ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 80 ไล่ฉินเหนียง
เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่านักโทษหนีคดีที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้าเกลือเถื่อนและเป็นหัวหน้ากองโจรในเขาเหมิงซานในเวลาเดียวกันบอกว่าคนอีกคนไม่ใช่คนดี ฟังเผินๆ แล้วค่อนข้างรู้สึกว่าไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่เคยสัมผัสโม่ปินอวี่ด้วยตนเองมาก่อน แต่นับแต่ปีนั้นที่เขาเขายืนกรานจะว่าต้องช่วยเขาล้างมลทินให้จงได้แล้ว ก็เห็นชัดว่าคนผู้นี้เป็นคนแข็งกร้าวอย่างมากทีเดียว
ว่ากันตามหลักแล้วคนที่แข็งกร้าวซ้ำยังถูกให้ร้าย แม้จะถูกเว่ยซินหย่งหลอกจนไปสังหารองครักษ์ของตระกูลเว่ยที่คอยเฝ้าเขาอยู่แล้วหนีไป แต่ก็มิใช่ว่าจะกลายมาอยู่ในกองโจรได้โดยง่าย นั่นเพราะหากวันใดกลายมาเป็นกองโจรแล้ว เมื่อต้องการจะทำให้ตนเองบริสุทธิ์อีกครั้งก็จะกลายเป็นเรื่องยากที่ยากขึ้นไปอีก
มู่ชุนเหมียนบอกว่าแม้คนผู้นี้จะเดินทางจากเขาเหมิงซานใต้ขึ้นมาจนถึงเขาเหมิงซานเหนือ และยังไม่ได้สร้างชื่อเสียงใดๆ แม้แต่ฉายาว่ากองทหารสกุลโม่ก็ยังเป็นผู้อื่นตั้งให้ยามนี้เป็นกองโจร ตามกฎของยุทธภพแล้ว ชื่อเสียงต้องสร้างออกมาก่อน นอกจากนี้ฉายาที่คนในยุทธภพจะมอบให้นั้นแต่ไรมาล้วนเป็นชื่อที่เกินจริงทั้งนั้น และโม่ปินอวี่ก็เคยทำให้เขาพ่ายแพ้มามาหลายครั้งแล้ว เดิมทีก็ควรจะตั้งฉายาในทำนองโหดเหี้ยมให้แก่โม่ปินอวี่ แต่ยามนี้กลับตั้งฉายาที่คล้ายเป็นพวกทหารรับจ้างว่ากองทหารสกุลโม่เสียอีก เว่ยฉางอิ๋งเดาว่านี่มิใช่เพียงเพราะว่าโม่ปินอวี่ควบคุมคนของเขาอย่างเข้มงวดเท่านั้น แต่เกรงว่าหลังจากโม่ปินอวี่เอาชะนพวกเขาแล้วก็ไม่ได้มาปล้นสะดมอันใด
เมื่อครู่นี้มู่ชุนเหมียนมิใช่บอกแล้วหรือว่าโม่ปินอวี่เอาชนะไล่ต้าหย่งมาหลายครั้ง แต่กลับปล่อยเขามาทุกครั้ง คงเป็นเพราะน้ำใจที่กว้างขวางเช่นนี้ จึงถูกเรียกว่ากองทหารสกุลโม่ แต่มิใช่กองโจรสกุลโม่ทำนองนั้น… ดูท่าว่าปัญหาก็ยังคงอยู่ที่ตัวของเว่ยซินหย่ง บางทีเว่ยซินหย่งอาจคิดว่าให้โม่ปินอวี่ใช้วิธีนี้ค่อยๆ ยึดเอากองกำลังของเขามาโดยไม่ให้สุ่มให้เสียงก็เป็นได้?
หากเป็นดังนี้ เห็นชัดว่าแผนการของเว่ยซินหย่งก็มิใช่เล็กๆ เลย…
เว่ยฉางอิ๋งกลับยังไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้เว่ยซินหย่งก็เดาเอาไว้เหมือนกันว่าบ้านเมืองกำลังจะเกิดความวุ่นวาย
นางไตร่ตรองในใจไปมา กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ท่านหัวหน้าป้อมมู่บอกว่าเหตุที่พี่ชายของท่านมาสวามิภักดิ์กับท่านพี่ของข้า ก็เป็นเพราะถูกโม่ปินอวี่บีบบังคับ? นี่กลับเป็นเรื่องใดกัน?”
