ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 71-1 ตัดสินใจ
“หา!” เมื่อฟังเสิ่นกู้รายงานจบ สีหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงก็บ่งบอกว่ารู้สึกเกินคาดนัก กล่าวว่า “เช่นนั้นกำหนดแต่งงานของพวกเขาสองคนกำหนดแล้วหรือไม่?”
….ก่อนนี้เสิ่นกู้ได้รับคำสั่งจากเสิ่นจั้งเฟิงว่าให้กลับไปที่กระโจมอ๋องพร้อมกับโม่เหยี่ยโดยเฉพาะ ด้วยอิทธิพลของต้าเว่ยและตระกูลเสิ่น ทำให้อาอีถ่าหูไม่อาจไม่ยินยอมให้โม่เหยี่ยจัดการสินน้ำใจที่เว่ยฉางอิ๋งมอบให้แก่โม่เหยี่ยด้วยตนเอง
ปรากฏว่าโม่เหยี่ยเองก็ออกตัวไปก่อนว่าเขาไม่คิดจะมอบสิทธิ์นี้ให้แก่คนในเผ่า จากนั้น ในขณะที่ผู้มีหน้ามีตาทั้งหมดในเผ่าของอาอีถ่าหูกำลังผิดหวังและเคืองโกรธอยู่นั้น เขาก็กลับหักมุมด้วยเรื่องที่ทุกคนคิดไม่ถึง ก็คือเขาจะใช้เสบียงและเครื่องใช้ที่ได้มาครานี้เป็นของหมั้นเพื่อหมั้นหมายกับองค์หญิงม่านซา!
เมื่อเขาว่ามาดังนี้ทุกคนจึงเพิ่งนึกได้ว่า เมื่อครั้งที่เขาจะพาคนไปเจรจาสงบศึกที่ด่านเตี๋ยชุ่ยก่อนหน้านี้ อาอีถ่าหูซึ่งกำลังลนลานเคยให้คำมั่นกับเขาว่าจะยกม่านซาให้แต่งงานกับเขา… และพวกเขาก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดตอนที่ม่านซาเห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าชาวตี๋ไม่เห็นด้วยว่าจะมอบอำนาจการจัดสรรเสบียงและเครื่องใช้ที่โม่เหยี่ยได้รับมามอบให้แก่อาอีถ่าหู นางจึงเปลี่ยนมาเสนอว่าให้โม่เหยี่ยเป็นคนตัดสินใจเอง และมีท่าทีมั่นอกมั่นใจเพียงนั้น…
เด็กหนุ่มอย่างไรก็ยังเป็นเด็กหนุ่มวันยันค่ำ! เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าชาวตี๋มองใบหน้าที่แทบบานเป็นจานเชิงของอาอีถ่าหูด้วยความรู้สึกทั้งผิดหวังและขัดเคืองอยู่ในใจ คิดว่าแม้ม่านซาจะได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในชิวตี๋ ทว่าในสายตาพวกเขาที่เป็นดังจิ้งจอกแก่แล้ว ต่อให้เป็นองค์หญิงที่งดงามอีกเพียงใด แต่จะมาเทียบกับอำนาจได้อย่างไร?
คนทั้งเผ่ากำลังจะหิ้วตายอยู่แล้ว แค่ไม่ระวังเพียงพริบตาก็จะถูกเผ่าอื่นยึดครอง ผู้ใดยังจะมาสนใจว่าเป็นหญิงงามหรือไม่?!
ก็มีแต่เด็กหนุ่มเช่นโม่เหยี่ยนี้เท่านั้นที่ไร้ครอบครัวให้คิดถึงไร้ความอาทรใดๆ ทั้งยังถูกคนทั้งเผ่าดูแคลนข่มเหงมาแต่ไร พอมีโอกาสจะแต่งกับไข่มุกงามในเผ่าจึงถูกความงามครอบงำจนเลอะเลือน! และมอบของหมั้นมากมายเช่นนี้ให้…
หากมิใช่ว่าม่านซาได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งชิวตี๋ เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าก็อยากจะนำเสนอบุตรสาวและหลานสาวของตนให้เขาไปเสียในทันใด….ในพริบตานี้ พวกเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาอีถ่าหูจึงได้ให้ความสำคัญกับบุตรสาวผู้นี้ถึงเพียงนี้ ในขณะที่กำลังหลบหนีกันอย่างชุลมุน แม้เขาต้องทิ้งบุตรชายบุตรสาวตั้งมากมาย แต่ก็ยังพาม่านซามาด้วย …นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงไหวพริบความเฉลียวฉลาดของม่านซา ว่ากันแต่เพียงฐานะหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งชิวตี๋และองค์หญิงแห่งชิวตี๋ของนาง ก็นับว่าแทบไม่มีอุปสรรคได้มาขวางได้แล้ว อาศัยบุตรสาวผู้นี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่อาจรอดจากอันตรายใดได้!
