ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 9-1 พี่น้องพูดคุยกัน (1)
ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งไปช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้กับตวนมู่ซินเหมี่ยวและเติ้งจงฉี เสิ่นจั้งฮุยก็แอบเข้าไปในห้องที่เสิ่นจั้งเฟิงพักฟื้นอยู่อย่างเงียบๆ หลังจากทักทายสักพักแล้วก็ใช้ข้ออ้างว่ามีเรื่องการทหารจะพูดจึงสั่งให้คนที่ปรนนิบัติอยู่ออกไปเสีย
ด้วยวิชาแพทย์ที่ถ่ายทอดมาจากหมอเทวดาย่อมไม่ผิดกับคำร่ำลือ และด้วยพื้นฐานร่างกายของเสิ่นจั้งเฟิงเองก็ดีมากๆ อยู่แล้ว นี่เพิ่งจะผ่านมาได้ครึ่งเดือนเท่านั้น สีหน้าของเขาก็กลับมาจนแทบเป็นปกติแล้ว ทั้งเรี่ยวแรงก็ฟื้นขึ้นมาดีมากแล้วด้วย
เพียงแต่เพื่อป้องกันไม่ให้บาดแผลฉีกขาด เสิ่นจั้งเฟิงจึงยังคงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนตั่งนอนเป็นส่วนใหญ่ ยามนี้เขานั่งพิงอยู่บนหมอนอิงสองอัน วางหนังสือในมือที่อ่านอยู่ก่อนหน้านี้ลงไว้ข้างหมอน เอ่ยถามลูกผู้น้องอย่างอ่อนโยนว่า “หรือทางพวกตี๋มีการเคลื่อนไหวใดอีก?”
เสิ่นจั้งฮุยหันไปมองที่ประตูหลายครั้งอย่างไม่วางใจ เอ่ยเสียงเบาไปว่า “มิใช่ขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงมองความกังวลของเขาออก จึงบอกว่า “เจ้าวางใจเถิด ยามนี้คนที่ดูแลข้าล้วนเป็นคนสนิทของพี่สะใภ้สามของเจ้า ล้วนเป็นคนที่รู้กฎระเบียบดี ยิ่งไปกว่านั้นห้องนี้ก็หนาเสียยิ่งนัก หากไม่ได้พูดเสียงดัง ต่อให้แนบตัวกับประตูก็ยังฟังไม่ถนัดหรอก”
“พี่ชายสามเชื่อใจพี่สะใภ้สามเพียงนี้เชียวหรือขอรับ?” เสิ่นจั้งฮุยได้ยินคำพลันเอ่ยด้วยสีหน้าค่อนข้างสับสนซับซ้อน “พี่ชายสามรู้เรื่องที่พี่สะใภ้สามทำในระยะนี้หรือไม่ขอรับ?”
เสิ่นจั้งเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “เรื่องใด?”
