ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 70 จัดสรร
คู่ปู้เอ่อร์พลันถูกอาอีถ่าหูร้องห้ามเอาไว้ “ฟังม่านซาพูดให้จบก่อน!”
“ยามนี้พวกเราขาดแคลนเสบียงและเครื่องใช้ ในเมื่อโม่เหยี่ยจัดหามาได้แล้ว ก็นับว่าเป็นความชอบในเผ่า” ม่านซาก็มิได้สนใจความวู่วามของคู่ปู้เอ่อร์ ดีชั่วพี่ชายของนางก็มีนิสัยเช่นนี้อยู่แล้ว นางก็มิใช่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จึงตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อว่า “ทางชาวเว่ยมีคำพูดว่าผิดชอบต้องแยกแยะ ครานี้โม่เหยี่ยทำความชอบใหญ่หลวง พวกเราควรจะให้รางวัลเขาตามที่ท่านพอสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้คนในเผ่ารู้ว่าท่านพ่อเป็นคนรักษาคำมั่น และให้พวกเว่ยรู้ว่าพวกเราหาได้ถูกพวกเขาจูงจมูกเดิน!”
มีผู้อาวุโสผู้หนึ่งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วว่า “แล้วถ้าโม่เหยี่ยกำเริบเสินสานขึ้นมาเล่า? เสบียงและเครื่องใช้ครานี้เป็นเขาหามา หากชาวเว่ยหมายมั่นปั้นมือว่าจะสนับสนุนเขา ไม่แน่ว่าคราวหน้า ต่อให้พวกเราได้ของมีค่ามาแล้วเอาไปซื้อข้าวของจากชาวเว่ย พวกเขาอาจจะกำหนดมาว่าให้โม่เหยี่ยเป็นคนออกหน้า หากเป็นดังนี้ ชื่อเสียงบารมีในเผ่าของโม่เหยี่ยก็จะยิ่งสูงขึ้นอีก”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนรวมทั้งตัวอาอีถ่าหูต่างสะท้านไปทั้งตัว นั่นเพราะเป็นจริงว่าอิทธิพลของชาวเว่ยในยามนี้แกร่งกล้านัก หากพวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะสนับสนุนโม่เหยี่ยจริงๆ โม่เหยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องอาทรร้อนใจแต่อย่างใดว่าจะก้าวหน้าใหญ่โตไม่ได้!
“ชื่อเสียงบารมีสูงส่งแล้วจะอย่างไร?” ม่านซาเอ่ยอย่างรู้อยู่เต็มอก “แม้ชาวเว่ยจะพยายามสรรเสริญสุดกำลังว่าเสบียงและเครื่องใช้ครานี้ล้วนมอบให้มาด้วยเห็นแก่หน้าเขา ทว่าเสบียงและเครื่องใช้ครานี้ไม่ว่าจะแบ่งสรรกันอย่างไร หรือว่าชาวเว่ยยังจะอยู่ต่อช่วยเขาแบ่งด้วย? หากเป็นดังนั้นก็ข่มเหงกันเกินไปแล้ว! พวกเราพ่ายสงครามและยามนี้ก็มาขอสงบศึกกับพวกเขา แต่มิใช่ต้องเป็นทาสของพวกเขา! หากชาวเว่ยทำเช่นนี้ คนในเผ่าเราก็จะต้องไม่ตอบรับแน่! ดีชั่วเวลานี้เสบียงและเครื่องใช้ก็มาถึงในเผ่าแล้ว ความจริงจะจัดการเช่นใด อย่างไรก็ต้องแล้วแต่ชาวตี๋เราเท่านั้น ส่วนโม่เหยี่ยอายุยังน้อย คนที่เขารู้จักก็มีเพียงกี่คนเท่านั้น? แล้วเขาจะรู้เรื่องการจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้ได้ที่ใด? ท่านพ่อเป็นถึงท่านข่าน จะจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้ไปยังกระโจมต่างๆ เช่นใด นี่มิใช่เรื่องที่ท่านพ่อควรทำหรือไร?”
ว่าพลางหันไปยิ้มให้อาอีถ่าหู “ท่านพ่อ?”
อาอีถ่าหูมองนางด้วยความปลื้มปิติและชื่นชมคราวหนึ่ง แล้วหรี่ตาลงถามทุกคนว่า “ม่านซาบอกข้อเสนอแนะของนางไปแล้ว พวกท่านคิดเห็นเช่นใด?”