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะเป็นทุกข์เพียงใด ดีชั่วในเมื่อโม่เหยี่ยว่ามาดังนี้แล้ว อาอีถ่าหูก็รีบพายเรือตามน้ำโดยการแสดงท่าทีว่าจะยกม่านซาให้แต่งงานกับเขาตามสัญญา …เสิ่นกู้ที่อยู่ที่นั่นด้วยก็ต้องเอ่ยแสดงความยินดีไปด้วยรอยยิ้ม และนับว่าจัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามขึ้นในเวลานี้ เสิ่นกู้จึงพยักหน้าบอกว่า “ในเดือนหน้านี้เองขอรับ” แล้วอธิบายว่า “พิธีแต่งงานของชาวตี๋เป็นพิธีเรียบง่ายขอรับ แม้จะเป็นงานอภิเษกขององค์หญิง ก็มิได้เป็นพิธีที่ซับซ้อนอันใด ยิ่งไปกว่านั้นอาอีถ่าหูก็พ่ายศึกติดต่อกันหลายครั้ง ยามนี้ในเมื่อได้รับของหมั้นที่โม่เหยี่ยนำกลับมา และกำลังจดจ่ออยู่กับการจะเปิดศึกกับอูกู่เหมิงอีกครั้ง คาดว่าคงไม่อาจตระเตรียมสินติดตัวให้องค์หญิงม่านซาได้เท่ากับของหมั้นของโม่เหยี่ยหรอกขอรับ”
“เมื่อเป็นดังนี้ พอถึงยามนั้นก็ต้องลำบากให้เจ้าเดินทางไปอีกคราหนึ่งแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ พลางว่า “ข้าก็จะต้องเตรียมของกำนัลสักชิ้นเช่นกัน”
ตำแหน่งราชการของเสิ่นกู้ไม่สูง ทั้งเมื่อนับกันด้วยสายเลือดแล้วก็ยังเป็นบุตรหลานในสายห่างๆ ของตระกูลเสิ่น เขาย่อมไม่ขัดคำสั่งของเสิ่นจั้งเฟิง
เมื่อให้เขาไปแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาที่เรือนหลัง แล้วเล่าเรื่องที่โม่เหยี่ยกำลังจะแต่งงานกับองค์หญิงม่านซาให้เว่ยฉางอิ๋งฟัง เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าแล้วว่า “เขาก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว แต่พ่อแม่กลับไม่อาจช่วยจัดการให้เขาได้ แม้ไม่รู้ว่าการที่เขาได้แต่งงานกับองค์หญิงม่านซาในครานี้เป็นไปในสถานการณ์อย่างไร ทว่าในเมื่อเป็นบุตรีซึ่งเป็นที่รักของอาอีถ่าหู คิดว่าฐานะในเผ่าของเขาในวันข้างหน้าก็คงจะไม่ย่ำแย่ไปได้หรอก”
แล้วถามว่า “เรื่องนี้ต้องบอกกับพี่ชายใหญ่หรือไม่? จะได้ให้พี่ชายใหญ่วางใจสักหน่อย”
“ย่อมต้องบอกอยู่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ พลางว่า “พี่ชายใหญ่คอยเป็นห่วง โม่เหยี่ยเสมอมา หากรู้ว่าเขาจะได้แต่งงานกับองค์หญิงชาวตี๋ ทั้งยังได้รับความสำคัญจากพ่อตายิ่งนัก คิดว่าเขายิ่งจะวางใจได้อีกสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “ก่อนหน้านี้จดหมายของพี่ชายใหญ่ตามจดหมายของท่านพ่อมาติดๆ ยามนี้เกรงว่าคงจะตั้งตาคอยอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว มิสู้เขียนจดหมายกลับไปบอกเขายามนี้เลย”
ทันใดนั้นเองสอง สามีภรรยาก็หารือกันพักหนึ่ง แล้วจะบรรจงเขียนออกมา ปิดผนึก แล้วส่งให้คนนำไปส่งที่เมืองหลวง
ณ จวนราชครู เมืองหลวง
เสิ่นเซวียนอ่านจดหมายแล้วให้คนไปเชิญเสิ่นโจ้วมา เอาจดหมายให้เขารอจนเขาอ่านจบ แล้วถามว่า “เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เสิ่นโจ้วดูเสิ่นจั้งเฟิงเติบโตมา แล้วเสิ่นโจ้วจะไม่รู้นิสัยของหลานชายที่ทุกคนฝากความหวังยิ่งใหญ่เอาไว้ผู้นี้ได้อย่างไร? แม้ในจดหมายนี้จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่เพียงแค่เสิ่นโจ้วอ่านดูก็เข้าใจว่าสิ่งที่เสิ่นจั้งเฟิงต้องการจะพูดหรือต้องการจะเตือนเสิ่นเซวียนจริงๆ นั้นเป็นเรื่องใด
เขาอดจะขมวดคิ้วเข้ามาไม่ได้ “เอาเช่นนี้จริงๆ รึ? โม่เหยี่ยอายุยังน้อย ทั้งตลอดมาก็ยังถูกคนข่มเหงดูแคลน ไม่น่าจะมีวาสนาเพียงนี้กระมัง?”