“นี่ก็เพราะ…” มู่ชุนเหมียนยังไม่ทันพูดจบ ไล่ต้าหย่งที่อยู่ข้างๆ ก็พูดต่อไปเสียงดังว่า “ข้าน้อยก็จะไม่ปิดบังฮูหยินน้อยแล้ว เหตุที่เสนอให้น้องสาวของข้าน้อยให้เป็นอนุของคุณชายเสิ่นสามนั้นหาใช่ว่าเพราะไม่เคารพฮูหยินน้อยแต่อย่างใด! ความจริงก็คือน้องสาวของข้าน้อยถูกโม่ปินอวี่จับตัวไป ข้าน้อยอยากจะขอร้องให้คุณชายเสิ่นสามไปช่วยน้องสาวของข้ากลับมา! เพียงแต่ข้าน้อยและคุณชายเสิ่นสามแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน นอกจากยกน้องสาวของข้าน้อยให้เป็นอนุของคุณชายสามแล้ว ก็คิดวิธีอื่นไม่ออกจริงๆ ว่าจะขอให้คุณชายเสิ่นสามออกแรงช่วยน้องสาวของข้าน้อยอย่างไร!”
เว่ยฉางอิ๋งเกือบจะลุกขึ้นมายืนแล้วถีบฉากกันลมให้ล้ม และเข้าไปทุบไล่ต้าหย่งสักสองสามหน แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าหาวิธีเชิญสามีข้าไปช่วยน้องสาวเจ้าไม่ได้ ก็จะให้สามีข้าได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์หุนหันพลันแล่นเพราะหญิงงามหรือไร?!
…กองโจรเขาเหมิงซานอยู่ในกว้านโจว ยามนี้ตระกูลเสิ่นกำลังเรืองอำนาจ อีกห้าตระกูลสูงศักดิ์ ฮ่องเต้และตระกูลใหญ่ทั่วหล้าล้วนกำลังจับตามองยิ่งนัก หากนำกำลังบุกไปที่กว้านโจวก็จะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแน่ หากมีเหตุผลสักข้อก็จะสามารถลดความขัดแย้งลงไปได้จริงๆ แต่ปัญหาก็คือเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นภรรยาเอก เพียงคิดว่าสามีต้องนำกำลังทหารไปบุกกว้านโจวเพื่อสตรีอีกผู้หนึ่งที่ไม่แม้จะเคยพบมาก่อน …นางก็แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว!
ปีนั้นการหมั้นหมายระหว่างเว่ยและเสิ่นสองตระกูลเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เสิ่นจั้งเฟิงก็ยังเพียงแค่พาองครักษ์ไม่กี่คนไปที่เฟิงโจวเท่านั้น รู้หรือไม่?!
ต่อให้มีเพียงแค่ข้ออ้างข้อเดียว นางก็ไม่อาจรับได้โดยเด็ดขาด!
ข้างหลังฉากกันลมพลันนิ่งเงียบลงทันใด สาวใช้ทั้งข้างบนและข้างล่างโถงล้วนสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของนายผู้หญิงของตน จึงพากันเงียบดังจักจั่นในฤดูหนาว!
บรรยากาศเช่นนี้ทำเอามู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งเองก็ต้องเงียบเสียงไปอย่างรู้ความ ดังนี้เองทุกสิ่งจึงเงียบงันลงไปอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เนิ่นนาน เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงหนักๆ ไปหนหนึ่ง แล้วเอ่ยถามไปอย่างสงสัยว่า “หัวหน้าป้อมมู่ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านก็มิใช่ว่ายังอยู่ดีอยู่ที่นี่หรอกหรือ? จะถูกโม่ปินอวี่จับไปได้อย่างไร?!”
ไล่ต้าหย่งยิ้มสู้ “เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยหมายถึงน้องสาวแท้ๆ ของข้าน้อย ซึ่งมีชื่อว่าฉินเหนียงขอรับ!