คิดเห็นเช่นใด? จนถึงยามนี้หากยังไม่รู้ว่าพ่อและลูกสาวสองคนนี้คิดสิ่งใดอยู่ ผู้อาวุโสทุกคนและเหล่าหัวหน้าเผ่าก็ครองตำแหน่งมาเสียเปล่าแล้ว!
…เห็นชัดว่าพ่อและลูกสาวทั้งสองคนนี้ต่างวางแผนเอาไว้ดีแล้วว่าจะช่วงชิงอำนาจในการจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้มาไว้ในมือ นอกจากจะยังสามารถลดทอนชื่อเสียงบารมีที่โม่เหยี่ยนำเสบียงและเครื่องใช้จำนวนมากกลับมาได้แล้ว ก็ยังเป็นการควบคุมพวกเขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าเอาไว้ได้ยิ่งกว่าเดิมด้วย!
นั่นเพราะ แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าจะยอมมาอยู่ใต้พรมของอาอีถ่าหู แต่ในความเป็นจริงแล้วชนเผ่าของพวกเขาเองก็ยังอยู่อย่างเอกเทศ อาอีถ่าหูทำได้เพียงอาศัยพวกเขาจึงจะสามารถออกคำสั่งกับเผ่าของพวกเขาได้! เดิมทีพวกเขามารวมตัวกันที่กระโจมอ๋องนั้น ประการแรกก็ด้วยหวาดกลัวว่าชาวเว่ยจะสนับสนุนโม่เหยี่ยให้ตั้งตนออกมาเป็นเผ่าอิสระ ด้วยเสบียงและเครื่องใช้ที่อยู่ในมือโม่เหยี่ยย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนไปสวามิภักดิ์กับเขา ไม่แน่ว่าอาศัยช่วงเวลาในฤดูหนาวครานี้ โม่เหยี่ยก็อาจรวบรวมคนจนกลายเป็นชนเผ่ากลุ่มใหญ่ที่สุดได้แล้ว?
อย่างไรเสียเวลานี้ก็ยังคงมีการรบพุ่งระหว่างชาวตี๋ด้วยกันเอง ผู้ที่พ่ายแพ้ก็จะสูญเสียทุกอย่าง การไปสวามิภักดิ์กับเผ่าอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดก็เป็นเรื่องปกติ ยามนี้โม่เหยี่ยก็นับว่าเป็นคนของอาอีถ่าหู มาสวามิภักดิ์ในนามของเขาก็ยังน่าฟังกว่าไปสวามิภักดิ์ต่ออูกู่เหมิงมากนักและยังปลอดภัยกว่ามากด้วย
ผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าเป็นกังวลว่าเมื่อโม่เหยี่ยมีเสบียงและเครื่องใช้ก็จะมากวาดต้อนเอาผู้คนและวัวแพะจากในเผ่าของตนไป ทั้งยังริษยาในสิ่งของที่เขานำกลับมาได้ด้วย …นั่นเพราะชาวเว่ยก็บอกอย่างชัดแจ้งตลอดทางที่มาแล้วว่า เรื่องการเจรจาสงบศึกก็ส่วนเรื่องเจรจา เสิ่นจั้งเฟิงก็จะตอบรับการเจรจาสงบศึกกับเผ่าของอาอีถ่าหูเท่านั้น ส่วนเรื่องสถานการณ์ในเผ่าของอาอีถ่าหูในเวลานี้ เสิ่นจั้งเฟิงเพียงเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า ‘ต้นปีทัพใหญ่บุกลึกเข้าไปในที่ราบทุ้งหญ้า ต้องเสียกำลังไปมาก แม้ต้องการช่วยแต่กลับไร้กำลัง’ เห็นชัดว่าเป็นการปฏิเสธว่าจะให้ความช่วยเหลือด้านข้าวของต่างๆ
