ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 8 เกิดเหตุ
“ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ! เกิดเรื่องแล้ว!”
หลังบ่ายท้องฟ้าโปร่ง หิมะที่กองทับถมอยู่ในลานบ้านต้องแสดงตะวันในเหมันตฤดูสะท้อนแสงวิบวับระยับตา เว่ยฉางอิ๋งกำลังพาพวกนางหวงตรวจสอบและปรับสมุดบัญชีอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนร้องเอะอะอย่างร้อนรนมาตลอดทางจนเข้ามาในโถง ไม่ทันรอให้นางหวงร้องตำหนิเรื่องมารยาท จูสือที่โผล่หัวเข้ามาก่อนยังไม่ทันจะคำนับเสร็จ นางก็คำนับไปและพูดไปพลางว่า “คุณหนูตวนมู่แปดจะวางยาพิษ คุณชายเติ้งให้ตาย คุณหนูเติ้งตกใจจนเป็นลมไปแล้วเจ้าค่ะ ที่เรือนคุณหนูตวนมู่แปดในยามนี้กำลังชุลมุนวุ่นวายไปหมดแล้ว ต้องเชิญฮูหยินน้อยไปจัดการด้วยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งตกอกตกใจ กล่าวว่า “นี่มันเรื่องใดกัน?”
จูสือบอกว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ! วันก่อนคล้ายว่าคุณหนูตวนมู่แปดจะเคยเอ่ยกับคุณหนูเติ้งมาก่อนว่าในตัวคุณชายเติ้งคล้ายยังมีแผลเก่าอยู่ เช้าวันนี้คุณหนูเติ้งจึงพาตัวคุณชายเติ้งมาที่เรือนคุณหนูตวนมู่แปดเพื่อขอให้คุณหนูแปดช่วยตรวจรักษาให้สักหน่อย ปรากฏว่าคุณหนูตวนมู่แปดตรวจอาการให้เล็กน้อย จึงยกถ้วยยาออกมาให้คุณชายเติ้งดื่ม เดิมทีคุณชายเติ้งบอกว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนจึงไม่ยอมดื่ม แต่คุณหนูเติ้งเป็นห่วงว่าอาการเจ็บป่วยของคุณชายเติ้งจะไม่ได้รับการรักษา จึงช่วยคุณหนูตวนมู่แปดคะยั้นคะยอให้เขาดื่มยา ปรากฏว่าคุณชายเติ้งดื่มลงไปก็กระอักเลือดออกมา …คุณหนูตวนมู่แปดไม่สนใจใดๆ แล้วเอ่ยอย่างเย็นยะเยือกไปว่าในยานั้นมียาพิษเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นยามนี้คุณชายเติ้งเป็นอย่างไรแล้ว?!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างตื่นตกใจ
ส่วนสาเหตุที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวลงมือกับเติ้งจงฉีนั้น เว่ยฉางอิ๋งก็พอจะรู้อยู่บ้าง ก็แรกเริ้มนั้นมิใช่สนมเอกเติ้งเป็นคนเสนอให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวตามมาด้วยหรอกหรือ? แม้วิชาแพทย์ของคุณหนูแปดผู้นี้จะสูงส่ง แต่จนใจเหลือที่นางเมารถหนักหนาสาหัสยิ่งนัก ตลอดทางมานี้ต้องอาเจียนแทบเป็นแทบตาย เมื่อมาถึงซีเหลียงก็แทบจะไม่เหลือชีวิตแล้ว หากมิใช่เพราะตัวนางเองเป็นหมอและเตรียมยาที่ใช้ในยามคับขันมากองโต เกรงว่าวันนั้นคงต้องหามจากรถตรงเข้าไปในห้องแล้ว!
ลำพังเพียงเรื่องนี้ก็เพียงพอจะทำให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งมีอารมณ์ร้ายแปรปรวนเช่นเดียวกับท่านหมอเทวดาหันมาชิงชังสนมเอกเติ้งและพาลมาโกรธคงอื่นๆ ใน ตระกูลเติ้งได้แล้ว ก็ผู้ใดให้สนมเอกเติ้งรนหาที่ตายเอง …ไม่รู้ว่านางเป็นคนเสนอความคิดต่อฮ่องเต้หรือไม่ เพราะสนมเอกคงไม่หวังเพียงให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวมารักษา เสิ่นจั้งเฟิงเท่านั้น หากแต่ให้นางรับภารกิจตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่แท้จริงของ ตระกูลเสิ่นให้แก่ทางเมืองหลวงด้วย …มารดาของตวนมู่ซินเหมี่ยวเสียไปนานแล้ว ทั้งมิได้ใกล้ชิดกับบิดา ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในตระกูลก็ยิ่งห่างเหินนัก
คนที่นางคำนึงถึงมากที่สุดคงไม่พ้นพระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋อง สนมเอกจึงเอาทั้งสองท่านนี้มาขู่เข็ญให้นางเชื่อฟัง
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องนี้นางก็รู้แล้วว่าแม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไม่เอ่ยปาก ทว่าในใจต้องชิงชังสนมเอกถึงเพียงใด!
