ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1144 วิธีการ
ตอนที่ 1144 วิธีการ
ฉู่หลิวเยว่พลันตื่นตะลึง
“แม้ว่ามันจะบุกทะลวงพันธนาการและได้วิวัฒนาการกลายเป็นกษายะหางวายุไปแล้วก็ตาม แต่ก็มีพลังสายเลือดส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการกระตุ้น นี่ถือเป็นโอกาสชั้นดี”
อินทรีสามตากล่าว
“มิเช่นนั้นแล้ว พึ่งเพียงแค่การบุกทะลวงของเจ้ามากระตุ้นพลังสายเลือดของมัน ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อไร”
“การบุกทะลวงของข้าหรือ?” ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้างงงวย
“ถูกต้อง ตัวมันมิได้เป็นกษายะหางวายุตั้งแต่กำเนิด ไร้ซึ่งการชี้แนะจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน พลังสายเลือดภายในกายของมันย่อมไม่มีทางพัฒนาไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเท่านั้นจึงจะสามารถกระตุ้นศักยภาพทั้งหมดของมันได้ จำไว้ว่ามันเป็นเทพ หาใช่ครึ่งเทพไม่”
สุ้มเสียงของอินทรีสามตานั้นเฉยชาและเรียบนิ่งจนฟังดูผิดมนุษย์ไปอยู่บ้าง
“เจ้าในตอนนี้จะก้าวไปถึงขั้นนี้ได้ ยังต้องใช้เวลาเติบโตอีกนานเลยทีเดียว”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงจนเถียงไม่ออก!
“หากเป็นอย่างที่พูดมา น้ำพุที่พุ่งออกมาจากตาน้ำพุบนยอดเขานี้ทำให้ถวนจื่อมีท่าทีเช่นนี้สินะ?”
“อืม”
อินทรีสามตาขานรับอย่างเรียบง่ายเสียงหนึ่ง
“แน่นอนว่า ถ้าเจ้าไม่อยากไปก็แค่ห้ามมันไว้ แล้วรอเอาภายหลังก็ได้”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว การที่เสริมประโยคนี้เข้ามาไม่ดูสิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ?
อินทรีสามตานิสัยหยิ่งผยองและเฉยชา การทำให้มันยอมปริปากพูดได้ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าร่างของถวนจื่อจะยังมีปัญหาข้อนี้อยู่
นางเพ่งมองไปทางถวนจื่อ
นัยน์ตางดงามเป็นประกายคู่นั้นมองมายังตัวนางด้วยความทะเยอทะยานหาที่ได้เปรียบ
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เอาล่ะ พาเจ้าไปก็ได้”
ประกายแสงในดวงตาของถวนจื่อส่องสว่างระยับ มันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้นางอย่างรักใคร่
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยปีกคู่เล็กของมันให้เป็นอิสระ ก่อนจะหันไปหาจัวเซิงที่อยู่ด้านข้าง
“อยากจะไปตาน้ำพุฝั่งโน้น พอมีวิธีอันใดหรือไม่?”
จัวเซิงตอบกลับไป ก่อนจะระลึกว่าสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่คิดจะสื่อคืออันใด
เขามองนางด้วยสายตาประหลาดชอบกล
“เจ้าคิดจะไปจริงหรือ? ไม่เอาน่า?! เมื่อครู่ก็บอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าทางฝั่งโน้นน่ะเป็นเขตของคนพวกนั้น พวกเราน่ะไปไม่…”
“ข้าแค่จะไปตักน้ำพุนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่างเขาหมื่นเมรัยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนัก มันกลายเป็นเขตของพวกเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยขัดคำพูดของเขา
“ถ้าหากมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามาเยือน เกรงว่าพวกเขาคงต้องยอมเป็นเด็กดีแล้วถอยออกมาเสียมากกว่ากระมัง?”
“ชู่…อย่าพูดอันใดแบบนี้ออกมามั่วๆ ซั่วๆ สิ!”
เด็กหนุ่มที่รับหน้าที่คอยต้อนรับพวกเขาเมื่อก่อนหน้านี้พลันส่งเสียงเอ่ยออกมา
เขาเหลือบมองไปทางตาน้ำพุก่อนรอบหนึ่งให้มั่นใจว่าคนพวกนั้นไม่ได้ยินสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่พูดไปเมื่อสักครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตากล่าวโทษระคนตักเตือน หัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่น
“เจ้าเพิ่งมาก็เลยไม่รู้กฎ ครั้งแรกก็ให้มันแล้วไป แต่คราวหน้าคราวหลังห้ามพูดเช่นนี้อีกเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา…ต่อให้เป็นข้าก็ช่วยพวกเจ้าเอาไว้ไม่ไหว!”