เสบียงและเครื่องใช้ในครานี้ ล้วนเป็นฮูหยินเว่ยภรรยาเอกของเสิ่นจั้งเฟิงตอบแทนบุญคุณที่โม่เหยี่ยออกมาช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้ทันการณ์ จึงได้ใช้เงินทองส่วนตัวของตน รวมทั้งเกียรติยศหน้าตาของสามี ไปซื้อหามาจากในด่านเตี๋ยชุ่ย เป็นของกำนัลขอบคุณแก่กลุ่มของโม่เหยี่ย ซึ่งในจำนวนนั้นก็มอบให้แก่โม่เหยี่ยมากที่สุด
ดังนี้แล้ว แม้เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าจะพากันน้ำลายหกกับเสบียงและเครื่องใช้ในครานี้ แต่ติดที่เป็นสินน้ำใจขอบคุณจากว่าที่นายผู้หญิงของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง พวกเขาจึงกลัวว่าจะถูกเอาคืนในภายหลัง และไม่กล้าบุ่มบ่ามช่วงชิงไป เพียงหวังว่าจะสามารถไกล่กล่อมให้อาอีถ่าหูออกหน้าให้ โดยการใช้ฐานะข่านทำให้ โม่เหยี่ยมอบเสบียงและเครื่องใช้ให้ท่านข่านไปแบ่งสรรปันส่วนเอง …เมื่อเป็นดังนี้แล้วพวกเขาจึงจะสามารถออกปากได้บ้าง
ประการที่สอง กลับเป็นการเตรียมการว่าเมื่อเอาอำนาจการจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้มาจากโม่เหยี่ยได้แล้ว ก็จะได้ช่วงชิงเอาผลประโยชน์มาให้เผ่าของตนให้ได้มากที่สุด …ที่ใดจะคิดมาก่อนว่าอาอีถ่าหูและม่านซาต่างคนต่างรับส่งกันดังนี้ และกลับคิดการว่าจะเอาอำนาจการจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้มาไว้ในมือของอาอีถ่าหู ทั้งหมด!
เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าย่อมไม่อาจทนยอมได้ ผู้อาวุโสที่ออกปากไปก่อนหน้านี้จึงเอ่ยออกไปโดยไม่ลังเลใดๆ ว่า “องค์หญิงม่านซาบอกว่าโม่เหยี่ยอายุยังน้อย นี่เป็นเรื่องจริง แต่เสบียงและเครื่องใช้ในครานี้หาใช่พวกเว่ยมอบให้แก่พวกเราทั้งเผ่าไม่ หากแต่เป็นเพราะโม่เหยี่ยช่วยชีวิตสตรีสูงศักดิ์ชาวเว่ยเอาไว้ สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นจึงได้มอบของมาเป็นน้ำใจตอบแทนให้เขา! ยามนี้หากขืนไปเอามาจากมือเขา แล้วเขาไม่เห็นชอบ กลับเป็นการหักหาญน้ำใจของทหารกล้าในเผ่าเสียอีก! กระทั่งเป็นการล่วงเกินสตรีสูงศักดิ์ชาวเว่ยที่เขาช่วยมาผู้นั้นด้วย! เผ่าของเราเคยพ่ายแพ้ยับเยินต่อน้ำมือของชาวเว่ยมาก่อน ยามนี้ในเมื่อชาวเว่ยไม่มีประสงค์จะใช้กำลังทหารกับเราชั่วระยะหนึ่ง อย่างไรก็ควรจะให้สงบอยู่เช่นนี้ไปก่อน หาไม่แล้วก็อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนใหญ่โตขึ้นมาได้!”