ต้องรู้เสียก่อนว่านิสัยใจคอของท่านผู้นี้เหมือนกับจี้ชวี่ปิ้งอาจารย์ของนางไม่ผิดเพี้ยน จี้ชวี่ปิ้งถูกตระกูลเว่ยบีบเค้นอยู่นานปี จึงมีท่าทีร้ายกาจกับพวกเว่ยฉางอิ๋งเสียอย่างยิ่ง …นั่นก็เพราะครั้งเขาบ้านแตกก่อนนี้ ตระกูลเว่ยเคยช่วยรักษาชีวิตเขาเอาไว้ แล้วภายหลังการที่เขามีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วเขตทะเลก็เป็นผลงานของตระกูลเว่ย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากไม่มีตระกูลเว่ยก็จะไม่มีเขาในวันนี้ จึงมีทั้งบุญคุณและความแค้นปนเป ในเรื่องใหญ่ๆ แล้ว ชวี่ปิ้งก็มิได้ทำให้เสียการ ทว่าในเรื่องเล็กๆ เขาก็คอยหาทางทำให้คนตระกูลเว่ยต้องลำบากใจ
แล้วสนมเอกเติ้งมีบุญคุณใดกับจี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์กัน?! หากนับกันจากฟากของจี้ชวี่ปิ้งแล้วก็นางก็ยังเป็นศัตรูของสกุลจี้เสียด้วยซ้ำ!
สำหรับคนที่หลงใหลหมกมุ่นกับศาสตร์การแพทย์ เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยวแล้ว นางไม่มีทางลงมือไม่ได้ หากให้นางมีโอกาส เกรงว่าเพียงสนมเอกเติ้งส่งสัญญาณว่านางประสงค์สิ่งใด ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็สามารถใช้ยาพิษทำให้นางกลายเป็นสนมที่หมดลมหายใจไปได้แล้ว!
ผู้คนล้วนรู้ว่าชั่วชีวิตนี้สนมเอกเติ้งให้ความสำคัญกับองค์ชายหกพระโอรสพระองค์เดียวของนางเป็นที่สุด หลังจากองค์ชายหกสิ้นประชนม์ นางก็เห็นว่าเติ้งจงฉีหลานชายที่มีหน้าตาละม้ายองค์ชายเป็นตัวแทนของเขา ทั้งรักใคร่และสนับสนุนทุกวิถีทาง บ่มเพาะกล่อมเกลาประหนึ่งทายาทของตนเช่นนั้น เกรงว่าก่อนตวนมู่ซินเหมี่ยวจะออกเดินทาง นางก็คงวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าเมื่อมาถึงซีเหลียงก็จะลงมือกับเติ้งจงฉีเพื่อแก้แค้นสนมเอกเติ้ง
ก่อนหน้านี้ ยามอยู่ระหว่างทางตอนที่นางยังตื่นอยู่ก็เห็นว่าคบหากับเติ้งวานวานอย่างสนิทสนมดี …เว่ยฉางอิ๋งก็ยังนึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวคิดแค้นเพียงสนมเอกเติ้งคนเดียว ยังคงปฏิบัติกับหลานชายและหลานสาวของนางแตกต่างออกไป เมื่อมาได้ยินข่าวเอายามนี้จึงเพิ่งรู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับเล็งเห็นถึงฐานะของเติ้งวานวานที่อยู่ใกล้ชิดกับสนมเอก จึงต้องการอาศัยนางเพื่อตรงไปลงมือกับเติ้งจงฉีเสียเลย!
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งมีเหงื่ออาบเต็มแผ่นหลังไปหมด แอบด่าตนเองว่านับแต่มาถึงซีเหลียงก็เอาแต่จัดการเรื่องต่างๆ ในคฤหาสน์ดั้งเดิม ข่มอำนาจของผู้อาวุโส และช่วย เสิ่นจั้งเฟิงบ่มเพาะคนที่ไว้ใจได้ …และระหว่างนั้นยังต้องคอยสังเกตดูว่าอาการบาดเจ็บของ เสิ่นจั้งเฟิงว่าทุเลาลงไปเช่นใดบ้าง จึงหลงลืมเรื่องบุญคุณความแค้นที่พกพากันมาจากเมืองหลวงไปเสียสนิท! หากเติ้งจงฉีมาตายในหมิงเพ่ยถัง แม้ว่าคนที่ลงมือจะคือตวนมู่ซินเหมี่ยว ทว่าตระกูลเสิ่นก็จะไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ได้เต็มปากเต็มคำน่ะสิ!
