้วนพอใจ …หากสะใภ้สามไม่อาจกำราบเหล่าสาวใช้หน้าตางามได้ แล้วนางจะเป็นสุขอยู่ได้อย่างไร? เหล่าสาวใช้งามๆ เองแม้ไม่อาจคาดหวังตำแหน่งภรรยาเอก ทว่าเมื่อดูแคลนว่าชื่อเสียงของนายผู้หญิงไม่ดีงามแล้วก็อดจะกำเริบเสิบสานต่อคนเป็นนายบ้างสักน้อยไม่ได้ เมื่อเป็นดังนี้แล้วทั้งสองฝ่ายย่อมต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ กลับไม่มีสักคนที่จะเป็นสุขได้! และหากให้ทางตระกูลเว่ยรู้เข้า แล้วนึกว่าเฟิงเอ๋อร์แต่งบุตรีที่เป็นดังมุกในฝ่ามือของบ้านเขาเข้ามาแต่กลับไม่ดูแลให้ดี ก็จะลบล้างน้ำใจที่เขายอมแบกรับเสียงครหานินทาและทำตามสัญญาแต่งงานต่อไปไปจนหมดสิ้น!”
“ปรากฏว่าเฟิงเอ๋อร์มอบเหล่าสาวใช้งามๆ ที่มีใจซื่อตรงให้กับคนที่เชื่อถือได้ ส่วนพวกที่มักใหญ่ใฝ่สูงก็มอบให้แก่ขุนนางและเหล่าคนชั้นสูง ดังนี้แล้วก็นับว่าปฏิบัติตามคุณธรรมที่นายพึงมีต่อบ่าวแล้ว รอจนสะใภ้สามแต่งเข้าบ้านมา แล้วเห็นว่าตั้งแต่ตนยังไม่ได้แต่งเข้ามา สามีก็จัดแจงหลังเรือนเพื่อตนจนหมดจด ต่อให้เป็นสตรีคนใดแล้วจะไม่ซาบซึ้งใจเป็นหมื่นเท่ารึ?” เสิ่นเซวียนเอ่ย “ยามนี้ทั้งสองฝ่ายล้วนพึงพอใจนัก เมื่อตระกูลเว่ยได้รับจดหมายจากสะใภ้สาม แล้วจะไม่เบิกบานใจและคลายความขัดเคืองได้อย่างไร? ข้าเกรงว่ายามนี้แม่เฒ่าซ่งจะต้องให้ความสำคัญกับเฟิงเอ๋อร์น้อยกว่าหลานชายหลายสาวแท้ๆ คู่เดียวของนางแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้ว หากให้แม่เฒ่าซ่งเลือกระหว่างหลานจากบุตรอนุกับเฟิงเอ๋อร์ แม่เฒ่าซ่งจะต้องเลือกเฟิงเอ๋อร์เป็นแน่!”
เสิ่นโจ้วพยักหน้ากล่าวว่า “ดีชั่วก็แต่งคนเข้าบ้านแล้ว หากปฏิบัติไม่ดีต่อนาง บุญคุณและน้ำใจในหนก่อนก็จะเปล่าประโยชน์ กลับกลายเป็นความแค้นได้โดยง่าย มิสู้ปฏิบัติกับนางดีๆ …ครั้งเหล่าสาวใช้งามถูกส่งออกไปจากเรือนแต่แรกนั้น ข้าได้ยินจูเอ๋อร์พูดไว้คำหนึ่ง บอกว่ามีหลายคนไม่ยอมไป เฟิงเอ๋อร์ก็ขืนเรียกคนคุมตัวออกไปจากประตู เมื่อยากจะทำให้พอใจทั้งสองฝ่าย มิสู้เลือกเอาทางหนึ่ง และตัดอีกทางหนึ่งทิ้งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับดีเสียกว่าที่ลี่เอ๋อร์มาทำดังนี้ …เฟิงเอ๋อร์ไตร่ตรองได้ชัดแจ้งกว่าลี่เอ๋อร์จริงๆ”