มู่ชุนเหมียนก็บอกว่า “ฉินเหนียงเป็นน้องสาวร่วมท้องของพี่ชายข้าน้อย จะว่าไปข้าน้อยก็ดูนางเติบโต ปีนี้นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปี เดิมทีพี่ชายข้าก็กำลังเตรียมเลือกสามีที่ดีเอาไว้ให้นางแล้ว แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันตัดสินใจ โม่ปินอวี่ก็กลับมาถึงเสียก่อน พี่ชายข้าพ่ายแพ้แก่เขาหลายคราก็ยังแล้วไป ครั้งหนึ่งในนั้นพี่ชายข้าก็ได้รับบาดเจ็บมาบ้าง เมื่อฉินเหนียงได้ยินข่าวก็โมโหยกใหญ่ จึงเอากระบี่ไปตามแก้แค้นกับโม่ปินอวี่ ไม่คิดว่า…ไปครานี้ก็ไม่ได้กลับมาเลย!”
“เช่นนั้นแล้ว เวลานี้ฉินเหนียงก็อยู่ในค่ายของโม่ปินอวี่?” เว่ยฉางอิ๋งก็เพิ่งจะมาเข้าใจว่าน้องสาวที่ไล่ต้าหย่งบอกว่าจะยกให้เป็นอนุของเสิ่นจั้งเฟิงมิใช่มู่ชุนเหมียน …คิดไปก็จริงดังว่า ยามนี้เหล่าคนมีตระกูลและชาวบ้านทั่วไปแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน อย่าว่าแต่เสิ่นจั้งเฟิงเลยต่อให้เป็นบุตรหลานในสายห่างๆ ของตระกูลเลื่องชื่อเอง หากจะรับอนุอย่างเป็นทางการ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนจากบ้านคนมีตระกูลที่ตกยาก
มู่ชุนเหมียนเป็นหัวหน้าป้อมตระกูลเฉาซึ่งเป็นที่พำนักของผู้อพยพ ฐานะเช่นนี้ไม่เพียงพอที่จะเป็นอนุบ้านคนมีตระกูล ทั้งยังเป็นม่ายและยิ่งมีบุตรสาวแล้วอีกหนึ่งคน …อย่าว่าแต่กองโจรเขาเหมิงซานเป็นกองโจรอันดับหนึ่งแห่งเขาเหมิงซานเลย ต่อให้เป็นกองโจรอันดับหนึ่งในต้าเว่ย ตระกูลเสิ่นก็ไม่อาจมาเสียหน้าดังนี้ได้
กลับเป็นไล่ฉินเหนียงเสียอีกที่แม้จะเกิดในป่าในดงมิใช่สตรีในบ้านคนมี ตระกูล ทว่าดีชั่วก็เป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน
แต่ว่า…
เว่ยฉางอิ๋งขยับตาขึ้นมาแล้วจับจ้องรูปร่างหน้าตาที่กำยำสูงใหญ่ของไล่ต้าหย่งอย่างละเอียดผ่านช่องว่างของฉากกันลมคราวหนึ่ง แล้วต้องถอนหายใจในใจว่าชาวป่าชาวดงช่างไม่รู้ความจริงๆ ว่ากันว่ารับอนุก็คือรับหญิงงาม พี่ชายที่มีรูปร่างหน้าตาดังนี้ เขาแน่ใจจริงๆ หรือว่าน้องสาวของเขาจะมาเป็นอนุของคนที่มีฐานสูงส่ง มิใช่…เอ่อ มาเป็นองครักษ์หญิงในเรือนหลัง?
สองพี่น้องบุญธรรมข้างนอกฉากกันลมไม่รู้ความคิดของนาง ยังคงบอกออกไป “ใช่แล้ว!”
มู่ชุนเหมียนเอ่ยแทนพี่ชายบุญธรรมของตนว่า “โม่ปินอวี่ผู้นั้นยอมรับกับปากว่า ฉินเหนียงลอบเขาไปในค่ายของเขาและถูกเขาจับเอาไว้ เพียงแต่พี่ชายข้าน้อยยื่นของเสนอไปหลายครั้งแล้วว่าจะซื้อฉินเหนียงกลับมา แต่กลับถูกเขาปฏิเสธท่าเดียว แต่เขากลับยื่นข้อเสนอว่าให้พี่ชายข้าน้อยเข้าไปเจรจาให้ละเอียดภายในค่ายของเขาแทน ฮูหยินน้อยโปรดคิดดูว่านี่จะใช้ได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาไม่เข้ามาเจรจาในกองโจรเขาเหมิงซานเล่า?”