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองเขาอย่างเรียบเฉยรอบหนึ่ง
อย่าว่าแต่ปกป้องพวกเขาเลย แค่ปกป้องตัวเองให้รอดก็ดูทุลักทุเลแล้ว
“มันน่าจะยังมีวิธีอื่นนี่เจ้าคะ?”
หลัวซือซือพลันเปิดปาก มองไปทางเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยสีหน้าเป็นเชิงขอความเห็น
“ศิษย์พี่อิ่นฝาน?”
ดวงหน้าของอิ่นฝานพลันปรากฏสีหน้ากระอักกระอ่วน
หาได้ยากนักที่หลัวซือซือจะเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อน ทว่าที่ทำก็เพื่อฉู่เยว่ผู้นั้น
ในใจของเขารู้สึกงุ่มง่ามนัก ยามมองฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งรู้สึกขัดตา
“ใช่สิ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่จีรังยั่งยืน! ถ้าหากว่าอยากไปจริงๆ แท้จริงแล้วยังมีอีกสองวิธี”
“วิธีแรก ใช้คะแนนสะสมไปแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ปกติจะเริ่มกันอยู่ที่ห้าหมื่นแต้ม วิธีที่สองคือหาคนกลางสักคนมาช่วยแนะนำพวกเจ้า ขอเพียงคนคนนี้มีสถานะที่สำคัญมากพอ อีกฝ่ายย่อมต้องไว้หน้าอย่างแน่นอน”
เขาจ้องฉู่หลิวเยว่เขม็ง หางตาพลันปรากฏแววเยาะเย้ย
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ เจ้าเลือกมาสักข้อสิ”
สิ้นเสียงพูด ทั้งกลุ่มก็พลันเงียบลงในบัดดล
วิธีการทั้งสองข้อนี้ ฟังผ่านๆ ก็คงไม่มีอันใด แต่ในความเป็นจริงแล้วจะทำตามได้นั้นยากอย่างยิ่ง
ในมุมหนึ่ง พวกเขาล้วนเพิ่งเข้าสำนักกันมา เดิมย่อมไม่มีคะแนนสะสมเยอะถึงปานนั้นอยู่แล้ว
ส่วนอีกมุมหนึ่ง ต่อให้มีคะแนนมากพอ ก็มีน้อยคนนักที่จะยอมแลกคะแนนจำนวนเท่านี้
ส่วนวิธีที่สองน่ะหรือ…พวกเขาเพิ่งมาใหม่ จะไปรู้จักใครได้บ้างเล่า?
“ถ้าให้พี่สี่ช่วยออกหน้าแทน…” หลัวเยี่ยนหมิงพึมพำเสียงต่ำ
หลัวเยี่ยนหลินเองก็เข้าร่วมงานประลองชิงอวิ๋น อีกทั้งอันดับเองก็ถือว่าแนวหน้า คนพวกนี้น่าจะยอมถอยให้ได้
แต่ว่าคืนวันนี้ หลัวเยี่ยนหลินกลับไม่ได้มากับพวกเขา
นี่ยิ่งทำให้การประนีประนอมนั้นเพิ่มระดับความยากมากขึ้นไปอีก
“ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปคุยกับพวกเขาให้หรือไม่? ถ้าเห็นว่าหน้าคล้ายพี่สี่แล้ว…”
หลัวซือซือเพิ่งจะกล่าวขึ้นมาก็ถูกอิ่นฝานปฏิเสธเสียอย่างนั้น
“เจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขายอมรับแค่คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือระดับเดียวกัน ต่อให้เจ้าเป็นน้องสาวของศิษย์พี่หลัวเยี่ยนหลิน พวกเขาก็ไม่ไว้ซึ่งไมตรีหรอก”
ถ้าหากว่ามีสักคนสองคนมาอ้างถึงสมาชิกในครอบครัวแล้วออกหน้าแทน จะไม่วุ่นวายไปกันใหญ่หรอกหรือ?
เรื่องนี้ต้องให้หลัวเยี่ยนหลินมาเองถึงจะพอมีหวัง!
“นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีหวังแล้วหรือไร?”