“ลี่เอ๋อร์เองก็มิใช่ว่าไตร่ตรองไม่ชัดแจ้ง” เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างหมดคำพูด “หรือต่อให้ตัวเขาเองคิดเห็นไม่ชัดแจ้ง แล้วพวกเราะจะไม่เคยบอกเขามาก่อนรึ? พี่สะใภ้เจ้าไม่รู้ว่าบอกเขาเป็นการส่วนตัวไปกี่ครั้งแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่หมิงเอ๋อร์เกิดมาแล้ว ว่าให้เขาคิดเสียว่าสองแม่ลูกที่ซีเหลียงนั้นตายไปนานแล้ว …แต่เจ้าดูสิ เรื่องนี้ในยามนี้…”
เขาส่ายหน้า “มองดูง่ายแต่ทำยาก สิ่งที่ข้าชื่นชอบที่สุดในตัวเฟิงเอ๋อร์ก็คือเขาคิดการได้กระจ่างแจ้ง ทำการก็เด็ดขาด! เพียงแต่การที่เขารักใคร่และปกป้องภรรยาของตนเพียงนี้ และไม่เคยทำผิดต่อคนในครอบครัว หากข้ามอบตระกูลเสิ่นให้แก่เขา ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะเอาแต่ห่วงครอบครัวของเขาและไม่สนใจผู้อื่น ทว่าเขาไม่ใช่ลูกชายคนโต หมิงเอ๋อร์ก็โตกว่ากวงเอ๋อร์มากนัก ข้าจึงกลัวว่าหากข้าแก่เฒ่าลงแล้วหรือไม่อยู่แล้ว คนอื่นจะทำการเลอะเลือนและทำให้เขาลำบากใจ! ฉะนั้นเรื่องของทางลี่เอ๋อร์ ขอเพียงข้ารู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่เป็นพอแล้ว คำตอบของลี่เอ๋อร์ในครานี้ทำให้ข้าเสียใจก็เสียใจอยู่ ทว่าก็วางใจได้ด้วย”
เสิ่นโจ้วเอ่ยพลางยิ้มเจื่อนๆ ว่า “เฟิงเอ๋อร์นั้นต้องดีอยู่แล้ว ส่วนลี่เอ๋อร์ แม้เขาไม่เหมาะจะรับช่วงตระกูลเสิ่นของเรา ทว่าก็ไม่ถึงกับจะทำการเลอะเลือนถึงขั้นลงไม้ลงมือห้ำหั่นกันเองหรอก …จะอย่างไรพวกเราก็มาว่าเรื่องธุระกันเถิด พี่ใหญ่ ฟังน้ำเสียงของท่านเมื่อครู่นี้ ท่านยังไม่ได้บอกให้ลี่เอ๋อร์รู้ว่าข้างกายโม่เหยี่ยมีคนของเราคอยแอบปกป้องเขาอยู่หรือ?”
“บอกเขาทำสิ่งใด?” เสิ่นเซวียนเอ่ยพลางยิ้มเย็น “หลานชายของบ้านเรามีน้อยจริงดังว่า แต่ต่อให้น้อยอีกเพียงใด เมื่อไม่ได้อยู่ในทำเนียบตระกูลก็ไม่ได้แซ่เสิ่น! ปีนั้นข้าส่งคนไปคอยจับตาดูองค์หญิงชาวตี๋ผู้นั้น เดิมทีก็ด้วยต้องการหาหลักฐานว่าที่นางมาให้ท่าลี่เอ๋อร์เพราะมีแผนการใด จะได้เอาไว้เป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งแก่ลี่เอ๋อร์! ส่วนที่บอกว่าไปคุ้มครองโม่เหยี่ย กับสอนวิชาธนูให้เขา ก็เพียงแค่ถือโอกาสทำไปพร้อมกันเท่านั้น ไม่คิดว่าไอ้เจ้าแก่คั่วต๋าชั่วจะทำได้ลงคือจริงๆ เลือดเนื้อเชื้อไขของตนแท้ๆ มันก็ยังไล่ออกไปจากเผ่าด้วยข้อหาว่าลอบสมคบกับชาวเว่ย เป็นตายก็ไม่เคยไถ่ถามถึง! ตั้งหลายปีมาแล้วแต่ก็ยังหาหลักฐานที่มีน้ำหนักใดไม่ได้เลย…เฮ่อ!”