ยิ่งไม่ต้องบอกว่าคนผู้นี้เคยช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งมาก่อน เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่หวังให้เขาต้องมาตายเช่นนี้ …ดีที่จูสือบอกว่า “พอคุณชายเติ้งกระอักเลือดออกมาหลายคำ ยามนี้เขาไม่เหลือเรียวแรงเลย ล้มฟุบอยู่บนโต๊ะเจ้าค่ะ คุณหนูตวนมู่แปดบอกว่าเขาจะยังไม่ตายชั่วขณะ แต่หากไม่ได้ยาถอนพิษของคุณหนูตวนมู่แปด ภายในสามวันคุณชายเติ้งจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย! คุณหนูเติ้งได้ฟังก็หมดสติลงไปทันทีเจ้าค่ะ!”
เติ้งวานวานไร้บิดามารดามาแต่เล็ก โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นพี่ชายของนางเลี้ยงดูมาจนโต แต่ยามนี้กลับเป็นนางเสียเองที่พาพี่ชายมาหาตวนมู่ซินเหมี่ยวและช่วย ตวนมู่ซินเหมี่ยวกล่อมให้เติ้งจงฉีดื่มยาถ้วยนั้น …ปรากฏว่านางกลับเป็นคนส่งพี่ชายไปตาย คุณหนูเติ้งที่นางสงสารผู้นี้จะทนรับความกระทบกระเทือนใจเช่นนี้ได้ก็แปลกแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเติ้งจงฉียังมีชีวิตอยู่ เว่ยฉางอิ๋งจึงโล่งอก พลันสั่งนางหวงให้ดูแลเรื่องเหล่านี้แทนตน แล้วเลือกสาวใช้สองคนเร่งตามจูสือไปที่ที่เรือนพักของตวนมู่ซินเหมี่ยว
เพื่อแสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญต่อตวนมู่ซินเหมี่ยว เรือนที่ให้นางพักอยู่ใน หมิงเพ่ยถังจึงนับว่าเป็นเรือนที่หรูหราอย่างมาก เพียงแต่เวลานี้มีพายุหิมะพัดหนัก ต้องเข้ามาภายให้ตัวอาคารจึงจะมองเห็นถึงความหรูหรานี้
ภายในห้องในยามนี้กลับมิได้ชุลมุนวุ่นวายเช่นที่จูสือว่าแล้ว
เติ้งวานวานถูกหามไปนอนที่ตั่งยาวใต้หน้าต่างทางทิศตะวันตก และบนตัวมีผ้าห่มนวมผืนหนึ่งห่มอยู่ สาวใช้ของนางก็ยืนประสานมืออยู่ข้างตั่งด้วยหน้าตาไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี
ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่ได้พาสาวใช้มาด้วย ก่อนหน้านี้หลังจากหร่วนอี้ถูกส่งตัวมาปรนนิบัตินางได้สองวันก็ถูกพวกผู้อาวุโสเห็นชอบให้คุมตัวนางออกไปตีจนตายแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงดึงตัวจูหลานและจูสือที่เคยดูแลนางระหว่างทางไปให้นาง เมื่อครูนี้จูสือวิ่งออกไปรายงาน ส่วนจูหลานยังคงอยู่ที่นี่ ยามนี้ยืนอยู่ข้างหลังตวนมู่ซินเหมี่ยว ในมือกำลังโบกผ้าไปมา ดูสีหน้าหน้ากลับมิได้ตื่นเต้น ท่าทีสงบนิ่งและกลับคล้ายว่านางมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นเสียด้วยซ้ำ
เมื่อครู่นี้จูสือบอกว่าเติ้งจงฉีที่กระอักเลือดไปหลายคำ ตอนนี้เขานั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ คงเพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่อยากวางยาพิษให้เขาตายไปในทันใด ยามนี้เขาจึงประคองตัวอยู่กับโต๊ะและนั่งได้อย่างมั่นคงแล้ว เพียงแต่ใบหน้าซีดขาวนัก คิ้วขมวดแน่น คล้ายว่ากำลังพักและอดทนต่อความเจ็บปวดอยู่