“ในวันที่พี่สะใภ้มาถึงก็ยัดเยียดข้อหาสมคบกับพวกตี๋ให้แก่ท่านอาและท่านอาสะใภ้ที่เป็นคนดูแลคฤหาสน์ดั้งเดิมอยู่แต่เดิม ทั้งยังไล่พ่อบ้านที่เอ่ยถามด้วยเรื่องนี้เพียงประโยคเดียวออกไปอีกด้วย” เสิ่นจั้งฮุยเอ่ยเสียงเบา “ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านอาและท่านอาสะใภ้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากท่านพ่อท่านแม่จึงได้มาดูแลคฤหาสน์ดั้งเดิม และเมื่อนับไปแล้วก็ยังเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกเราด้วย พี่สะใภ้สามกลับไม่แม้จะสอบถามกับท่านพ่อท่านแม่ก่อนก็เรียกให้องครักษ์ติดตามของนางลงมือเสียแล้ว! พ่อบ้านเสิ่นถิงซู่ที่ถูกไล่ออกไปผู้นั้นเป็นบ่าวที่เกิดในบ้านของพวกเรา ได้รับบำเหน็จให้ใช้แซ่เสิ่นมาตั้งแต่หลายชั่วอายุคนก่อนหน้านี้ ทำงานให้กับตระกูลของเรามากว่าครึ่งชีวิต …พี่สะใภ้สามทำเช่นนี้ทำให้บ่าวมากมายปวดใจนักนะขอรับ”
เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงแสดงท่าทีให้ตนพูดต่อไป เสิ่นจั้งฮุยจึงเอ่ยต่อไปว่า “เรื่องเหล่านี้ก็ยังแล้วไป สองวันก่อนมีท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่งทนดูพี่สะใภ้สามริบอำนาจทั้งหมดไว้กับตนไม่ได้จึงต่อว่านางไปคำหนึ่ง ทั้งมิได้เอ่ยต่อหน้าด้วย ปรากฏว่า พี่สะใภ้สามก็เชิญท่านผู้อาวุโสผู้นั้นและผู้อาวุโสท่านอื่นๆ มาพร้อมกัน แล้วเอ่ยกับผู้อาวุโสท่านนั้นต่อหน้าธารกำนัลจนเขาเสียหน้า หลังจากกลับไปคืนนั้นก็ล้มป่วยเสียแล้ว! พี่สะใภ้สามก็มิได้มีท่าทีจะไปขอขมาด้วยตนเอง เพียงแต่ส่งบ่าวไปมอบสิ่งของเล็กน้อยให้อย่างง่ายๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น พี่ชายสามขอรับ มิใช่ว่าข้าเป็นน้องสามีจะต่อว่าพี่สะใภ้ ข้าเองก็รู้ว่าพี่สะใภ้สามทำเช่นนี้ด้วยต้องการช่วยแบ่งเบาภาระของ พี่ชายสาม เพียงแต่สิ่งที่พี่สะใภ้สามทำนั้น ….มันไม่…ไม่ใคร่ถูกต้อง?”
เสิ่นจั้งฮุยและเสิ่นจั้งเฟิงมีอายุไล่เลี่ยกัน ล้วนเป็นฮูหยินซูเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ทั้งสองคน และด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของเสิ่นโจ้ว ฮูหยินซูจึงดีต่อเสิ่นจั้งฮุยกว่า เสิ่นจั้งเฟิงสักหน่อย แม้ทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทว่าความจริงแล้วก็ไม่ต่างอันใดกับพี่น้องแท้ๆ ทั้งเป็นเพราะอายุไล่เลี่ยกัน เติบโตมาด้วยกัน จึงกลับสนิทสนมกับเสิ่นจั้งเฟิงมากว่าเสิ่นจั้งลี่และเสิ่นเหลี่ยนสือที่อายุมากกว่าเสียอีก
และด้วยเหตุนี้ครั้งเสิ่นจั้งฮุยคิดอยากไปรับราชการต่างเมืองก่อนหน้านี้จึงเลือกมาหารือกับเสิ่นจั้งเฟิง และแม้ว่าจะถูกเสิ่นจั้งเฟิงด่ากลับไปแต่เขากลับไม่ได้คิดแค้นอันใด ฉะนั้น ในเมื่อยามนี้เขามีข้อคิดเห็นจึงได้มาบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงตรงๆ
เสิ่นจั้งเฟิงย่อมเข้าใจอุปนิสัยเช่นนี้ของเขาประหนึ่งนิ้วในฝ่ามือตน เวลานี้จึงยิ้มเรียบๆ พลางถามว่า “พี่สะใภ้สามของเจ้าทำการดังนี้แล้ว? มีเรื่องใดมากกว่านี้อีกหรือไม่?”