“แล้วหญิงชาวตี๋นั่นก็ใจแข็งเหลือทน แต่ไรล้วนไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากลี่เอ๋อร์เลย” เสิ่นโจ้วเองก็เอ่ยพลางทอดถอนใจ “จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะลี่เอ๋อร์ทำการเลอะเลือนเกินไป เขาเป็นบุตรชายคนโตในรุ่นนี้ของตระกูลเสิ่น แล้วจะแต่งสตรีชาวตี๋เป็นภรรยาเอกได้อย่างไร? แม้จะเป็นอนุก็ยังเพราะพวกเรารักใคร่เขาจึงได้ยอมตกลงด้วย” แล้วบอกว่า “ยามนี้โม่เหยี่ยนั่นมาเอ่ยปากกับบ้านเราแล้ว ลี่เอ๋อร์จะต้องช่วยพูดให้เขาแน่ พี่ใหญ่คิดเห็นเช่นใด?”
เสิ่นเซวียน บอกว่า “แล้วเจ้านึกว่าอย่างไรเล่า?”
เสิ่นโจ้วเอ่ยเสียงหนักว่า “เด็กคนนี้เป็นสายเลือดของตระกูลเสิ่นเราจริงๆ คนข้างกายของลี่เอ๋อร์ล้วนสามารถพิสูจน์ประเด็นนี้ได้ ว่าไปแล้วเขาก็ไร้ความผิดใด …คำที่เขาเอ่ยกับเฟิงเอ๋อร์ล้วนเป็นความจริงหรือขอรับ?”
“ล้วนเป็นความจริง” เสิ่นเซวียนเอ่ยพลางพยักหน้าน้อยๆ “หลังจากพวกตี๋พ่ายแพ้ย่อยยับ ในระหว่างที่พวกลูกๆ ของอาอีถ่าหูหนีตาย เขาก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย แต่ม่านซาบุตรสาวคนเล็กที่เขารักที่สุดเขาก็คอยเอาไว้ข้างๆ กายตลอดเวลา ได้ยินว่าอาอีถ่าหูรักใคร่บุตรสาวคนเล็กนี้มากกว่าบุตรชายทั้งหมดเสียอีก ด้วยเหตุนี้บุตรหลานที่มีฐานะสูงศักดิ์ของพวกตี๋ล้วนหวังว่าจะแต่งม่านซาเป็นภรรยา หากมิใช่เพราะอาอีถ่าหูต้องพ่ายแพ้ต่ออูกู่เหมิงหนแล้วหนเล่า และคราก่อนก็ยังเสียเสบียงและเครื่องใช้ไปจำนวนมาก จนทำให้การใช้ชีวิตในฤดูหนาวเป็นไปอย่างยากลำบาก หาไม่แล้วก็จะไม่สัญญาว่าจะยกม่านซาให้แก่โม่เหยี่ย”
เสิ่นโจ้วไตร่ตรองสักพักจึงว่า “ข้าคิดว่าช่วยเขาสักหน่อยก็มิเป็นไร ก่อนนี้แม้จะเป็นเพราะพวกตี๋พ่ายแพ้ย่อยยับ ทั้งยังสังหารมู่ซิวเอ่อร์ลงได้ ทว่าเสบียงและเครื่องใช้ต่างๆ ที่พวกเราสั่งสมมาหลายปีก็ใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว เฟิงเอ๋อร์ไปซีเหลียงยังไม่นาน ยังไม่อาจกุมอำนาจส่วนใหญ่ของตระกูลไว้ในมือได้ทั้งหมด ยังต้องการเวลาอีกระยะหนึ่งให้อำนาจบารมีมั่นคง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เฟิงเอ๋อร์ก็เป็นว่าที่ประมุขตระกูลเสิ่น ตระกูลเสิ่นต่างหากจึงคือที่ที่เป็นรากฐานของเขา”
คำพูดนี้ของเขาย่อมหมายถึงว่าเขาสนับสนุนให้เห็นชอบกับขอเรียกร้องของโม่เหยี่ย
ทว่ากลับเห็นว่าเมื่อเสิ่นเซวียนได้ฟังแล้วก็ก้มหัวอยู่เนิ่นนาน นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใด
เสิ่นโจ้วเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “พี่ใหญ่นึกว่าข้าจะไม่ตอบรับเขา?” เสิ่นโจ้วรู้ว่าเสิ่นเซวียนรู้สึกและมองชาวตี๋ว่า ‘มิใช่ชนชาติเรา ใจเขาย่อมแตกต่าง’ เสมอมา ซึ่งต่างกับความคิดเสิ่นจั้งลี่
โดยเฉพาะเมื่อเสิ่นจั้งลี่เกิดเรื่องจนบัดนี้ เสิ่นเซวียนล้วนคิดว่าองค์หญิงชาวตี๋ที่มีชื่อภาษาฮั่นว่าซินอี๋ผู้นั้นมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ในใจ นางจะต้องได้รับคำสั่งจากบิดาและพี่ชายให้มาให้ท่าบุตรชายคนโตของตระกูลเสิ่น หากไม่รู้ว่าประมุขตระกูลมีความคิดดังนี้ ในขณะที่ซินอี๋ล่าถอยไปพร้อมกับคนในเผ่าแล้วถูกคนผลักลงมาจากรถม้า ซึ่งในเวลานั้นคนที่ตระกูลเสิ่นลอบส่งไปคอยดูแลโม่เหยี่ยท่ามกลางพวกตี๋ก็อยู่ใกล้ๆ เขาก็จะไม่เอาแต่ยืนดูอยู่ข้างๆ ปล่อยให้นางถูกเหยียบจนตายหรอก …สำหรับการตายของซินอี๋ผู้นี้ เสิ่นเซวียนเสียดายอยู่ก็เพียงเรื่องเดียว ก็คือจนนางตายนางก็ล้วนไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับแผนการร้ายที่นางเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับเสิ่นจั้งลี่ในคราวนั้น จึงทำให้เขาไม่อาจใช้เรื่องนี้มาเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งให้แก่เสิ่นจั้งลี่และบุตรหลานคนอื่นๆ ของเขาได้
กับซินอี๋ก็ยังเป็นดังนี้ ส่วนกับโม่เหยี่ยซึ่งเป็นบุตรของซินอี๋ ที่แม้ว่านับไปแล้วก็ยังเป็นหลานชายแท้ๆ ของเสิ่นเซวียน และเดิมทีหลานชายของเสิ่นเซวียนก็มีไม่มาก ทว่ากับหลานชายที่เกิดจากสตรีคนละเชื้อชาติ เสิ่นเซวียนก็กลับไม่ได้รู้สึกสงสารเท่าใด ในทางกลับกันกลับเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงเสียมากกว่า
ทว่าเสิ่นโจ้วกลับรู้สึกว่า ไม่ว่าอย่างไรโม่เหยี่ยก็เป็นคนของตระกูลเสิ่น แม้จะเป็นบุตรนอกสมรส ทว่าเมื่อเทียบกับหลายชายคนอื่นๆ ของตระกูลเสิ่นแล้ว ด้วยสภาพแวดล้อมที่เขาเกิดและเติบโตมา ก็นับว่าเขาได้รับความลำบากมาไม่น้อยจริงๆ ยามนี้ในเมื่อไม่ได้เสียผลประโยชน์ใดๆ ของตระกูลเสิ่น ช่วยเขาสักหนก็มิเป็นไร
แต่แน่นอนว่าเสิ่นเซวียนก็ยังพิจารณาถึงเรื่องที่ในเวลาเดียวกันนี้เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ต้องการเวลาเพื่อจะควบคุมทั้งตระกูลเสิ่นเอาไว้ได้มากกว่า ดีชั่ว ในช่วงเวลานี้ก็ไม่ว่างจะมาออกรบ และคิดว่านี่ก็เพียงแค่น้ำใจที่ให้ไปตามน้ำเท่านั้น
ทว่า เสิ่นเซวียนไตร่ตรองอยู่เนิ่นนานกลับบอกว่า “แล้วถ้าเกิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงของโม่เหยี่ยผู้นี้ หาใช่เพราะต้องการแต่งกับม่านซานั่นเล่า?”
________________