“ก็เป็นเพราะถูกคนข่มเหงดูแคลนตลอดมา จึงยิ่งจะมีใจทะเยอะทะยาน” เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจ “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็อย่าได้ลืมองค์หญิงม่านซาผู้นี้!”
เสิ่นเซวียนชี้ไปที่จดหมายแล้วเอ่ยอย่างหมดคำพูดว่า “ทั้งก่อนและหลังเฟิงเอ๋อร์ก็เอ่ยถึงตั้งสองครา บุตรสาวคนเล็กของอาอีถ่าหูผู้นี้หลักแหลมเป็นจอมวางแผน จึงเป็นที่รักและได้รับความเชื่อใจจากอาอีถ่าหูอย่างมาก ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ของชิวตี๋ แต่ไรมาล้วนใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ทั้งสิ้น แม้องค์หญิงที่มีนามว่าม่านซาผู้นี้จะหลักแหลม ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งชิวตี๋อันใดนั่นด้วย แต่ก็ไม่มีทางจะหนีเรื่องนี้พ้น แม้อาอีถ่าหูต้องการให้นางคอยช่วยเป็นแรงหนุนและจะต้องให้คนในกระโจมอ๋องเป็นสวามีของนาง เพื่อเก็บนางไว้ข้างกาย แต่องค์หญิงก็คือองค์หญิง! ไม่ว่าจะเป็นต้าเว่ยของเราหรือว่าชิวตี๋ ทั้งฮองเฮาและไทเฮาซึ่งมีฐานะมเหสีล้วนมีโอกาสเข้าไปฟังการว่าราชการอย่างใกล้ชิด ทว่าแต่ไรมาล้วนไม่เคยมีองค์หญิงที่เป็นดังนี้! นั่นเพราะแม้จะเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ จะอย่างไรก็ต้องไปเป็นคนของบ้านอื่น! ข้าว่าที่เฟิงเอ๋อร์ จงใจเอ่ยถึงนาง ก็ด้วยเคลือบแคลงว่าม่านซาผู้นี้อาจมิได้ยินยอมจะเป็นเพียงแค่องค์หญิงอยู่เช่นนี้ตลอดไป!”
“นางต้องการเป็นมเหสีเอก แต่กลับไม่อาจอภิเษกกับพี่ชายของตนเอง” เสิ่นโจ้วถอนใจคำหนึ่ง “ฉะนั้นจึงทำได้เพียงสนับสนุนให้สามีของตนช่วงชิงตำแหน่งข่านจากบิดาของตนเอง? แล้วนางไม่กลัวว่าโม่เหยี่ยจะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น นางจะรู้ได้อย่างไรว่าโม่เหยี่ยจะสามารถช่วงชิงตำแหน่งข่านมาได้?”
เสิ่นเซวียนเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “น้องรองเจ้าอย่าลืมว่าตัวโม่เหยี่ยเองก็ไม่แน่ว่าจะไม่หมายปองตำแหน่งข่าน!”
“ว่ามาดังนี้ ก็เป็นไปได้ว่าม่านซาผู้นี้จะล่วงรู้ฐานะของโม่เหยี่ย?” เสิ่นโจ้วตกตะลึง