“ที่ข้าได้ยินมาก็มีเพียงเรื่องเหล่านี้ที่เกินเลยไปสักหน่อยขอรับ” เสิ่นจั้งฮุยเองก็รู้ว่าลูกผู้พี่ผู้นี้รักใคร่ภรรยาตนยิ่งนัก จึงรีบพูดเสริมไปอีกอย่างระมัดระวังว่า “ข้าก็มิได้บอกว่าไม่ชอบพี่สะใภ้สาม เพียงรู้สึกเป็นกังวลแทนพี่สะใภ้สาม ยิ่งไปกว่านั้นครานี้ท่านลุงและท่านป้าสั่งให้ข้าพาพี่สะใภ้สามมาเยี่ยมพี่ชายสามท่านก็เพราะสถานการณ์ในยามนี้ด้วย เวลานี้ฮ่องเต้ทรงพยายามหาเรื่องหาราวตระกูลเสิ่นของเรา แต่พอนางเอ่ยปากก็กลับให้ร้ายเสิ่นฉู่สามีภรรยาว่าสมคบคิดกับพวกตี๋! หากฮ่องเต้ทรงทราบข่าวนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นเหตุวุ่นวายอีกคราขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ประเด็นนี้เอาไว้ข้าจะพูดกับเจ้าให้ละเอียดภายหลัง …เจ้าบอกข้ามาก่อนว่า เรื่องนี้เป็นผู้ใดพูดกับเจ้า? แล้วเป็นผู้ใดที่ส่งเสริมให้เจ้าอาศัยจังหวะที่พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่อยู่มาพูดกับข้า?”
เสิ่นจั้งฮุยกำลังจะพูด เสิ่นจั้งเฟิงก็ยกมือขึ้นมาน้อยๆ ยิ้มจางๆ พลางว่า “อย่าโกหก หาไม่แล้วข้าจะลงโทษให้เจ้าไม่กล้าโกหกข้าไปตลอดชีวิต เข้าใจหรือไม่?”
“…” รอยยิ้มของเสิ่นจั้งเฟิงยังคงอ่อนโยนดังเดิม แม้แต่สายตาก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ยังคงดูอารีใจกว้างเหมือนคนในบ้านเดียวกันเช่นปกติธรรมดา ทว่า เสิ่นจั้งฮุยกลับลังเลอยู่เป็นนาน แต่แล้วก็ยังสลดลง แล้วเอ่ยอย่างซื่อๆ ตรงๆ ไปว่า “ก่อนนี้ท่านอาหกเรียกข้าไปร่วมงานเลี้ยง แล้วเอ่ยกับข้าในงานนี้ ท่านอาหกบอกว่ากลัวว่าพี่สะใภ้สามจะสร้างเรื่องเดือดร้อนให้แก่พวกเรา จึงเอ่ยเตือนมาคำหนึ่ง หาได้มีเจตนาอื่นใดขอรับ ข้าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าที่ท่านอาหกกล่าวก็มีเหตุผล เดิมทีพี่ชายสามท่านกำลังป่วย ข้าคิดจะไปบอกกับพี่สะใภ้สามตรงๆ แต่ข้ากลัวว่า พี่สะใภ้สามจะเข้าใจผิด …คิดๆ ไปก็ยังคิดว่ามาบอกกับท่านสักคำเพื่อให้ท่านไปบอกกับพี่สะใภ้สามจะดีกว่า”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เวลานี้ท่านอาหกเป็นผู้ตรวจการเมืองซีเหลียง ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้บิดาของเขากล้าลุกขึ้นมาสอนสั่งพี่สะใภ้สามของเจ้า แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่? บิดาของเขาซึ่งก็คือท่านปู่คนหนึ่งของพวกเราท่านนั้นเพิ่งจะสอนสั่งพี่สะใภ้สามของเจ้า แล้วจากนั้นท่านอาหกก็ออกมาสอนสั่งเจ้าแล้ว …ทำการไม่ช้าไม่เร็วดังนี้ หากมิใช่ยุให้แตกคอกันแล้วจะคือสิ่งใด?”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้” เสิ่นจั้งฮุยย่อมไม่หวังให้ลูกผู้พี่มองตนเป็นคนไร้สมอง จึงรีบแก้ต่างไปว่า “เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าแม้ท่านอาหกจะมีเจตนาดังนั้น ทว่าสิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล แต่ข้าหาได้ต้องการถือโทษหรือเคลือบแคลงพี่สะใภ้สามดังที่พวกเขามุ่งหวังนะขอรับ ข้าเพียงอยากจะเตือนพี่สะใภ้สามสักหน่อย แต่ก็กลัวว่าหากไปพูดกับ พี่สะใภ้สามตรงๆ ก็จะทำให้นางไม่พอใจ จึงคิดว่าหากพี่สามท่านไปพูดก็น่าจะดีกว่าสักหน่อย?”