โม่เหยี่ยเป็นเพียงบุตรชายนอกสมรสของอดีตองค์หญิงซินอี๋แห่งชิวตี๋ ด้วยเหตุที่ขณะตั้งครรภ์เขานางไม่ยอมบอกถึงฐานะบิดาของเขา ด้วยความโกรธ ข่านผู้เฒ่าจึงไล่นางออกจากตระกูลอ๋อง ดังนั้นแม้ว่าโม่เหยี่ยจะเป็นหลานตาของท่านข่านผู้เฒ่า และเป็นหลานชายแท้ๆ ของอาอีถ่าหู ทว่าก็ไม่เคยได้เสพสุขกับอภิสิทธิ์ต่างๆ ของบุตรหลานในตระกูลอ๋องมาก่อนเลย กลับกันเขากลับถูกนินทาว่าร้ายและดูแคลนเพราะชาติกำเนิดของเขาเสมอมา
แม้ครานี้เขาจะสร้างความชอบใหญ่หลวงให้แก่เผ่า และวันหน้าฐานะของเขาก็จะต้องไม่เหมือนก่อน แต่การสร้างฐานอำนาจของเขาก็จะไม่อาจราบรื่น ยามนี้ยังเป็นฤดูร้อน ยังห่างจากฤดูหนาวอีกระยะหนึ่ง หากเก็บเสบียงและเครื่องใช้ไว้ในมือเขาชั่วขณะ อย่างไรก็ยังดีกว่าให้มาอยู่ในมือของอาอีถ่าหู นั่นเพราะหากมาอยู่ในมือของฝ่ายหลัง ต่อให้พวกเขาอยากจะเอามาแบ่งสรรปันส่วนกันมากมายเพียงใด สิ่งที่เขาจะต้องนำมาแลกเปลี่ยนก็จะต้องมิใช่เพียงน้อยนิดเท่านั้น…
แต่หากเป็นโม่เหยี่ย ซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ จนยามนี้ก็ยังไม่รู้แน่ว่าบิดาเป็นผู้ใด มารดาก็ตายไปแล้ว ทั้งยังถูกคนในเผ่าดูหมิ่นรังแกมาจนโต หากไปเจรจากับเขาเรื่องเสบียงและเครื่องใช้โดยตรง ต่อให้ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ต้องคุ้มค่าว่ามาแลกเปลี่ยนกับอาอีถ่าหู!
เมื่อครู่นี้ยังคิดว่าต้องไม่ให้โม่เหยี่ยอาศัยโอกาสนี้หว่านล้อมผู้คนไปเป็นฝ่ายของตนเอง แต่ยามนี้ทุกคนกลับคิดว่าหากสามารถใช้ประชากรและวัวแพะที่เกินความจำเป็นในชนเผ่าของตนมาแลกเปลี่ยนเสบียงและเครื่องใช้ที่ล้ำค่านี้ ต่อให้โม่เหยี่ยสถาปนาเผ่าใหม่ของตนขึ้นมา อย่างไรก็ยังดีกว่าให้อาอีถ่าหูมาขูดเลือดขูดเนื้อพวกตน…
แม้พวกเขาจะนับว่าอยู่ใต้พรมของอาอีถ่าหู แต่ลึกๆ แล้วกลับต้องสนใจเผ่าของแต่ละคนมากกว่า ก็เหมือนครานั้นที่อาอีถ่าหูก้าวออกมาคัดค้านมู่ซิวเอ่อร์อย่างเปิดเผย และแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้แต่เพราะชนเผ่าเดิมของเขามีความแข็งแกร่งและรุ่งเรือง ทั้งยังหว่านล้อมเอาชนเผ่าขนาดกลางและเล็กมาได้ ยามนั้นมู่ซิวเอ่อร์จึงไม่อาจทำอันใดเขาได้ …ดังนี้แล้ว เผ่าของตนจึงจะสำคัญที่สุด ขอเพียงดูแลเผ่าของตนให้ดี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่ให้พูดจาในกระโจมอ๋อง!
ยิ่งไปกว่านั้นหากเผ่าของตนแข็งแกร่งแล้ว ถึงยามนั้นต่อให้ไม่อาจพึ่งพาอาอีถ่าหูได้ ก็ยังสามารถย้ายไปสวามิภักดิ์กับอูกู่เหมิงได้นี่! เมื่อเผ่าของตนเจริญรุ่งเรืองแล้ว ต่อให้ต้องไปสวามิภักดิ์กับอูกู่เหมิง ก็ไม่ต้องกลัวว่าอูกู่เหมิงจะกล้าไม่ปฏิบัติกับตนตามธรรมเนียม ทุ่งหญ้ากว้างไกลไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่ให้ไป!
ในชั่วระยะเวลาเพียงสั้นๆ ผู้ที่เปลี่ยนมาคิดเห็นดังนี้ก็มิใช่มีเพียงแค่ผู้อาวุโสผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น
เมื่อเทียบกับการมาแบ่งสรรเสบียงและเครื่องใช้จากในมือของอาอีถ่าหูแล้ว การมาขอจากเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งรากฐานไร้ซึ่งอำนาจใดๆ ทั้งยังเป็นบุตรนอกสมรสย่อมง่ายดายกว่ามากนัก! ทุกคนล้วนแอบด่าตนเองว่าโง่เง่าอยู่ในใจ เหตุใดจึงไม่คิดถึงประเด็นนี้ให้เร็วกว่านี้? แต่กลับหวาดกลัวว่าพวกเว่ยจะสนับสนุนโม่เหยี่ย และมารวมตัวกันหารือกับอาอีถ่าหู …ต่อให้ชาวเว่ยต้องการสนับสนุนโม่เหยี่ยจริงๆ แต่นั่นก็เป็นการพุ่งเป้ามาที่อาอีถ่าหูซึ่งเป็นข่านคนเดียวเท่านั้น!