“ฮูหยินน้อยกล่าวได้ถูกต้องเป็นที่สุด!” ไล่ต้าหย่งเอ่ยอย่างมีโทสะ “ที่น่ากลัวที่สุดก็คือโม่ปินอวี่ผู้นั้นไม่กล้าเข้ามาเจรจาในกองโจรเขาเหมิงซานก็ยังแล้วไป แต่ทุกครั้งเขาล้วนตอบตกลง แต่กลับแอบสั่งให้ลูกน้องคอยขัดขวางเอาไว้อย่างเต็มเอาเป็นเอาตาย! นี่กลับสกปรกโสมมยิ่งกว่าไม่กล้าพูดมาตามตรงเสียอีก! มันน่าชังน่าแค้นเสียจริงๆ! ยามนี้คิดขึ้นมาลูกพี่ก็ควันพุ่งเต็มหัว แทบทนไม่ไหวจะทุบให้มันตายๆ ไปเสียยามนี้เชียว!”
มู่ชุนเหมียนรีบตำหนิเขา “ฮูหยินน้อยอยู่ตรงหน้า พี่ใหญ่อย่าเสียมารยาท!”
ไล่ต้าหย่งกำลังจะขอขมา เว่ยฉางอิ๋งอาศัยความเข้าใจที่ตนมีต่อเว่ยซินหย่งก็กลับพอจะเดาเรื่องนี้ได้คร่าวๆ แล้ว นางยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งเอ่ยไปว่า “เช่นนั้น ที่ท่านหัวหน้าป้อมมู่บอกไปเมื่อครู่นี้ว่า หลังจากกองโจรเขาเหมิงซานพ่ายแพ้ให้แก่โม่ปินอวี่หลายครั้ง แล้วเขาก็ยังปราณีอ่อนข้อให้ กลับไม่รู้ว่าเขาเพียงปราณีต่อกองโจรเขาเหมิงซานเท่านั้น หรือว่าก่อนนี้พวกกองโจรอื่นๆ ที่พ่ายแพ้ต่อโม่ปินอวี่ก็ล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ด้วย?”
มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งล้วนตกตะลึง พักหนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่ใคร่แน่ใจว่า “เรื่องนี้…กองโจรสองสามกองที่อยู่เหนือขึ้นไปจากกองโจรเขาเหมิงซานคล้ายว่าล้วนถูกเขากวาดไปจนเรียบแล้ว? ส่วนเรื่องที่ว่าเขาให้ความปราณีนั้น… กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว” พวกเขาสองคนยังคิดไม่ทัน แต่สตรีสูงศักดิ์ที่อยู่แต่เรือนหลังของคฤหาสน์เช่นเว่ยฉางอิ๋งกลับเข้าใจหลักการนี้ดียิ่ง นางจึงหัวเราะเบาๆ ออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเดาว่านับแต่แม่นางไล่เข้าไปในค่ายของโม่ปินอวี่และถูกจับตัวไปนั้น แม้โม่ปินอวี่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่จะต้องไม่เคยให้พวกเจ้าได้พบนางอีกถูกต้องหรือไม่?”
“ไม่ผิด!” มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งฟังออกว่าคล้ายนางจะมีความหมายอื่นอีก และพากันตื่นตกใจจนหน้าเสีย “ฮูหยินน้อยหมายถึง… หรือว่าฉินเหนียง …จะตกอยู่ในเงื้อมมือชั่วของไอ้เลวโม่นั่นแล้ว?!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปสักพักจึงบอกว่า “ตามที่ข้ารู้มาโม่ปินอวี่ยังหนุ่มแน่นนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิดด้วย!”
มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งรีบหันไปมองที่ฉากกันลม
เว่ยฉางอิ๋งทำได้แต่ต้องพูดให้ชัดเจนขึ้นอีกสักหน่อย “ก่อนจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น มิใช่ว่าท่านหัวหน้าไล่กำลังเลือกสามีให้แก่แม่นางไล่อยู่หรือ? เดิมทีโม่ปินอวี่เป็นราษฎรในเมืองเฟิ่งโจวซึ่งเป็นบ้านฝั่งแม่ของข้า อย่างน้อยเขาพอจะรู้หนังสืออยู่บ้าง ได้ยินว่ารูปร่างหน้าตาของเขาก็สง่าเรียบร้อยนัก …อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับแม่นางไล่ด้วย…”
ความจริงแล้วนางไม่เคยได้ยินเว่ยฉางเฟิงและคนอื่นๆ เอ่ยถึงหน้าตาของโม่ปินอวี่มาก่อน เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจท่านย่าและน้องชายของตนเองเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้เอ่ยถึงหน้าตาของโม่ปินอวี่มากมายนัก ซึ่งนี่ก็แสดงว่าอย่างน้อยๆ หน้าตาของโม่ปินอวี่จะต้องอยู่ในรับกลางขึ้นไปเมื่อเทียบกับคนทั่วๆ ไป หาไม่แล้วยามแม่เฒ่าซ่งและเว่ยฉางเฟิงเอ่ยถึงเขาก็คงจะต้องพูดอย่างเสียดายสักคำว่า “เป็นคนมีความสามารถ เพียงแต่ขาดเหลือเรื่องหน้าตาไปสักหน่อย”
กลับกัน หากโม่ปินอวี่เหมือนกับเว่ยซินหย่ง ที่ลำพังแค่หน้าตาและราศีก็ทำให้มีคนคิดจะทาบทามเขาออกไปรับราชการแล้ว เช่นนั้น แม่เฒ่าซ่งและเว่ยฉางเฟิงก็จะต้องบอกสักคำว่า “ราศีงดงามเหนือธรรมดา หากมิใช่ชาวบ้านทั่วไป อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัดเป็นแน่”
เว่ยฉางอิ๋งจำได้ว่าครั้งตนเองอยู่ในบ้านมารดานั้น ท่านย่าและน้องชายล้วนไม่เคยเอ่ยถึงหน้าตาและราศีของโม่ปินอวี่เลย จึงเห็นได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีหน้าตาโดดเด่นจนถึงขั้นต้องเอ่ยถึง แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่จนพวกเขาต้องรู้สึกเสียดาย ตามความเข้าใจที่นางมีต่อแม่เฒ่าซ่งและเว่ยฉางเฟิงแล้ว ท่านย่าและน้องชายล้วนเอ่ยถึงสง่าราศีและหน้าตาของคนไปพร้อมๆ กับความสามารถและฐานะของคนผู้นั้น ด้วยผลงานในชัยชนะครั้งใหญ่ในเฟิ่งโจวของโม่ปินอวี่ สง่าราศีและหน้าตาของเขาก็จะต้องไม่น้อยหน้าคนทั่วๆ จึงไม่ได้ถูกเอ่ยถึงว่าเป็น ‘ผู้มีความสามารถเหนือคน ทว่ารูปลักษณ์ย่ำแย่กว่าที่คิด’
ดังนี้แล้วจึงเห็นได้ว่าแม้จะบอกไม่ได้ว่าโม่ปินอวี่เป็นคนรูปงาม แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นหัวหน้ากองกำลัง… ซึ่งไม่ว่ากองกำลังนี้จะมาจากใด สรุปก็คือ เมื่อเขานำกองกำลังจากเขาเหมิงซานใต้ขึ้นมาจึงถึงเขาเหมิงซานเหนือ ต้องข้ามแดนมาหลายเมือง …ลำพังแค่ความเก่งกาจนี้ก็เพียงพอจะช่วงชิงหัวใจของเด็กสาววัยแรกรุ่นที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในเหย้าในเรือนจำนวนมากมายได้แล้ว…
ชายหนุ่มที่ผ่านการขัดเกลาจากประสบการณ์นานาเช่นนี้ แต่ไรมาล้วนสามารถดึงดูดใจของสาวน้อย!