“มีเหตุผลเช่นใด?” เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตาลง จ้องเขาลึกๆ ไปคราวหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “แม้ฮ่องเต้ไม่โปรดตระกูลเสิ่นของพวกเรา แต่หลังจากมีข่าวแพร่ออกมาว่าพ่อตาของข้า บิดาของพี่สะใภ้สามของเจ้ากำลังจะหายป่วย ฮ่องเต้ก็ทรงกล้าเพียงหันไปลงดาบกับพระโอรสของตนเอง เคยกล้ามาลงมือกับคนของตระกูลเสิ่นตรงๆ หรือไม่?”
เสิ่นจั้งฮุยกล่าวว่า “แต่ท่านอาและท่านอาสะใภ้สมคบกับพวกตี๋ เกรงว่า ตระกูลหลิวก็…”
“เหตุใดพระชายาองค์รัชทายาทพระองค์นี้ยังเป็นคนสกุลหลิว?” เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจคราวหนึ่งพลางว่า “น้องชายสี่ ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มีเจตนาร้าย และแน่ใจว่าเจ้ามิได้ต้องการจะพุ่งประเด็นไปที่พี่สะใภ้สามของเจ้า เพียงแต่พี่สะใภ้สามของเจ้าล้วนมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไยเจ้าจึงถูกท่านอาหกหลอกใช้เอาได้เล่า? แม้ฮ่องเต้ทรงหวังจะกำจัดพวกเราตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าในพระทัยก็ยังหวาดกลัวพวกเราตระกูลสูงศักดิ์อยู่ดี! เจ้าลองดูท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อตระกูลสูงศักดิ์นับแต่ขึ้นครองราชย์สิ ไม่ทรงเคยทำสิ่งใดต่อพวกเราตรงๆ เลยสักครั้ง! ที่ครานี้พี่เขยรองถูกถอดพระยศให้เป็นสามัญชน นี่เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งฮุยยังคงมีท่าทีงงงัน เสิ่นจั้งเฟิงจึงไม่อาจไม่เอ่ยอย่างชัดแจ้งให้เขาฟัง “ความหวั่นเกรงที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อตระกูลสูงศักดิ์ของเรามีมากกว่าความปรารถนาจะกำจัดตระกูลสูงศักดิ์! ฉะนั้นขอเพียงพวกเราไม่บีบคั้นฮ่องเต้จนถึงที่สุด จากการที่ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงสุรานารีมานานปีจนส่งผลให้ทรงมีความคิดอ่านหละหลวม การที่พระองค์จะทรงตัดสินพระทัยมาเป็นปรปักษ์กับพวกเราตระกูลสูงศักดิ์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาย่อมเป็นเรื่องยากเย็นแน่นอน! ฉะนั้นสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงปรารถนาที่สุดก็ยังคือให้พวกเราเกิดความขัดแย้งกันภายใน หรือต่อสู้ซึ่งกันและกัน ต่อสู้กันจนค่อยๆ ดับสิ้นกันไปเอง …ฉะนั้นพอพี่สะใภ้สามของเจ้ามาถึงก็ให้ข้อหาสมคบคิดกับพวกตี๋แก่เสิ่นฉู่สามีภรรยา เมื่อฮ่องเต้ทรงได้ยินข่าวนี้ ไม่เพียงไม่อาศัยโอกาสนี้ทำให้ตระกูลเสิ่นของเราลำบาก กลับกันก็จะทรงผ่อนคลายกับตระกูลเสิ่นของเรา เพื่อให้ในบ้านเราเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาเอง!”