ที่ใกล้เท้าเขามองเห็นรอยเปียกที่เพิ่งจะเก็บกวาดไปได้ชัดเจน …เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเข้าประตูไปก็ได้พบกับตวนมู่ซินเหมี่ยวที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักด้วยสีหน้าเย็นชา ค่อยๆ ละเลียดดื่มน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งอยู่ นางเอ่ยทั้งที่ไม่ได้ขยับเปลือกตาขึ้นมาว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับตระกูลเติ้ง พี่เว่ยท่านอย่ามายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเป็นดีที่สุด”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าเจ้ามาล้างแค้นกันอยู่ในคฤหาสน์ดั้งเดิมของตระกูลเสิ่น จนเกือบวางยาบุตรชายบ้านใหญ่ตระกูลเติ้งจนตาย ยังมาบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า? ไม่คิดว่าเติ้งจงฉีกลับเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งด้วยลมหายใจรวยรินว่า “นี่เป็นความบาดหมางระหว่างตระกูลของข้ากับคุณหนูตวนมู่แปด ฮูหยินเว่ยโปรดอย่าได้เดือดร้อนใจด้วยเลยขอรับ”
…เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ทั้งสองท่านล้วนเห็นว่าไม่ต้องการให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว เดิมทีข้าก็ควรจะรู้กาลเทศะแล้วหันหลังจากไป ทว่าทั้งสองท่านล้วนเป็นแขกของบ้านข้า ยามนี้เกิดความขัดแย้งระหว่างแขกทั้งสองท่าน ย่อมไม่มีเหตุผลให้คนเป็นเจ้าบ้านเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อนิ่งดูอยู่เฉยๆ ได้ แม้ทั้งสองท่านจะคิดว่าข้าไม่มีสิทธิ์มาช่วยทั้งสองท่านไกล่เกลี่ยก็ตามที ทว่าข้าอยากจะถามถึงความเป็นมาสักหน่อยก็คงจะได้กระมัง?”
พวกเจ้าอย่าได้ลืมไปว่านี่เป็นเขตอิทธิพลของผู้ใดเสียเล่า! ยังจะไล่เจ้าของบ้านเช่นข้าไปอีกรึ!
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างอึมครึมว่า “ความเป็นมานั้นง่ายดายยิ่งนัก! ตลอดทางข้ากล่อมให้เติ้งวานวานเชื่อใจข้า สองวันก่อนข้าว่างลงแล้วจึงบอกกับนางว่าครั้งอยู่ที่หน้าประตูเมือง ได้ยินเสียงของเติ้งจงฉีคล้ายว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ เจ้าเด็กซื่อบื้อวานวานก็เห็นเป็นจริงเป็นจัง เห็นหรือไม่ จึงพยายามแทบเป็นแทบตายลากคนมาให้ข้า ข้าเตรียมยาชุดหนึ่งเอาไว้นานแล้ว และเคี่ยวออกมาให้เติ้งจงฉีดื่มเสีย …จูสือมิใช่ไปรายงานกับท่านแล้วหรอกรึ?”
เติ้งจงฉีเอามือทาบอก ใบหน้าซีดขาวมีสีแดงฉาบขึ้นมาหลายครั้งอย่างผิดปกติ เนิ่นนานจากนั้นจึงบอกว่า “คุณหนูตวนมู่แปดวางยาข้า ข้าก็พอจะคาดเดาสาเหตุได้ เรื่องนี้จะผิดหรือถูก ข้าเป็นคนรุ่นหลังไม่อาจเอ่ยคำใดได้ และไม่กล้ากล่าวโทษ คุณหนูตวนมู่แปด เพียงแต่คุณหนุตวนมู่แปดมิได้ต้องการทำร้ายน้องสาวของข้า ทว่ากลับหลอกใช้นาง เรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกดูแคลนยิ่งนัก”
“เจ้าจะดูแคลนไม่ดูแคลน แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างใจเย็น “ก่อนนี้บุตรชายของท่านอาหญิงของเจ้าตายไป ก็ไม่มีความอดทนจะตามหาคนที่บงการจริงๆ แล้วกลับมาทำร้ายอาจารย์ข้าทั้งครอบครัว! ที่น่าอนาถก็คือนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่กลับยังตามล้างตามผลาญทั้งครอบครัวของอาจารย์ข้า …จนที่สุดแม้คนร้ายที่แท้จริงจะตายไปแล้ว ทว่าคนผู้นั้นกลับมิได้ถูกตราหน้าว่ามีความผิดฐานวางแผนทำร้ายบุตรชายของนางแม้แต่น้อย! ยามนี้ยังกล้าหันมาคิดจัดการถึงตัวข้า! เอาพี่หญิงใหญ่และหลานชายข้ามาข่มขู่ข้า?! ท่านอาเจ้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้ แล้วข้าจะหลอกใช้น้องสาวเจ้าบ้าง เจ้ายังมีหน้ามาดูแคลนข้า? หากเจ้าเป็นสุภาพบุรุษที่จริงแท้ ก็ควรไปจัดการนังตัวร้ายในตำหนักหมิงกวงตั้งนานแล้ว เพื่อชำระล้างตระกูลเติ้งให้สะอาดเสีย!