ดีชั่วพวกเขาก็ยังมีอาอีถ่าหูกั้นเป็นด่านหน้าให้นี่!
ในเมื่อเปลี่ยนความคิดแล้ว ทุกคนจึงพากันออกปากคัดค้านที่จะให้อาอีถ่าหูมาจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้แทนโม่เหยี่ย!
เมื่อเห็นดังนี้ อาอีถ่าหูพลันมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา กำลังจะร้องด่าเพื่อทำให้ที่ประชุมสงบ กลับเห็นว่าม่านซาลุกขึ้นมาก่อน แล้วกวาดตามองไปทั่ว ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งพลางเอ่ยเสียงดังไปว่า “เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าพูดจามาตั้งมากมาย ล้วนไม่เห็นด้วยที่จะให้ท่านพ่อจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้จำนวนนี้แทนโม่เหยี่ย เหตุผลทั้งสิ้นก็เป็นเพราะเสบียงและเครื่องใช้นี้เป็นโม่เหยี่ยพวกเขานำมา และในจำนวนนั้นก็เป็นของโม่เหยี่ยมากที่สุด ย่อมต้องให้เขาตัดสินใจเอง ใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งแค่นเสียงว่า “มิผิด! ฉะนั้น…”
“ในเมื่อเป็นดังนี้ นับเวลาดูแล้ว โม่เหยี่ยก็ใกล้จะมาถึงกระโจมอ๋องแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ถามตัวเขาเองสักคำ มิใช่ว่าได้แล้วหรือ?” ม่านซาส่งสายตาให้บิดาที่กำลังจะพูดบางอย่าง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนล้วนไม่มีสิ่งใดจะพูด เพียงแต่รู้สึกว่าม่านซาเจ้าเล่ห์ จึงอดจะระแวงอยู่ในใจไม่ได้ …ทว่ายังไม่ทันได้ระแวงนานนัก บ่าวข้างนอกก็มารายงานว่า “ชาวเว่ยและโม่เหยี่ยมาถึงข้างนอกกระโจมแล้ว จะขอเข้าพบท่านข่านพร้อมกันขอรับ”
“รีบไปเชิญเข้ามา!” อาอีถ่าหูหันหน้ามามองบุตรสาวซึงมีใบหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งคราวหนึ่ง แล้วสั่งความไป
ทหารเว่ยที่ช่วยโม่เหยี่ยนำเสบียงและเครื่องใช้มาส่งมีจำนวนไม่น้อย …นั่นเพราะต้องเตรียมรับมือหากอูกู่เหมิงมาแย่งชิงเอาไป ทว่าเพื่อให้ฝ่ายของอาอีถ่าหูวางใจ พวกเขาจึงไม่ได้มาในเขตค่ายพักทั้งหมด ผู้ที่เข้ามาในกระโจมอ๋องกับโม่เหยี่ยในเวลานี้ก็เป็นเพียงนายทหารนายหนึ่งและราชองครักษ์ชินสี่นายเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่นายทหารที่เรียกตนเองว่าเสิ่นกู้นายนี้เข้าประตูมา และคารวะทักทายทุกคนตามธรรมเนียมแล้ว ก็เอาแต่ชมเชยลายปักและผ้าทอภายในกระโจมที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากต้าเว่ย มิได้เอ่ยคำทำนองท้าท้ายต่อชาวตี๋แต่อย่างใด
เมื่อเห็นดังนี้อาอีถ่าหูจึงกระแอมคราวหนึ่ง แล้วชมเชยโม่เหยี่ยด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ …และในยามนี้เองก็ทำให้ทุกคนต้องระวังตัวขึ้นมา!