แม้ว่าไล่ฉินเหนียงจะมิใช่คุณหนูบอบบางในตระกูลชั้นสูง ทว่านางก็เติบโตมาในกองโจร แม้ว่าไล่ต้าหย่งจะสมคบร่วมมือกับทางการ ทว่าแม้น้องสาวผู้นี้จะเป็นหัวหน้ารองของกองโจร …แต่คิดว่าก็คงแต่จะต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในเขากับพวกกองโจร และไม่มีโอกาสได้พบเจอกับชายหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่น
ก็ผู้ใดใช้ให้หัวหน้ากองโจรเขาเหมิงซานก็คือพี่ชายแท้ๆ ของนางเล่า? ส่วนคนอื่นๆ ในกองโจรก็ล้วนหมอบอยู่ภายใต้ไล่ต้าหย่งทั้งสิ้น แล้วผู้ที่มีความสามารถจริงๆ ผู้ใดจะยอมมาเป็นโจรเล่า?
หากไม่มีเรื่องที่โม่ปินอวี่กวาดล้างกองโจรในเขาเหมิงซาน ด้วยฐานะของไล่ฉินเหนียงจึงทำให้นางมีข้อจำกัดที่จะได้พบเจอผู้คน และคงจะทำได้เพียงเลือกหาคนที่พอจะใช้ได้ในกองโจรเขาเหมิงซานแต่งงานเสีย แต่โม่ปินอวี่กลับมาในยามนี้พอดี ..ไล่ฉินเหนียงสงสารพี่ชาย ในขณะที่กำลังโกรธแค้นจึงไม่สนใจว่าเป็นถิ่นของศัตรูและบุกเข้าไปในกองทหารสกุลโม่เพื่อล้างแค้นให้พี่ชาย …ไม่ว่านางจะสามารถบุกเข้าไปตรงหน้าโม่ปินอวี่หรือไม่ แต่การที่โม่ปินอวี่กวาดล้างกองโจรทั้งหมดบนเขาเหมิงซานก็เพื่อกวาดต้อนพวกเขาเข้ามา ย่อมไม่มีทางสังหารน้องสาวของหัวหน้ากองโจรอันดับหนึ่งแห่งเขาเหมิงซาน ทั้งยังเป็นหัวหน้ารองของกองโจรเขาเหมิงซานด้วยอย่างแน่นอน
…ลองพูดอย่างถอยออกมาสักหมื่นก้าวว่า ต่อให้โม่ปินอวี่คิดจะครอบครอง กองโจรเขาเหมิงซาน แต่หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานเช่นไล่ฉินเหนียงก็นับว่าเป็นเป้าหมายที่ควรจะจับตัวไปมิใช่สังหารนี่!
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าหากเป็นนางเองก็จะต้องปฏิบัติกับไล่ฉินเหนียงผู้นี้อย่างอ่อนโยน นั่นเพราะกองโจรเขาเหมิงซานที่ไล่ต้าหย่งเป็นผู้ดูแลก็ล้วนพ่ายแพ้ยับเยินต่อโม่ปินอวี่ คนที่เป็นหัวหน้ากองโจรก็ยังถูกทำร้ายจนบาดเจ็บแล้ว …แม่นางไล่ผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าโง่ หรือว่าโง่ หรือว่าโง่กันแน่? กลับยังถือกระบี่บุกไปหาเขาเพียงลำพัง…
เด็กสาวที่ไร้เดียงสาเพียงนี้ หากไม่กล่อมมาอยู่กับตนก็เสียงของแล้ว!
เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งมองออกว่า ไม่แน่ว่าไล่ฉินเหนียงอาจจะเปลี่ยนจากชังมาเป็นรักโม่ปินอวี่ ด้วยความละอายใจที่จะพบกับพี่ชายและพี่สาว จึงหลบอยู่ในค่ายของโม่ปินอวี่ไม่ยอมออกมา ส่วนโม่ปินอวี่ก็พยายามเชิญไล่ต้าหย่งมาเจรจาในค่ายของตน คงเพราะต้องการจะมาพูดจากันให้รู้ความเป็นการส่วนตัวเพื่อจะได้นับญาติกันเสีย …มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งล้วนประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ …ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปครึ่งค่อนชั่วยาม คล้ายไม่อาจปฏิเสธขึ้นมาทันใด!