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบช่วยพูดไกล่เกลี่ยว่า “สนมเอกใช้พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องมาข่มขู่น้องซินเหมี่ยวก็นับว่าไม่สมควรจริงดังว่า เพียงแต่ตามความเห็นของข้าแล้ว สนมเอกนางก็เพียงพูดไปลอยๆ เท่านั้น แม้พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องจะเป็นคนลูกหลานของสนมเอก แต่ก็มิใช่ว่าเป็นสนมเอกเอ่ยปากเพียงผู้เดียวแล้วจะจัดการได้ไม่”
คำพูดนี้หาใช่เพราะต้องการปลอบประโลมตวนมู่ซินเหมี่ยวเสียทั้งหมด แม้ไม่ใคร่แน่ใจว่าที่แท้แล้วการต่อสู้ระหว่างอดีตฮองเฮาเฉียน สนมเอกเติ้งและฮองเฮากู้เป็นเช่นใด แต่เมื่อฮองเฮาเฉียนถูกปลดก็ส่งผลโดยตรงให้องค์ชายสี่พระโอรสแท้ๆ ของนางต้องถูกปลดจากตำแหน่งในตำหนักตะวันออกและกลายมาเป็นสามัญชน
หลังจากองค์ชายสี่ตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์แล้ว ฮ่องเต้จึงพระราชทานพระยศให้เขาเป็นไช่อ๋อง ทั้งยังทรงอนุญาตให้พระโอรสของเขารับสืบทอดพระยศนี้และให้อยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้
เห็นได้ว่าไม่ว่าองค์ชายสี่จะต้องพลอยรับเคราะห์เพราะพระมารดามากน้อยเพียงใด แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงมีความผูกพันฉันพ่อลูกกับพระราชโอรสพระองค์นี้ หาไม่แล้วก็จะไม่พระราชทานพระบรรดาศักดิ์ให้และยิ่งไม่ทรงอนุญาตให้พระโอรสสืบทอดบรรดาศักดิ์ของเขาด้วย ส่วนการที่ทรงให้ไช่อ๋องแม่ลูกอยู่ในเมืองหลวงก็มิใช่เพราะไม่วางพระทัยไช่อ๋อง …เวลานี้ไช่อ๋องเองก็ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ หากท่านอ๋องที่มีพระชันษาน้อยเพียงนี้ต้องไปอยู่ที่แคว้นศักดินา ต่อให้ต้องการจะกลั่นแกล้งเขาเพียงใด แล้วจะทำได้สักเท่าใดกัน?
สาเหตุส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพราะสายหลักของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วอยู่ที่เมืองหลวง พระมารดาไช่อ๋องเป็นบุตรสาวในสายหลักของตระกูลตวนมู่ จึงหวังให้พวกนางแม่ลูกทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลวง ตระกูลตวนมู่จึงจะสามารถดูแลพวกนางได้ไม่มากก็น้อย
ในเมื่อฮ่องเต้ยังทรงพิจารณาถึงพระชายาและพระโอรสเพียงคนเดียวขององค์ชายสี่ถึงเพียงนี้ แล้วลำพังสนมเอกเติ้งผู้เดียวจะชี้เป็นชี้ตายพวกนางได้ที่ใด? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าสนมเอกยังมีฮองเฮากู้คู่อริผู้นี้คอยจับตาดูนางอยู่ด้วย!
ฉะนั้น คำกล่าวที่ว่าสนมเอกเติ้งใช้ไช่อ๋องแม่ลูกมาขู่บังคับตวนมู่ซินเหมี่ยวนี้ นอกเสียจากว่านางจะออกปากแทนองค์ฮ่องเต้ หาไม่แล้วก็เป็นเพียงคำพูดที่ไร้แก่นสารเท่านั้น
ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนสตินาง อีกทางหนึ่งก็ไตร่ตรองดูว่า หรือว่าคำพูดนี้จะเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้จริงๆ ส่วนสนมเอกก็เพียงออกปากแทนฮ่องเต้เท่านั้น?
_____________________