ด้วยกลัวว่าหากเขายังคงชมเชยต่อไป ก็จะทำให้โม่เหยี่ยเจ้าเด็กซื่อเซ่อผู้นี้ตอบรับว่าจะมอบเสบียงและเครื่องใช้ให้เขาไปในทันใด ทุกคนจึงพากันออกปากขึ้นมา เป็นทีเตือนโม่เหยี่ยว่าอย่างทำการเลอะเลือนดังนั้นเชียว!
ซึ่งเสิ่นกู้ก็เพียงทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์นี้ แล้วคอยฟังอยู่อย่างใจเย็น จนสุดท้ายคนในกระโจมอ๋องก็เกือบจะชกต่อยกันขึ้นมา เขาจึงได้กระแอมออกมาคราวหนึ่ง …จนทำให้ชาวตี๋ที่ทางหนึ่งกำลังโต้แย้งกัน อีกทางหนึ่งก็มองดูสีหน้าเขาพากันเงียบเสียงด้วยท่าทีขัดเขิน ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งพลางว่า “ทุกท่านยื้อแย่งกันไปมา ก็ด้วยอยากจะรู้ว่าสินน้ำใจขอบคุณในครานี้ โม่เหยี่ยจะจัดการเช่นใดใช่หรือไม่?”
ไม่รอให้ชาวตี๋ตอบความ เสิ่นกู้ก็รีบเอ่ยต่อไปว่า “ทว่าก่อนข้าน้อยจะออกเดินทางมาก็ได้รับคำสั่งจากฮูหยินน้อยบ้านข้าว่า ต้องให้แน่ใจว่าเสบียงและเครื่องใช้จำนวนนี้ต้องเป็นโม่เหยี่ยจัดการไปตามใจ คิดว่าทุกคนคงไม่รังเกียจจะให้เกียรตินี้แก่ข้าน้อยกระมังขอรับ?” ทางหนึ่งเขาพูดไป อีกทางหนึ่งก็ตบที่ฝักดาบพกที่เอวประหนึ่งว่าไม่มีคนอยู่ข้างๆ …ความจริงแล้วเมื่อเข้ามาในกระโจมอ๋อง นอกจากข่านและองครักษ์ของข่านแล้ว ทุกคนล้วนต้องปลดอาวุธออก ยามเสิ่นกู้เข้ามาก็ทำตามกฎนี้เช่นกัน ฉะนั้นที่เขาตบอยู่ในยามนี้ก็เป็นเพียงฝักดาบเปล่าๆ เท่านั้น
ทว่า…
เมื่อคิดไปถึงต้าเว่ยซึ่งอยู่เบื้องหลังเขาและแซ่ของเขา ในซีเหลียงนั้น ฐานะของบุตรหลานตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงสำคัญยิ่งกว่าเหล่าขุนนางที่ถูกส่งมาจากราชสำนักต้าเว่ยเสียอีก โดยเฉพาะที่ข่านมู่ซิวเอ่อร์คนก่อนก็ต้องตายด้วยแผนการของเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นบุตรหลานของตระกูลเสิ่น… เมื่อนึกย้อนไปถึงความหวั่นหวาดและสิ้นหวังครั้งคนทั้งเผ่าถูกไล่ล่าเมื่อตอนต้นปี ชาวตี๋ก็ยังนิ่งงันลงทันใด แล้วปล่อยให้เสิ่นกู้ยิ้มพลางถามโม่เหยี่ยว่า “มิทราบว่าคุณชายโม่เหยี่ยคิดเห็นประการใด?”
“เดิมทีข้าก็ไม่ต้องการสินน้ำใจขอบคุณจากฮูหยินเว่ย ทว่าเพื่อคนในเผ่าแล้วกลับไม่อาจไม่รับเอาไว้ได้” โม่เหยี่ยนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จึงเอ่ยออกมา
ชาวตี๋ได้ฟังดังนี้ก็ต่างโล่งใจ ในเมื่อเอ่ยถึงคนในเผ่า เช่นนั้นก็คงจะรับเอาแล้วนำมาแบ่งสันปันส่วนกันแล้วกระมัง? เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าที่ใจร้อนกำลังจะเอ่ยคำ ไม่คิดว่าโม่เหยี่ยกลับพูดต่อไปว่า “ในเมื่อรับเอาไว้แล้ว ยามนี้ย่อมต้องเป็นสมบัติของข้า ข้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และควรต้องมีทรัพย์สินส่วนตัว จึงไม่ได้คิดว่าจะนำไปมอบให้แก่ผู้ใด!”