จัวเซิงใช้ศอกถองใส่ฉู่หลิวเยว่
“นี่ ฉู่เยว่ ที่ยืนกรานจะไปฝั่งโน้นขนาดนี้น่ะ เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่? จุดที่เราอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้แย่เสียหน่อย! เหตุใดถึงอยากหาเหาใส่หัวตัวเองนัก?”
หลัวซือซือมองนางแวบหนึ่งพลางเม้มริมฝีปากของตน
“มิเช่นนั้นครั้งหน้าให้ข้าเชิญพี่สี่มาช่วยหรือไม่?”
อย่างใดเสียล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น พี่สี่ย่อมไม่นิ่งดูดายเมินเฉยเป็นแน่
ฉู่หลิวเยว่มิได้เอ่ยอันใดออกไป
ถวนจื่อพาดตัวนอนอยู่บนบ่าของนางอย่างน่าสงสาร ประกายในแววตาค่อยๆ ริบหรี่ลง
“สายเลือดของถวนจื่อจะตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์ได้ต้องใช้เวลานานเท่าไร?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามในใจ
เงียบไปครู่หนึ่ง อินทรีสามตาก็เอ่ยตอบกลับมาว่า
“อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเข้าไปอยู่ในตาน้ำพุนั่นสักหนึ่งเดือน”
ฉู่หลิวเยว่ปวดศีรษะเสียจนต้องนวดข้างขมับ
ถ้าหากแค่วันสองวัน นางยังขอให้หลัวเยี่ยนหลินยื่นมือเข้ามาช่วยได้ อย่างแย่ที่สุดนางก็ติดหนี้บุญคุณเขาสักสองสามข้อ
แต่ว่าตั้งหนึ่งเดือน…
เป็นการยากอย่างยิ่งยวดแล้ว
ถวนจื่อซบอยู่บนบ่าของนางอย่างเงื่องหงอย ดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างยิ่ง
ความจริง…ถ้าบอกว่าไปไม่ได้ มันก็จะไม่ไป…
อย่างใดเสียพลังสายเลือดก็ยังคงอยู่ ค่อยๆ กระตุ้นไปก็ยังได้
ฉู่หลิวเยว่เคาะนิ้วลงบนศีรษะของมัน
หากว่าใช้คะแนนสะสมไปแลก เกรงว่าแต้มที่นางใช้ไปจะหมดเร็วกว่าที่นางหามาได้เยอะทีเดียว อีกอย่างคะแนนสะสมในสำนักมีค่าอย่างมาก ถ้าเอามาใช้กับเรื่องนี้ย่อมไม่คุ้มค่า
หากว่าสามารถไต่เพื่อเข้าสู่งานประลองชิงอวิ๋น พึ่งพลังของตนในการถือครองตำแหน่ง…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า ตนคงไม่มีทางช่วงชิงห้าสิบอันดับแรกมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ จึงยอมแพ้โดยทันที
พอเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งหนทางอื่นใดแล้ว…
นางย่อมไม่สามารถขอให้หรงซิวช่วยออกหน้าแทนให้ได้อยู่แล้ว
ฉู่หลิวเยว่ไตร่ตรองกับตัวเองอยู่ในใจ
“นี่ ฉู่เยว่ ข้าว่านะ เจ้าเลิกคิดเถอะ! น้ำพุของเขาวั่นจิ่วมีประโยชน์ต่อการฝึกตนมากมายมหาศาลจริง แต่ท้ายที่สุดแล้ว อยากจะแข็งแกร่งขึ้นก็ต้องพึ่งความขยันอุตสาหะของตัวเองอยู่ดี!”
จัวเซิงเอ่ยโน้มน้าวอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตาขึ้นมามองพลางหัวเราะเสียงค่อย
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก”
หลัวซือซือเองก็เอ่ยปลอบใจไปว่า
“ใช่แล้ว ดูจากพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว การเข้าร่วมงานประลองชิงอวิ๋นก็เป็นเรื่องของอนาคตอันใกล้เท่านั้น รอเจ้าแข็งแกร่งมากพอ จะมาที่นี่อีกก็ไม่ใช่การยากอันใดนี่นา?”
สุ้มเสียงของนางอ่อนโยนและนุ่มนวลยิ่งนัก
อิ่นฝานที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็พลันขมวดคิ้ว ก่อนจะส่งเสียงออกไป
“จริงๆ แล้วยังมีอีกวิธีหนึ่ง”